ซ่างกวานเยียนมองเขา และคิดว่ารู้สึกคุ้มค่าที่ตนยอมยุ่งหัวหมุนตลอดช่วงเช้าเพื่อเตรียมอาหาร“สุขภาพเจ้าไม่ดีนัก จากนี้ก็สั่งให้คนรับใช้ทำแทนเสีย”เย่เฟยหลีคีบอาหารด้วยตะเกียบ แม้น้ำเสียงที่เขาพูดจะเย็นชาแต่ก็แฝงไปด้วยความอ่อนโยน ซ่างกวานเยียนที่ได้ยินดังนั้นก็ปลาบปลื้มใจ“พระองค์เองก็เพิ่งฟื้นตัวจากอาการป่วย หากงานราชการยังไม่เสร็จก็ทรงพักผ่อนก่อนเถิดเพคะ”ซ่างกวานเยียนช่วยรินสุราให้เขาอย่างเบามือ ขณะนั้นก็เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ สุดท้ายจึงได้ถามออกไป “เห็นพระองค์รีบออกไปจากจวนตั้งแต่คืนวาน กว่าจะกลับมาก็เช้าแล้ว มีเรื่องอะไรหรือเพคะ?”คิ้วของเย่เฟยหลีกระตุกอย่างไม่ตั้งใจเมื่อนึกถึงเมื่อคืนที่ฉู่เนี่ยนซีพาผู้ใต้บังคับบัญชาออกไปดื่มเหล้าสังสรรค์อย่างไม่เกรงใจใคร“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่ต้องกังวล ข้าแก้ไขเรียบร้อยแล้ว”ซ่างกวานเยียนรู้สึกเสียใจที่ได้ยินดังนั้น “เมื่อก่อนท่านอ๋องหลีมีเรื่องอะไรก็ทรงบอกหม่อมฉันตลอด ไม่รู้เหตุใดเดี๋ยวนี้ถึงรู้สึก...รู้สึกว่าหม่อมฉันช่วยอะไรพระองค์ไม่ได้เลย”ขณะที่พูด ขอบตาของนางค่อย ๆ แดงขึ้น และหันหน้าหนีด้วยความเศร้าใจเย่เฟยหลีละสายตามามองหน้าของซ
ซ่างกวานเยียนที่กำลังหลับตารอการประทับจูบจากชายตรงหน้าอย่างว่าง่าย…แต่กระนั้น ริมฝีปากของคนทั้งคู่ที่อยู่ห่างกันไม่กี่นิ้วกลับหยุดชะงักลงเย่เฟยหลีเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใด เมื่อได้มองใบหน้างดงามไร้ที่ติของซ่างกวานเยียน พลันบังเอิญนึกถึงเหตุการณ์ในคืนหนึ่งไม่นานมานี้ที่เขาถูกวางยาคืนนั้น ฉากหลังที่มีแสงเทียนและตั่งลักษณะนี้ หญิงสาวผู้นั้นบีบคางเขาอย่างรุนแรง รอยแดงเป็นปื้น ๆ ที่ผุดขึ้นตามผิวหนังเริ่มลุกลามและกระจายไปทั่วร่างกายของเขาอย่างรวดเร็วคืนนี้ก็เช่นกัน เป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักได้ว่า ตลอดสามเดือนที่แต่งงานกันมา นั่นคือครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสมองตานางใกล้ ๆ เช่นนี้แม้จะมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่บนใบหน้า แต่ดวงตาของนางช่างงดงามเหลือเกินเวลาผ่านไป ไม่มีแม้แต่ความเคลื่อนไหวใดใด ซ่างกวานเยียนจึงลืมตาขึ้นมอง พบว่าแม้นางกับเย่เฟยหลีจะชิดใกล้จนลมหายใจรดกันเช่นนี้ แต่ดวงตาของอีกฝ่ายกลับเหม่อเสมือนว่าใจได้ล่องลอยไปที่อื่นเสียแล้ว“ท่านพี่ลี่...?”เย่เฟยหลีที่ได้สติจึงหันกลับมาสนใจซ่างกวานเยียนที่อยู่ตรงหน้า สักพักก็ทรุดลงข้างตั่งอย่างอ่อนแรง พลางขมวดคิ้วขึ้นและกุมบาดแผลที่หัวไหล่ของตนไ
