ขณะเดียวกัน ณ ลานในเรือนของชายาหลีอาจเป็นเพราะเมื่อคืนดื่มไปมาก ไม่ว่าฉู่เนี่ยนซีจะพลิกตัวไปมากี่ครั้งก็ไม่สามารถโงหัวลุกขึ้นจากที่นอนได้ มีก็แต่ความรู้สึกเวียนหัว ขมับและท้ายทอยตึงไปหมดเท่านั้นแต่เดิมเย่เฟยหลีคอแข็งเป็นอันดับต้น ๆ ในแผ่นดินนี้ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงตื่นตั้งแต่เช้า แต่ก็ไม่ได้ตื่นเช้าเหมือนในยามปกติ ถึงอย่างไรเขาก็สั่งให้คนนำงานราชการมาทำที่นี่ และนั่งทำงานอยู่ข้าง ๆ ฉู่เนี่ยนซีด้านฉู่เนี่ยนซีที่เวียนหัวมาตลอดนั้น ก็ลืมตาขึ้นหลังจากการหลับนานจนสายป่านนี้สายตาของนางหยุดไปยังเย่เฟยหลีที่ใส่เพียงเสื้อคลุมชั้นใน และเสื้อคลุมตัวนอกที่ใส่มาเมื่อวาน นั่งห่างจากนางไม่ถึงสองฟุต กำลังตั้งสมาธิกับการเขียนรายงานเมื่อก้มมองดูตัวเอง พบว่าที่นอนถูกเก็บรวมเป็นกองเดียวกัน จำได้ว่าเมื่อคืนดื่มไปหนักมาก เผลอหลับไปทั้งที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า เห็นได้จากคราบมันสองคราบเป็นดวง ๆ บนชุดที่เลอะเพราะกินน่องไก่เป็นหลักฐานหากเทียบกันแล้ว ฉู่เนี่ยนซีคิดว่าตนเป็นเพียงหญิงสาวหยาบกระด้าง แต่เย่เฟยหลีเป็นองค์ชายที่ถูกเลี้ยงดูอบรมมาเป็นอย่างดี‘พรึ่บ’ ฉู่เนี่ยนซีลุกขึ้นจากที่นอนอย่างรวดเร็ว
‘ไร้สาระ? นางจะบอกว่า การมีแผลเป็นบนใบหน้านั้นเป็นเรื่องไร้สาระรึ?’เห็นได้ชัดว่าเย่เฟยหลีเริ่มสงสัย แต่ฉู่เนี่ยนซีที่กำลังนวดขมับเพราะมีอาการเมาค้างก็ไม่อยากจะอธิบายอะไรต่อ นางเดินออกไปหาเสี่ยวกับอวี๋หนานให้ทำน้ำแกงแก้เม้าค้างให้เย่เฟยหลีกระชับเสื้อคลุมแน่น แม้จะเป็นช่วงกลางฤดูร้อน แต่ตอนเช้าเช่นนี้ก็มีลมเย็น ๆ อยู่เล็กน้อย เขาเห็นฉู่เนี่ยนซีกำลังนั่งกินน้ำแกงแก้เมาค้างกับเสี่ยวเถาและคนอื่น ๆ อยู่ตรงลานในเรือน เขาเห็นภาพนั้นแล้วรู้สึกว่าชีวิตนี้ก็ดูสงบดีไม่เบา‘ฉู่เนี่ยนซีไม่เหมือนกับหญิงสาวนางอื่น ที่จะรั้งแขกไว้อย่างเต็มที่เวลาพวกเขามาเยี่ยมเยียน’‘แต่กลับตรงกันข้าม ประมาณว่าถ้าเจ้ามาข้าก็ต้อนรับขับสู้ แต่ถ้าจะไปก็ขอไม่ส่งแล้วกัน’เย่เฟยหลีอยู่ที่เรือนนี้มาจวนจะหนี่งวันแล้ว คงอยู่นานมากกว่านี้ไม่ได้ ขณะที่เดินออกจากเรือนของฉู่เนี่ยนซี ก็เห็นชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมปักลายยับ ๆ วิ่งพรวดพราดเข้ามา“นี่ พี่สามของข้า ท่านมาอยู่ที่นี่นี่เอง”เมื่อเย่ฉงเฉิงเปิดปากพูดก็มีกลิ่นสุราลอยออกมาหึ่ง “ข้าถูกนายแม่ของหอดนตรีหมายหัว แต่ผู้ติดตามของข้าถูกจับตัวไว้ที่นั่น ไม่มีทางเลือกแล้ว ให้ข้าซ่
ซ่างกวานเยียนเช็ดน้ำตา เฟยจูนำเสื้อคลุมมาคลุมนางไว้แล้วปลอบอย่างใจดี “คุณหนูอย่าเพิ่งหมดกำลังใจนะเจ้าคะ บ่าวได้ยินมาว่าเมื่อคืนวานในเรือนของพระชายาแค่จัดงานเลี้ยงกัน ระหว่างทางท่านอ๋องบังเอิญไปเห็นเข้าเลยสนใจจึงร่วมวงด้วยเท่านั้นเองเจ้าค่ะ”“ใช่ บังเอิญ”ซ่างกวานเยียนกำหมัดแน่น ปลายเล็บจิกที่ฝ่ามือจนเกือบจะเลือดไหล “บรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้ท่านอ๋องหลีถึงได้มาค้างที่เรือนของท่านพี่หญิง จริง ๆ แล้วข้าอยากไปด้วย แต่รออยู่ทั้งคืนก็ไม่เห็นส่งคนมาเชิญ ข้า...ข้าต้องทำอะไรผิดไปจนทำให้ท่านพี่ไม่พอใจแน่ ๆ”เย่ฉงเฉิงตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะคิดได้ว่าเย่เฟยหลีนอนค้างกับซ่างกวานเยียนอยู่ถึงกลางดึก แล้วก็รีบไปหาพระชายาหลี?พี่สามมีความสัมพันธ์อันดีกับฉู่เนี่ยนซีตั้งแต่เมื่อไหร่?ยังได้ยินเฟยจูพูดต่อ “คุณหนูต้องดูแลตัวเองดี ๆ นะเจ้าคะ พระชายาทำให้คุณหนูลำบากมาทั้งวันแล้ว ไม่แน่อาจจะหาเหตุผลอะไรมาทำให้คุณหนูลำบากกว่าเดิมก็ได้”ซ่างกวานเยียนรีบห้ามปราม “เฟยจู นางเป็นพี่ ข้าเป็นน้อง ที่ข้าได้เข้ามาอยู่ในจวนท่านอ๋องหลีก็เป็นเพราะความเมตตาของท่านอ๋องเอง เจ้าไม่ควรพูดถึงพระชายาลับหลังเช่นนี้ นางเป็นชายา
ณ ริมสระน้ำเย่ฉงเฉิงเดินอย่างรีบร้อน ในฐานะที่เขาเป็นองค์ชายคงจะไปโต้แย้งโดยตรงกับฉู่เนี่ยนซีไม่ได้ เรื่องนี้คุยกับเย่เฟยหลีต่อหน้าจะดีที่สุดแต่ยังไม่ทันจะเดินถึงเรือนของเย่เฟยหลี เขาก็ปะทะกับฉู่เนี่ยนซีที่กำลังเดินพลางกินขนมฝูหรงที่อยู่ในมือเมื่อเย่ฉงเฉิงเห็นฉู่เนี่ยนซี เขาก็ตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขญะ ถ้าฉู่เนี่ยนซีไม่หันหน้าที่มีรอยแผลเป็นมาทางเขา หากมองเพียงรูปร่างอันอรชรสง่างามของนาง เกือบจะเข้าใจไปว่านางสวรรค์ที่เจอในคืนนั้นตอนที่ไล่จับแมวตรงจวนขององค์ชายหลีได้กลับมายืนอยู่ตรงหน้าตัวเองอีกครั้งคงเป็นเพราะดื่มมากเกินไป อีกทั้งยังโมโหกับท่าทีของเย่เหลียนเมื่อคืน เย่ฉงเฉิงจึงสบัดหัวตัวเองเพื่อให้ได้สติไม่จริง! นางสรรค์ที่มีผิวพรรณผุดผ่องในคืนนั้นไม่มีทางเป็นฉู่เนี่ยนซีไปได้ฉู่เนี่ยนซีที่เห็นเขา ก็ทำเพียงพยักหน้าให้ ไม่ได้เดินไปหาเขา แต่กลับเดินไปทางเรือนของตัวเองแม้เย่ฉงเฉิงจะดูเป็นคนไม่เอาไหน แต่เขาก็เป็นถึงองค์ชาย เติบโตขึ้นมาในวังโดยแท้ ถึงจะมีคนไม่ชอบเขาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่จะไม่รักษามารยาทเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเช่นนี้ นั่นทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ จึงก้าวมาหยุดอยู่ตรงห
ตอนแรกฉู่เนี่ยนซีจะเดินหนีไปแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าเย่ฉงเฉิงจะพูดจาลามปามนางได้อย่างน่าไม่อายเช่นนี้นางทิ้งขนมฝูหรงที่เหลือลงสระน้ำ สีหน้าเย็นชามากกว่าเดิมสิ่งที่นางเกลียดที่สุดคือการที่มีคนมายุ่งเรื่องของนาง หรือตัดสินนางโดยไม่ได้รู้ความจริงอะไรเลย เหมือนกับที่เย่ฉงเฉิงกำลังทำอยู่ตอนนี้“คนที่เห็นข้าในคืนนั้นคือพระองค์ใช่หรือไม่เพคะ?”“ใช่ ไม่เช่นนั้นข้าจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องพี่สามได้อย่างไร?”“ไร้สาระ!”ดวงตาของเย่เฟยหลีเบิกกว้าง หญิงนางนี้กล้าดีอย่างไรมาบอกว่าเขาพูดไร้สาระ?ฉู่เนี่ยนซีแค่นเสียงเย็นชา “เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าคนที่เห็นหม่อมฉันในคืนนั้นคือคนขององค์ชายเหลียน เขาใช้ประโยชน์จากจิตใจของพระองค์ที่ปรารถนาดีต่อเย่เฟยหลี ถึงได้แสร้งทำเป็นบอกข่าวแก่พระองค์ ไม่เช่นนั้นพระองค์ทรงคิดว่าเหตุใดเย่เฟยหลีถึงได้ถูกลอบสังหารระหว่างทางกลับจวนล่ะเพคะ? นั่นเป็นเพราะพระองค์ถูกหลอกใช้อย่างไรเล่า!”เย่ฉงเฉิงคาดไม่ถึงเลยว่าเรื่องจะบานปลายได้เช่นนี้ ว่าแต่เหตุใดเขาถึงไม่รู้เรื่องที่เย่เฟยหลีถูกลอบสังหาร?เหตุใดก่อนหน้านี้พี่สามถึงไม่บอกเขา?“ปีนี้พระองค์อายุยี่สิบแล้วแท้ ๆ แต่จิตใจกลับยังเหมือ
ฉู่เนี่ยนซีอึ้งไปเล็กน้อย และเมื่อได้เห็นสายตาอันร้อนแรงที่เย่เฟยหลีส่งมาโดยไม่รู้ตัว นางก็เริ่มทำตัวไม่ถูก จึงพูดเลี่ยง ๆ “ท่านก็คิดมากเกินไป ตอนนี้เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว มีเรื่องเกิดขึ้นกับท่านแล้วจะให้ข้าอยู่เฉย ๆ ได้เช่นไร”ขณะพูด นางก็ปัดเศษขนมที่ติดมือออก รีบเดินกลับเรือนของตัวเองโดยเมินสายตาอันตรายของเย่เฟยหลีเมื่อท้องอิ่ม ก็เริ่มแผนที่จะซื้อโรงพนันหลังจากที่ได้กำหนดเวลา ฉู่เนี่ยนซีก็เตรียมจะออกไปข้างนอกกับอวี้เป่ยเนื่องจากโดนเย่เฟยหลีจับได้ตอนออกไปครั้งแรก นางก็ได้เรียนรู้มากขึ้น และทำตัวสงบเสงี่ยมในหลายวันที่ผ่านมาแม้จะพาอวี๋เป่ยไปด้วย แต่เมื่อเห็นท่าทางของอวี๋หนานที่คล้ายจะบอกว่า ‘เหตุใดนายหญิงถึงไม่พาข้าไปเที่ยวเล่นด้วย’ นางจึงสั่งว่า “เจ้าช่วยเฝ้าที่นี่ให้ข้าหน่อย ถ้าเย่เฟยหลีมาถามว่าข้าไปไหน ให้บอกว่าข้าไปเที่ยวที่หอจุ้ยเยว่ ถ้าเขาทำเหมือนจะไปหอจุ้ยเยว่ให้รีบแจ้งข้าด้วย เจ้าว่องไวและพลังกำลังดีอยู่แล้ว อย่างไรก็ไปถึงก่อนเขาแน่นอน”อวี๋หนานรับคำสั่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทะยานขึ้นชายคาเพื่อเฝ้าเรือน เพียงไม่กี่ก้าวก็หายไปไม่เห็นแม้แต่เงาฉู่เนี่ยนซีปลอมตัวเป็นผู้ชา
หลายวันผ่านไป อากาศในเดือนแปดไม่ได้เย็นลง แต่กลับค่อย ๆ ร้อนขึ้นทุกวันฉู่เนี่ยนซีที่ต้องเผชิญกับฤดูร้อนที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศหรือพัดลมเป็นครั้งแรก และทุกวันต้องใส่เสื้อผ้าหลายชั้น อีกทั้งอุณหภูมิที่สูงตลอดวัน ทำให้นางรู้สึกไม่สบาย ไม่อยากกินอะไร แล้วก็ไม่อยากออกไปไหนเย่เฟยหลีถึงกับสงสัยว่านางโดนวางยาพิษเหมือนเขารึเปล่า ฉู่เนี่ยนซีที่ได้ยินก็รู้สึกละเหี่ยใจ ‘พวกเจ้าไม่เข้าใจความสุขของคนยุคใหม่หรอก’ที่บ่อนพนันก็มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นธุรกิจค้าสมุนไพรที่นางแอบไปทำการสำรวจก็ได้ผลตอบรับที่แตกต่างไปในแต่ละวันตอนนี้ธุรกิจทั้งหมดของฉู่เนี่ยนซีได้กลายเป็นธุรกิจที่ต้องทำในยามกลางคืนแล้วแต่เดิมนางตั้งใจไว้ว่าใช้เวลาช่วงกลางวันที่ศาลากับริมทะเลสาบตลอดช่วงฤดูร้อนทว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน มหาเสนาบดีฉู่ส่งคนมาแจ้งข่าวว่าขาของพี่ชายคนโตฉู่เจี้ยนอี้นั้นหายดีแล้ว และยังได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางระดับสูงขั้นห้าประจำราชสำนัก ที่จวนมหาเสนาบดีจะจัดงานเลี้ยงฉลองในอีกสามวันจากนี้ ซึ่งบัตรเชิญนั้นได้ถูกส่งถึงเย่เฟยหลีก่อนแล้วคิด ๆ ดูก็เป็นเวลานานแล้วที่ไม่ได้กลับไปจวนมหาเสนาบดี ตอ
เสียงดังของนางดึงดูดให้ผู้คนหันมามองเป็นตาเดียว จ้าวม่อเหยียนรู้สึกอายจนทำตัวไม่ถูก จึงทำมือเป็นสัญญาณให้นางลดเสียงลงแต่ในเมื่อหลิวซื่อมีความสุขขนาดนี้ จะไปสนใจคนอื่นทำไมกัน?“บอกแม่มาเร็ว มีเทพเซียนอาศัยที่จวนท่านมหาเสนาบดีใช่หรือไม่? ถึงได้รักษาขาของลูกเขยให้หายดีได้?”เหมือนหลิวซื่อจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เลยรีบลดเสียงลง “ข้าได้ยินคนนอกพูดกันว่าพวกเจ้าพาหมอเทวดามา หมอคนนั้นชื่อ...ชื่ออะไรนะ...”“เรียนฟูเหริน ชื่อว่าหมอเทวดาเฮ่อหลานเจ้าค่ะ”ขณะนั้น ฉู่หว่านเอ๋อร์ก็ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ดอกไม้บนมวยผมอันบอบบางช่วยทำให้นางดูเหมือนดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์ที่เพิ่งโผล่พ้นน้ำ คนหนุ่มสาวที่ยังไม่แต่งงานต่างแอบมองนางอยู่หลายหนฉู่เนี่ยนซียิ้มบาง ๆ รินจอกสุราของตนเอง แล้วค่อย ๆ ยกขึ้นจิบหลิวซื่อได้ยินดังนั้น ก็ดีใจจนหน้าบาน และดึงฉู่หว่านเอ๋อร์เข้ามาคุยอย่างสนิทสนม“สาวน้อย บอกข้ามาเร็ว คนที่จวนนี้ปากหนักกันมากเลย ข้าอยากจะตอบแทนน้ำใจหมอท่านนี้ที่ช่วยรักษาขาของลูกเขยข้าจะได้หรือไม่ ถือว่าช่วยข้าเถิด”จ้าวม่อเหยียนคิ้วขมวด เหลือบมองไปทางฉู่เนี่ยนซีโดยไม่รู้ตัว และได
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย