“เดี๋ยว!”ฉู่เนี่ยนซีตะโกนอย่างรีบร้อน ห้ามอวี๋เป่ย แล้วหันไปมองเย่เฟยหลี “ใจเย็น ๆ นี่ข้าเอง”เหงื่อเย็นของเย่เฟยหลีไหลลงมาที่หน้าผาก เสื้อสีขาวด้านในของเขาก็เปียกโชกไปหมด ดวงตาของเขาค้างอยู่เป็นเวลานานก่อนที่เขาจะกลับมีสติ และค่อย ๆ เอามีดออกจากลำคอของฉู่เนี่ยนซีฉู่เนี่ยนซีมองไปที่อวี๋เป่ย อวี๋เป่ยจึงออกไปอย่างเงียบ ๆ และปิดประตู“หากท่านฝันร้ายก็พักผ่อนก่อนเถอะ ยังไม่ต้องรีบกลับหรอก”ฉู่เนี่ยนซีพูดอย่างใจเย็นในขณะที่ขยับตัวผ่านเขาไปและลงจากเตียง นางมองในกระจกคิดว่าต้องขอบคุณที่ตัวเองนอนไปทั้งที่ ๆ ใส่ชุดเดียวกันกับเมื่อคืนนี้ จึงช่วยให้นางรอดพ้นจากความลำบากใจต่อการเปลี่ยนเสื้อผ้าในเช้านี้เย่เฟยหลี่หลับตาและไม่พูดอะไร เพียงหอบเล็กน้อย ฉู่เนี่ยนซีสามารถมองเห็นการขยับขึ้นลงของแผ่นหลังที่ไม่มั่นคงของเขาผ่านกระจกได้อย่างชัดเจนผ่านไปไม่นาน ทั้งสองคนสวมผ้าคลุมอีกครั้งและเข้าไปในรถม้าที่เหลียงหยวนนำมาให้ใหม่เย่เฟยหลีกลับมาเป็นองค์ชายหลีผู้เย็นชาคนเดิมแล้วฉู่เนี่ยนซีรู้ว่านางเพิ่งได้เห็นด้านที่ค่อนข้างเปราะบางของเขาเป็นครั้งแรกในประวัติศาตร์ นางเข้าใจเป็นอย่างดีและไม่ได้พูดถึงเ
ซ่างกวานเยียนมองเขา และคิดว่ารู้สึกคุ้มค่าที่ตนยอมยุ่งหัวหมุนตลอดช่วงเช้าเพื่อเตรียมอาหาร“สุขภาพเจ้าไม่ดีนัก จากนี้ก็สั่งให้คนรับใช้ทำแทนเสีย”เย่เฟยหลีคีบอาหารด้วยตะเกียบ แม้น้ำเสียงที่เขาพูดจะเย็นชาแต่ก็แฝงไปด้วยความอ่อนโยน ซ่างกวานเยียนที่ได้ยินดังนั้นก็ปลาบปลื้มใจ“พระองค์เองก็เพิ่งฟื้นตัวจากอาการป่วย หากงานราชการยังไม่เสร็จก็ทรงพักผ่อนก่อนเถิดเพคะ”ซ่างกวานเยียนช่วยรินสุราให้เขาอย่างเบามือ ขณะนั้นก็เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ สุดท้ายจึงได้ถามออกไป “เห็นพระองค์รีบออกไปจากจวนตั้งแต่คืนวาน กว่าจะกลับมาก็เช้าแล้ว มีเรื่องอะไรหรือเพคะ?”คิ้วของเย่เฟยหลีกระตุกอย่างไม่ตั้งใจเมื่อนึกถึงเมื่อคืนที่ฉู่เนี่ยนซีพาผู้ใต้บังคับบัญชาออกไปดื่มเหล้าสังสรรค์อย่างไม่เกรงใจใคร“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่ต้องกังวล ข้าแก้ไขเรียบร้อยแล้ว”ซ่างกวานเยียนรู้สึกเสียใจที่ได้ยินดังนั้น “เมื่อก่อนท่านอ๋องหลีมีเรื่องอะไรก็ทรงบอกหม่อมฉันตลอด ไม่รู้เหตุใดเดี๋ยวนี้ถึงรู้สึก...รู้สึกว่าหม่อมฉันช่วยอะไรพระองค์ไม่ได้เลย”ขณะที่พูด ขอบตาของนางค่อย ๆ แดงขึ้น และหันหน้าหนีด้วยความเศร้าใจเย่เฟยหลีละสายตามามองหน้าของซ
ซ่างกวานเยียนที่กำลังหลับตารอการประทับจูบจากชายตรงหน้าอย่างว่าง่าย…แต่กระนั้น ริมฝีปากของคนทั้งคู่ที่อยู่ห่างกันไม่กี่นิ้วกลับหยุดชะงักลงเย่เฟยหลีเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใด เมื่อได้มองใบหน้างดงามไร้ที่ติของซ่างกวานเยียน พลันบังเอิญนึกถึงเหตุการณ์ในคืนหนึ่งไม่นานมานี้ที่เขาถูกวางยาคืนนั้น ฉากหลังที่มีแสงเทียนและตั่งลักษณะนี้ หญิงสาวผู้นั้นบีบคางเขาอย่างรุนแรง รอยแดงเป็นปื้น ๆ ที่ผุดขึ้นตามผิวหนังเริ่มลุกลามและกระจายไปทั่วร่างกายของเขาอย่างรวดเร็วคืนนี้ก็เช่นกัน เป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักได้ว่า ตลอดสามเดือนที่แต่งงานกันมา นั่นคือครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสมองตานางใกล้ ๆ เช่นนี้แม้จะมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่บนใบหน้า แต่ดวงตาของนางช่างงดงามเหลือเกินเวลาผ่านไป ไม่มีแม้แต่ความเคลื่อนไหวใดใด ซ่างกวานเยียนจึงลืมตาขึ้นมอง พบว่าแม้นางกับเย่เฟยหลีจะชิดใกล้จนลมหายใจรดกันเช่นนี้ แต่ดวงตาของอีกฝ่ายกลับเหม่อเสมือนว่าใจได้ล่องลอยไปที่อื่นเสียแล้ว“ท่านพี่ลี่...?”เย่เฟยหลีที่ได้สติจึงหันกลับมาสนใจซ่างกวานเยียนที่อยู่ตรงหน้า สักพักก็ทรุดลงข้างตั่งอย่างอ่อนแรง พลางขมวดคิ้วขึ้นและกุมบาดแผลที่หัวไหล่ของตนไ
ฉู่เนี่ยนซีที่ยืนอยู่บนชายคา หมุนข้อมือเล็กน้อย หว่างนิ้วของมือทั้งสองข้างหนีบมีดบินไว้ฝั่งละสามเล่ม นางสูดลมหายใจลึก ก่อนจะปามีดทั้งหมดออกไป เสียงดัง “ซึบ ซึบ ซึบ”ดังแหวกผ่านอากาศ มีดที่พุ่งมาราวแสงกับเงาได้ไปปักตรงขาแกะที่ปรุงสุกครึ่งหนึ่งซึ่งกำลังย่างอยู่บนเตาอย่างแม่นยำเสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องดังขึ้นมาในทันทีเย่เฟยหลีหยุดชะงัก จากนั้นจึงเดินไปซ่อนหลังต้นไม้ เมื่อเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นดุดันเหมือนกับงานปักลายมังกรที่อยู่บนเสื้อคลุมของจักรพรรดิอวี๋หนานที่ดูจะก่อเรื่องมากที่สุด กำลังแทะน่องไก่ที่เพิ่งย่างเสร็จ ปากก็พูดไปด้วยแม้จะพูดไม่ค่อยชัดเพราะกินอยู่ก็ตาม “เสี่ยวเถา ข้าอยากกินขนมพู่อีก หมดรึยัง?”เสี่ยวเถาที่ยุ่งอยู่กับการรินสุราให้อวี๋ซีที่กำลังย่างแกะตอบ “ขนมพู่ทั้งหมดของวันนี้เอาไปให้ที่เรือนของแม่นางซ่างกวานป่านนี้คงอยู่ในท้องของท่านอ๋องเราหมดแล้วล่ะ”เย่เฟยหลีคิ้วขมวดเมื่อได้ยินเช่นนั้น นั่นไม่ใช่ขนมพู่ที่ซ่างกวานเยียนทำให้เขาหรอกหรือ?อวี๋หนานพูดด้วยความโมโห “ไม่รู้ว่าที่ห้ององค์ชายยังมีเหลืออยู่ไหม ข้าล่ะอยากจะไปขโมยมาสักสองสามชิ้นแก้อยา
การมาของเย่เฟยหลีทำลายบรรยากาศลงอย่างมากแต่อย่างไรก็ตาม ในเรือนนี้ฉู่เนี่ยนซีใหญ่ที่สุด ดังนั้นอวี๋ตงจึงเป่าขลุ่ยต่อ ส่วนอวี๋ซีก็หันไปย่างแกะ ด้านอวี๋หนานก็กลับมาวุ่นวายกับน่องไก่ในมือ และอวี๋เป่ยที่ยืนอยู่หลังฉู่เนี่ยนซีด้วยความกังวลเล็กน้อย เขาเกรงว่าหากเย่เฟยหลีระเบิดโมโหขึ้นมา คงได้ทะเลาะกับนายหญิงของเขาแน่ ๆมีเพียงเสี่ยวเถาเท่านั้นที่ยังคงยืนสงวนท่าทีทำความเคารพเย่เฟยหลีอยู่ด้านหลัง แม้จะตัวสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นตระหนก แต่ก็คอยสังเกตการแสดงออกของเย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีอย่างระมัดระวังเย่เฟยหลีกลอกตามองไปทางเสี่ยวเถาและเชิดหน้าขึ้น “บอกข้ามาซิ คนเฝ้ายามกับสาวใช้ที่เรือนนี้หายไปไหนหมด?”“ระ...เรียนองค์ชาย พระชายาตรัสว่าวันนี้อยากให้ทุกคนได้พักผ่อน จึงปล่อยพวกเขากลับบ้านไปเพคะ...”ฉู่เนียนซีคัดน่องไก่สวย ๆ น่องหนึ่งจากโต๊ะมายื่นให้กับเย่เฟยหลีก่อนที่เขาจะว่าอะไรนาง “เอาล่ะ เป็นความผิดข้าเองที่ไม่แบ่งอะไรให้ท่านกิน นี่น่องไก่ของท่าน ถือว่านั่นคือคำขอโทษจากข้า”พูดจบ นางก็หันไปตะโกนเสียงดังกับอวี๋ตง “เป่าต่อไป! อย่าหยุด!”อวี๋ตงพยักหน้า แม้แรงกดดันจากเย่เฟยหลีจะรุนแรงมาก แต่
จากนั้นเหลียงหยวนจึงเดินโซซัดโซเซออกไปฉู่เนี่ยนซีที่อยู่ข้าง ๆ ก็ดื่มมาเยอะเช่นกัน นางก้าวเข้าห้องอย่างเชื่องช้า เท้าเซเล็กน้อยเย่เฟยหลี่วางถ้วยสุราลง เดินไปหานางเงียบ ๆ ในขณะที่นางกำลังจะล้มตรงหน้าประตูเขาก็โอบเอวของนางเอาไว้อวี๋ซีที่เหลือบมองมาทางพวกเขา ทะยานขึ้นไปบนชายคาด้วยความเงียบเชียบ ทำหน้าที่เฝ้าเรือนคนเดียวต่อไปแม้ฉู่เนี่ยนซีจะดื่มไปเยอะ แต่ก็ยังมีสติอยู่ นางขยับตัวหนีโดยสัญชาตญาณเพื่อหลีกเลี่ยงลมหายใจที่รดใบหูอยู่ “กลับไปนอนที่ห้องท่านเถอะ”“เจ้าใช้น่องแกะกับสาเกล่อข้าไว้ที่นี่ ตอนนี้กลับจะไล่ข้าไป?”“ออกไป! ข้าง่วงแล้ว จะนอน!”ขณะที่เขาพูด ฉู่เนี่ยนซีพยายามจะดิ้นออกจากอ้อมแขนของเขา แต่ก็เผลอทำให้เขาล้มลงบนเตียงไปด้วยอย่างไม่ได้ตั้งใจหลายวันมานี้ฉู่เนี่ยนซีรู้สึกว่าชายคนนี้ทำตัวน่ารำคาญมาก ความง่วงในตอนนี้ทำให้อารมณ์ของนางขุ่นมัวกว่าเก่า จนอดไม่ได้ที่จะใช้เท้าเตะเขาเย่เฟยหลีเลิกคิ้วคว้าข้อเท้าของนางไว้ “เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าเตะข้า”ฉู่เนี่ยนซีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หลังจากดึงข้อเท้าของตนออกจึงรีบเอาผ้าห่มมาม้วนตัวเองเอาไว้หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือนางจะไม่ยอมแบ่งผ
ขณะเดียวกัน ณ ลานในเรือนของชายาหลีอาจเป็นเพราะเมื่อคืนดื่มไปมาก ไม่ว่าฉู่เนี่ยนซีจะพลิกตัวไปมากี่ครั้งก็ไม่สามารถโงหัวลุกขึ้นจากที่นอนได้ มีก็แต่ความรู้สึกเวียนหัว ขมับและท้ายทอยตึงไปหมดเท่านั้นแต่เดิมเย่เฟยหลีคอแข็งเป็นอันดับต้น ๆ ในแผ่นดินนี้ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงตื่นตั้งแต่เช้า แต่ก็ไม่ได้ตื่นเช้าเหมือนในยามปกติ ถึงอย่างไรเขาก็สั่งให้คนนำงานราชการมาทำที่นี่ และนั่งทำงานอยู่ข้าง ๆ ฉู่เนี่ยนซีด้านฉู่เนี่ยนซีที่เวียนหัวมาตลอดนั้น ก็ลืมตาขึ้นหลังจากการหลับนานจนสายป่านนี้สายตาของนางหยุดไปยังเย่เฟยหลีที่ใส่เพียงเสื้อคลุมชั้นใน และเสื้อคลุมตัวนอกที่ใส่มาเมื่อวาน นั่งห่างจากนางไม่ถึงสองฟุต กำลังตั้งสมาธิกับการเขียนรายงานเมื่อก้มมองดูตัวเอง พบว่าที่นอนถูกเก็บรวมเป็นกองเดียวกัน จำได้ว่าเมื่อคืนดื่มไปหนักมาก เผลอหลับไปทั้งที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า เห็นได้จากคราบมันสองคราบเป็นดวง ๆ บนชุดที่เลอะเพราะกินน่องไก่เป็นหลักฐานหากเทียบกันแล้ว ฉู่เนี่ยนซีคิดว่าตนเป็นเพียงหญิงสาวหยาบกระด้าง แต่เย่เฟยหลีเป็นองค์ชายที่ถูกเลี้ยงดูอบรมมาเป็นอย่างดี‘พรึ่บ’ ฉู่เนี่ยนซีลุกขึ้นจากที่นอนอย่างรวดเร็ว
‘ไร้สาระ? นางจะบอกว่า การมีแผลเป็นบนใบหน้านั้นเป็นเรื่องไร้สาระรึ?’เห็นได้ชัดว่าเย่เฟยหลีเริ่มสงสัย แต่ฉู่เนี่ยนซีที่กำลังนวดขมับเพราะมีอาการเมาค้างก็ไม่อยากจะอธิบายอะไรต่อ นางเดินออกไปหาเสี่ยวกับอวี๋หนานให้ทำน้ำแกงแก้เม้าค้างให้เย่เฟยหลีกระชับเสื้อคลุมแน่น แม้จะเป็นช่วงกลางฤดูร้อน แต่ตอนเช้าเช่นนี้ก็มีลมเย็น ๆ อยู่เล็กน้อย เขาเห็นฉู่เนี่ยนซีกำลังนั่งกินน้ำแกงแก้เมาค้างกับเสี่ยวเถาและคนอื่น ๆ อยู่ตรงลานในเรือน เขาเห็นภาพนั้นแล้วรู้สึกว่าชีวิตนี้ก็ดูสงบดีไม่เบา‘ฉู่เนี่ยนซีไม่เหมือนกับหญิงสาวนางอื่น ที่จะรั้งแขกไว้อย่างเต็มที่เวลาพวกเขามาเยี่ยมเยียน’‘แต่กลับตรงกันข้าม ประมาณว่าถ้าเจ้ามาข้าก็ต้อนรับขับสู้ แต่ถ้าจะไปก็ขอไม่ส่งแล้วกัน’เย่เฟยหลีอยู่ที่เรือนนี้มาจวนจะหนี่งวันแล้ว คงอยู่นานมากกว่านี้ไม่ได้ ขณะที่เดินออกจากเรือนของฉู่เนี่ยนซี ก็เห็นชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมปักลายยับ ๆ วิ่งพรวดพราดเข้ามา“นี่ พี่สามของข้า ท่านมาอยู่ที่นี่นี่เอง”เมื่อเย่ฉงเฉิงเปิดปากพูดก็มีกลิ่นสุราลอยออกมาหึ่ง “ข้าถูกนายแม่ของหอดนตรีหมายหัว แต่ผู้ติดตามของข้าถูกจับตัวไว้ที่นั่น ไม่มีทางเลือกแล้ว ให้ข้าซ่