ฉู่เนี่ยนซีที่ยืนอยู่บนชายคา หมุนข้อมือเล็กน้อย หว่างนิ้วของมือทั้งสองข้างหนีบมีดบินไว้ฝั่งละสามเล่ม นางสูดลมหายใจลึก ก่อนจะปามีดทั้งหมดออกไป เสียงดัง “ซึบ ซึบ ซึบ”ดังแหวกผ่านอากาศ มีดที่พุ่งมาราวแสงกับเงาได้ไปปักตรงขาแกะที่ปรุงสุกครึ่งหนึ่งซึ่งกำลังย่างอยู่บนเตาอย่างแม่นยำเสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องดังขึ้นมาในทันทีเย่เฟยหลีหยุดชะงัก จากนั้นจึงเดินไปซ่อนหลังต้นไม้ เมื่อเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นดุดันเหมือนกับงานปักลายมังกรที่อยู่บนเสื้อคลุมของจักรพรรดิอวี๋หนานที่ดูจะก่อเรื่องมากที่สุด กำลังแทะน่องไก่ที่เพิ่งย่างเสร็จ ปากก็พูดไปด้วยแม้จะพูดไม่ค่อยชัดเพราะกินอยู่ก็ตาม “เสี่ยวเถา ข้าอยากกินขนมพู่อีก หมดรึยัง?”เสี่ยวเถาที่ยุ่งอยู่กับการรินสุราให้อวี๋ซีที่กำลังย่างแกะตอบ “ขนมพู่ทั้งหมดของวันนี้เอาไปให้ที่เรือนของแม่นางซ่างกวานป่านนี้คงอยู่ในท้องของท่านอ๋องเราหมดแล้วล่ะ”เย่เฟยหลีคิ้วขมวดเมื่อได้ยินเช่นนั้น นั่นไม่ใช่ขนมพู่ที่ซ่างกวานเยียนทำให้เขาหรอกหรือ?อวี๋หนานพูดด้วยความโมโห “ไม่รู้ว่าที่ห้ององค์ชายยังมีเหลืออยู่ไหม ข้าล่ะอยากจะไปขโมยมาสักสองสามชิ้นแก้อยา
การมาของเย่เฟยหลีทำลายบรรยากาศลงอย่างมากแต่อย่างไรก็ตาม ในเรือนนี้ฉู่เนี่ยนซีใหญ่ที่สุด ดังนั้นอวี๋ตงจึงเป่าขลุ่ยต่อ ส่วนอวี๋ซีก็หันไปย่างแกะ ด้านอวี๋หนานก็กลับมาวุ่นวายกับน่องไก่ในมือ และอวี๋เป่ยที่ยืนอยู่หลังฉู่เนี่ยนซีด้วยความกังวลเล็กน้อย เขาเกรงว่าหากเย่เฟยหลีระเบิดโมโหขึ้นมา คงได้ทะเลาะกับนายหญิงของเขาแน่ ๆมีเพียงเสี่ยวเถาเท่านั้นที่ยังคงยืนสงวนท่าทีทำความเคารพเย่เฟยหลีอยู่ด้านหลัง แม้จะตัวสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นตระหนก แต่ก็คอยสังเกตการแสดงออกของเย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีอย่างระมัดระวังเย่เฟยหลีกลอกตามองไปทางเสี่ยวเถาและเชิดหน้าขึ้น “บอกข้ามาซิ คนเฝ้ายามกับสาวใช้ที่เรือนนี้หายไปไหนหมด?”“ระ...เรียนองค์ชาย พระชายาตรัสว่าวันนี้อยากให้ทุกคนได้พักผ่อน จึงปล่อยพวกเขากลับบ้านไปเพคะ...”ฉู่เนียนซีคัดน่องไก่สวย ๆ น่องหนึ่งจากโต๊ะมายื่นให้กับเย่เฟยหลีก่อนที่เขาจะว่าอะไรนาง “เอาล่ะ เป็นความผิดข้าเองที่ไม่แบ่งอะไรให้ท่านกิน นี่น่องไก่ของท่าน ถือว่านั่นคือคำขอโทษจากข้า”พูดจบ นางก็หันไปตะโกนเสียงดังกับอวี๋ตง “เป่าต่อไป! อย่าหยุด!”อวี๋ตงพยักหน้า แม้แรงกดดันจากเย่เฟยหลีจะรุนแรงมาก แต่
จากนั้นเหลียงหยวนจึงเดินโซซัดโซเซออกไปฉู่เนี่ยนซีที่อยู่ข้าง ๆ ก็ดื่มมาเยอะเช่นกัน นางก้าวเข้าห้องอย่างเชื่องช้า เท้าเซเล็กน้อยเย่เฟยหลี่วางถ้วยสุราลง เดินไปหานางเงียบ ๆ ในขณะที่นางกำลังจะล้มตรงหน้าประตูเขาก็โอบเอวของนางเอาไว้อวี๋ซีที่เหลือบมองมาทางพวกเขา ทะยานขึ้นไปบนชายคาด้วยความเงียบเชียบ ทำหน้าที่เฝ้าเรือนคนเดียวต่อไปแม้ฉู่เนี่ยนซีจะดื่มไปเยอะ แต่ก็ยังมีสติอยู่ นางขยับตัวหนีโดยสัญชาตญาณเพื่อหลีกเลี่ยงลมหายใจที่รดใบหูอยู่ “กลับไปนอนที่ห้องท่านเถอะ”“เจ้าใช้น่องแกะกับสาเกล่อข้าไว้ที่นี่ ตอนนี้กลับจะไล่ข้าไป?”“ออกไป! ข้าง่วงแล้ว จะนอน!”ขณะที่เขาพูด ฉู่เนี่ยนซีพยายามจะดิ้นออกจากอ้อมแขนของเขา แต่ก็เผลอทำให้เขาล้มลงบนเตียงไปด้วยอย่างไม่ได้ตั้งใจหลายวันมานี้ฉู่เนี่ยนซีรู้สึกว่าชายคนนี้ทำตัวน่ารำคาญมาก ความง่วงในตอนนี้ทำให้อารมณ์ของนางขุ่นมัวกว่าเก่า จนอดไม่ได้ที่จะใช้เท้าเตะเขาเย่เฟยหลีเลิกคิ้วคว้าข้อเท้าของนางไว้ “เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าเตะข้า”ฉู่เนี่ยนซีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หลังจากดึงข้อเท้าของตนออกจึงรีบเอาผ้าห่มมาม้วนตัวเองเอาไว้หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือนางจะไม่ยอมแบ่งผ
ขณะเดียวกัน ณ ลานในเรือนของชายาหลีอาจเป็นเพราะเมื่อคืนดื่มไปมาก ไม่ว่าฉู่เนี่ยนซีจะพลิกตัวไปมากี่ครั้งก็ไม่สามารถโงหัวลุกขึ้นจากที่นอนได้ มีก็แต่ความรู้สึกเวียนหัว ขมับและท้ายทอยตึงไปหมดเท่านั้นแต่เดิมเย่เฟยหลีคอแข็งเป็นอันดับต้น ๆ ในแผ่นดินนี้ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงตื่นตั้งแต่เช้า แต่ก็ไม่ได้ตื่นเช้าเหมือนในยามปกติ ถึงอย่างไรเขาก็สั่งให้คนนำงานราชการมาทำที่นี่ และนั่งทำงานอยู่ข้าง ๆ ฉู่เนี่ยนซีด้านฉู่เนี่ยนซีที่เวียนหัวมาตลอดนั้น ก็ลืมตาขึ้นหลังจากการหลับนานจนสายป่านนี้สายตาของนางหยุดไปยังเย่เฟยหลีที่ใส่เพียงเสื้อคลุมชั้นใน และเสื้อคลุมตัวนอกที่ใส่มาเมื่อวาน นั่งห่างจากนางไม่ถึงสองฟุต กำลังตั้งสมาธิกับการเขียนรายงานเมื่อก้มมองดูตัวเอง พบว่าที่นอนถูกเก็บรวมเป็นกองเดียวกัน จำได้ว่าเมื่อคืนดื่มไปหนักมาก เผลอหลับไปทั้งที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า เห็นได้จากคราบมันสองคราบเป็นดวง ๆ บนชุดที่เลอะเพราะกินน่องไก่เป็นหลักฐานหากเทียบกันแล้ว ฉู่เนี่ยนซีคิดว่าตนเป็นเพียงหญิงสาวหยาบกระด้าง แต่เย่เฟยหลีเป็นองค์ชายที่ถูกเลี้ยงดูอบรมมาเป็นอย่างดี‘พรึ่บ’ ฉู่เนี่ยนซีลุกขึ้นจากที่นอนอย่างรวดเร็ว
‘ไร้สาระ? นางจะบอกว่า การมีแผลเป็นบนใบหน้านั้นเป็นเรื่องไร้สาระรึ?’เห็นได้ชัดว่าเย่เฟยหลีเริ่มสงสัย แต่ฉู่เนี่ยนซีที่กำลังนวดขมับเพราะมีอาการเมาค้างก็ไม่อยากจะอธิบายอะไรต่อ นางเดินออกไปหาเสี่ยวกับอวี๋หนานให้ทำน้ำแกงแก้เม้าค้างให้เย่เฟยหลีกระชับเสื้อคลุมแน่น แม้จะเป็นช่วงกลางฤดูร้อน แต่ตอนเช้าเช่นนี้ก็มีลมเย็น ๆ อยู่เล็กน้อย เขาเห็นฉู่เนี่ยนซีกำลังนั่งกินน้ำแกงแก้เมาค้างกับเสี่ยวเถาและคนอื่น ๆ อยู่ตรงลานในเรือน เขาเห็นภาพนั้นแล้วรู้สึกว่าชีวิตนี้ก็ดูสงบดีไม่เบา‘ฉู่เนี่ยนซีไม่เหมือนกับหญิงสาวนางอื่น ที่จะรั้งแขกไว้อย่างเต็มที่เวลาพวกเขามาเยี่ยมเยียน’‘แต่กลับตรงกันข้าม ประมาณว่าถ้าเจ้ามาข้าก็ต้อนรับขับสู้ แต่ถ้าจะไปก็ขอไม่ส่งแล้วกัน’เย่เฟยหลีอยู่ที่เรือนนี้มาจวนจะหนี่งวันแล้ว คงอยู่นานมากกว่านี้ไม่ได้ ขณะที่เดินออกจากเรือนของฉู่เนี่ยนซี ก็เห็นชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมปักลายยับ ๆ วิ่งพรวดพราดเข้ามา“นี่ พี่สามของข้า ท่านมาอยู่ที่นี่นี่เอง”เมื่อเย่ฉงเฉิงเปิดปากพูดก็มีกลิ่นสุราลอยออกมาหึ่ง “ข้าถูกนายแม่ของหอดนตรีหมายหัว แต่ผู้ติดตามของข้าถูกจับตัวไว้ที่นั่น ไม่มีทางเลือกแล้ว ให้ข้าซ่
ซ่างกวานเยียนเช็ดน้ำตา เฟยจูนำเสื้อคลุมมาคลุมนางไว้แล้วปลอบอย่างใจดี “คุณหนูอย่าเพิ่งหมดกำลังใจนะเจ้าคะ บ่าวได้ยินมาว่าเมื่อคืนวานในเรือนของพระชายาแค่จัดงานเลี้ยงกัน ระหว่างทางท่านอ๋องบังเอิญไปเห็นเข้าเลยสนใจจึงร่วมวงด้วยเท่านั้นเองเจ้าค่ะ”“ใช่ บังเอิญ”ซ่างกวานเยียนกำหมัดแน่น ปลายเล็บจิกที่ฝ่ามือจนเกือบจะเลือดไหล “บรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้ท่านอ๋องหลีถึงได้มาค้างที่เรือนของท่านพี่หญิง จริง ๆ แล้วข้าอยากไปด้วย แต่รออยู่ทั้งคืนก็ไม่เห็นส่งคนมาเชิญ ข้า...ข้าต้องทำอะไรผิดไปจนทำให้ท่านพี่ไม่พอใจแน่ ๆ”เย่ฉงเฉิงตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะคิดได้ว่าเย่เฟยหลีนอนค้างกับซ่างกวานเยียนอยู่ถึงกลางดึก แล้วก็รีบไปหาพระชายาหลี?พี่สามมีความสัมพันธ์อันดีกับฉู่เนี่ยนซีตั้งแต่เมื่อไหร่?ยังได้ยินเฟยจูพูดต่อ “คุณหนูต้องดูแลตัวเองดี ๆ นะเจ้าคะ พระชายาทำให้คุณหนูลำบากมาทั้งวันแล้ว ไม่แน่อาจจะหาเหตุผลอะไรมาทำให้คุณหนูลำบากกว่าเดิมก็ได้”ซ่างกวานเยียนรีบห้ามปราม “เฟยจู นางเป็นพี่ ข้าเป็นน้อง ที่ข้าได้เข้ามาอยู่ในจวนท่านอ๋องหลีก็เป็นเพราะความเมตตาของท่านอ๋องเอง เจ้าไม่ควรพูดถึงพระชายาลับหลังเช่นนี้ นางเป็นชายา
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย