แผ่นหลังของฉู่เนี่ยนซีได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นนางจึงได้แต่นอนราบเท่านั้น เสี่ยวเถาให้ยาฉู่เนี่ยนซีอย่างระมัดระวัง ในขณะที่น้ำตาไหลไปด้วยแต่ฉู่เนี่ยนซีอาการหนักจนไม่สามารถดื่มยาเข้าไปได้เลยเย่เฟยหลีให้นางพิงแขนของเขาอย่างแผ่วเบาเพื่อหลีกเลี่ยงบาดแผลอย่างระมัดระวัง มือขวาของเขาหยิบช้อนมาป้อนยาให้กับฉู่เนี่ยนซีทีละน้อยคืนฤดูหนาวมาถึงอย่างรวดเร็ว ลมหนาวส่งเสียงอันน่าสะพรึงกลัวผ่านกิ่งไม้แห้ง ราวกับเสียงสัตว์ร้ายที่เข้าโจมตีเมืองอย่างบ้าคลั่งเหลียงหยวนและอวี๋เป่ยที่ไปยังที่ต่าง ๆ มาตลอดทั้งคืนก็กลับมาเห็นเย่เฟยหลีรอพวกเขาอยู่ในห้องโถงใหญ่ เหลียงหยวนยกมือขึ้นคำนับทันทีพลางพูดว่า “ท่านอ๋อง กระหม่อมและอวี๋เป่ยสืบพบว่านักฆ่าเหล่านั้นล้วนเป็นคนของกองกำลังชังสวรรค์พ่ะย่ะค่ะ”เมื่อเย่เฟยหลีได้ยินคำว่า “กองกำลังชังสวรรค์” ในดวงตาของเขาก็เหมือนมีพายุและฝนตกที่โหมกระหน่ำจนทำให้ทั้งทะเลกลายเป็นคลื่นรุนแรง ข้อต่อของหมัดที่กำแน่นของเขาเปลี่ยนเป็นสีซีดกองกำลังชังสวรรค์ นั่นคือกองกำลังของเย่เหลียนเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ฉู่เนี่ยนซีก็ลืมตาขึ้น ก่อนที่นางจะรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนนางก็รู้สึกถึงความเจ็บ
เย่เฟยหลีรีบโน้มตัวไปข้างหน้าพลางถามอย่างกังวลใจฉู่เนี่ยนซีเห็นว่าเขาขมวดคิ้วเคร่งเครียดมากกว่าเดิม ทันใดนั้นนางก็นึกถึงท่าทางเช่นนี้ในตอนที่เขาเห็นนางบาดเจ็บอย่างหนักที่โรงพนันหุยหุน ทำให้หัวใจของนางเต้นเร็วมากขึ้น“ข้าไม่เป็นไร ข้าเพียงจะ… จะเรียกเสี่ยวเถาเข้ามา”ดวงตาที่กะพริบของฉู่เนี่ยนซีเหมือนดูราวกับผีเสื้อที่บินในฤดูร้อน นางแอบหายใจเข้าลึก ๆ สองครั้งเพื่อสงบสติอารมณ์ที่สั่นไหวในหัวใจเสี่ยวเถาได้ยินเสียงเรียกจึงเข้ามาหาฉู่เนี่ยนซี พลางถามอย่างเป็นทุกข์ “พระชายาต้องการอะไรหรือเพคะ?”ฉู่เนี่ยนซียันตัวขึ้นมาด้วยมือข้างเดียวและยกมืออีกข้างชี้ไปที่โต๊ะเครื่องแป้งอย่างยากลำบาก“หยิบหยกห้อยเอวที่อยู่ในลิ้นชักเครื่องประดับเล็ก ๆ ชั้นสามออกมาคืนให้ท่านอ๋อง ไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ภายหลังจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเทียวไปเทียวมา”“ไม่ต้องหรอก”ขาของเสี่ยวเถาที่กำลังจะขยับถูกหยุดยั้งด้วยเสียงเย็นชาของเย่เฟยหลี นางมองฉู่เนี่ยนซีอย่างลำบากใจด้วยไม่รู้ว่านางตัวเองควรจะไปหยิบมันมาดีหรือไม่“ท่านอ๋องควรเก็บสิ่งมีค่าเช่นนี้ไว้กับตัวท่านเองจะดีกว่า หากฝากไว้ที่นี่กับข้าแล้วมันหายไป ก็คงจะ
ดวงตาของนางมีอารมณ์มากเกินไปในขณะที่นางเงยหน้ามองเขา อีกทั้งริมฝีปากซีดจากการบาดเจ็บของนางก็ขยับขึ้นลงแตะกัน“ท่านอ๋อง แต่ไม่ว่าอย่างไร ข้าขอเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว คือการมีเพียงเราสองคนไปจนกว่าจะหาไม่ ท่านทำได้หรือไม่?”ฉู่เนี่ยนซีจ้องไปที่ดวงตาของเย่เฟยหลีอย่างแน่วแน่เจือด้วยความผิดหวัง พายุในดวงตาคู่นั้นทำให้นางไม่เข้าใจอะไรเลย “เป็นเรื่องง่ายที่จะสนใจใครสักคน แต่หากจะให้มั่นคงกับแค่คนคนเดียวคงทำได้ยาก ท่านอ๋องควรไปดูแลซ่างกวานเยียนให้ดีจะดีกว่า”‘ใช่แล้ว มีอุปสรรคมากมายระหว่างพวกเขา ชื่อเสียง ความมั่งคั่ง อำนาจ กลอุบาย และซ่างกวานเยียนที่ตั้งครรภ์ลูกให้เขา’“จริง ๆ แล้วข้าไม่เคย...”คำพูดของเย่เฟยหลีถูกหยุดไว้กลางคันด้วยเสียงผู้หญิงที่ไพเราะและสดใสในลานบ้าน“เยียนเอ๋อร์ได้ยินว่าพระชายาได้รับบาดเจ็บ ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรบ้างเพคะ? ได้โปรดให้เยียนเอ๋อร์เข้าเยี่ยมจะได้หรือไม่ หากเห็นว่าพระชายาสบายดี เยียนเอ๋อร์ก็จะได้กลับไปอย่างสบายใจ”ฉู่เนี่ยนซีล้มหัวลงบนหมอนพลางยิ้มเยาะ พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา“ท่านอ๋อง คนที่ท่านแต่งงานด้วยอย่างมีความสุขกำลังรออยู่ที่หน้าประตู ข้าไม่สบาย คง
เย่เฟยหลีสวมชุดคลุมสีดำลวดลายสีเข้ม ดูตัดกับหิมะและน้ำค้างแข็ง เขาก้าวเข้าไปในธรณีประตูจวนอ๋องเหลียนโดยไม่ลังเล เหลียงหยวนจ้องยามเฝ้าประตูแล้วเดินตามรอยเท้าของเย่เฟยหลีเข้าไปเด็กรับใช้กุลีกุจอมาแจ้งกับเย่เหลียนโดยตรง ทันทีที่เขาทราบเรื่อง ในอกของเขาก็ปะทุด้วยความโกรธจัด จึงเปิดประตูแล้วรีบออกไป เมื่อเขาเห็นร่างสีดำ เขาก็ตะโกน “เย่เฟยหลี เจ้าบังอาจเสียจริง ถึงได้ประมาทบุกเข้ามาในจวนของข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต”เย่เฟยหลีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จ้องมองคนตรงหน้าที่เป็นอ๋องด้วยมุมปากที่ยกขึ้นอย่างเหยียดหยามและไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เขาขยับเบา ๆ อย่างรวดเร็วไปหาเย่เหลียน รวบรวมพลังในฝ่ามือ เข้ากระแทกหน้าอกของเย่เหลียนเย่เหลียนไม่คาดคิดว่าเย่เฟยหลีจะพุ่งเข้ามาหาตรง ๆแม้ว่าเขาจะต้านไว้ได้ทันเวลา แต่เขาก็ยังช้ากว่าเล็กน้อย ทำให้เขาเสียเปรียบทันที อีกทั้งความเร็วในการโจมตีของเขาก็ช้ากว่าของเย่เฟยหลี เขาจึงทำได้เพียงต้านไว้ได้ไม่กี่ครั้งเท่านั้น เขากึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น กระอักเลือดสีแดงสดออกจากมุมปากไปจนถึงชายเสื้อ เลือดทุกหยดที่ไหลลงมาถือเป็นการดูถูกเหยียดหยามเย่เหลียน“เย่เหลียน สิ่งที่แย่ที่
เย่เฟยหลีมองมาอย่างเย็นชา ดวงตาของเขาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยภูเขาน้ำแข็ง และความหนาวเย็นที่ปล่อยออกมาก็ไม่สามารถถูกละลายได้ด้วยแม้แต่ช่องมังกรดินในห้องทรงงาน“เหลียนเอ๋อร์ ที่เจ้ารีบร้อนมาที่นี่เป็นเพราะเรื่องที่หลีเอ๋อร์ทำร้ายเจ้ารึ?”องค์จักรพรรดิทรงใช้ข้อศอกพิงพนักแขนของเก้าอี้บัลลังก์ตรัสกับเย่เหลียนเย่เหลียนจ้องเย่เฟยหลีด้วยความโกรธที่ซ่อนเร้นไว้ ที่แท้เขาออกจากจวนอ๋องเหลียนแล้วตรงไปที่พระราชวังเพื่อรายงานเรื่องนี้ต่อองค์จักรพรรดิ “หลีเอ๋อร์ยอมรับว่าได้ทำร้ายเจ้า แต่เขาบอกว่าเป็นเจ้าที่เริ่มก่อน เพราะชายาหลีกล่าวหาชายาเหลียน ทำให้เจ้ามีความแค้นในใจ คิดแก้แค้นอย่างลับ ๆ เขาถึงได้ทำร้ายเจ้าด้วยความโกรธ เหลียนเอ๋อร์ นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”น้ำเสียงอ่อนโยนขององค์จักรพรรดิมีความสง่างามอย่างไม่อาจต้านทานได้ อีกทั้งดวงตาของเขาที่กวาดมองมาก็ส่องประกายอันเย็นชาออกมาเย่เหลียนคุกเข่าลงบนพื้นทันทีด้วยสีหน้าของคนที่ถูกใส่ร้าย น้ำเสียงของเขาจริงใจและร้อนรน“เสด็จพ่อทรงทราบดีว่าลูกจะไม่ทำสิ่งที่ชั่วร้ายเช่นนี้ แม้จาวอวิ๋นจะถูกกล่าวหา แต่ลูกรู้ว่าเสด็จพ่อจะต้องทรงสืบทราบอย่างแน่นอนว่าเป
“ส่วนเจี่ยงเกอเหล่า ข้าคิดว่าเขาน่าจะได้รับการปล่อยตัวเร็ว ๆ นี้ ท่านควรคิดคำพูดไปตอบคำถามของเขาว่าเหตุใดท่านถึงสนใจแต่เรื่องทางการทหารและไม่พยายามปกป้องลูกสาวของเขา”หลังจากพูดจบ เย่เฟยหลีก็ก้าวไปทางขวาแล้วเดินออกไป เย่เหลียนหันกลับมามองตามหลังเขา พลางกำหมัดแน่น แต่ก็ทำอะไรไม่ถูกที่แท้เขาก็จงใจทำให้ตัวเองถูกกักบริเวณในจวนโดยมีจุดประสงค์เพียงเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ชิดฉู่เนี่ยนซี!เหลียงหยวนกลับจวนมาพร้อมกับเย่เฟยหลี เขาไปส่งเย่เฟยหลีที่ห้องหนังสือก่อนแล้วจึงมาที่เรือนของฉู่เนี่ยนซี เสี่ยวเถาที่กำลังพัดหม้อต้มยาเห็นร่างของเหลียงหยวนก็โบกมือให้เขา“ท่านเป็นขโมยรึ ถึงได้มาทำลับ ๆ ล่อ ๆ เช่นนี้?”เหลียงหยวนแสร้งทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเดินมาหาเสี่ยวเถาพลางถามทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้ว “นี่ยาสำหรับพระชายาหรือ?”“อือ”“ครั้งหน้าเจ้าช่วยต้มยาบำรุงให้ท่านอ๋องด้วยสิ วันนี้พระองค์บุกไปทำร้ายอ๋องเหลียนถึงจวนเจ้าตัวอย่างไม่ไว้หน้า จนเผลอทำให้ตัวเองบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจน่ะ”เหลียงหยวนมองเท้าตัวเองแล้วพูดคำที่เขาซ้อมในใจอย่างรวดเร็วก่อนจะหันหลังเดินจากไปเสี่ยวเถาส่งเสียงสับสนในตอนแรก จา
“เยียนเอ๋อร์ เจ้าไม่สบายตัวถึงได้รีบร้อนเรียกข้ามาหรือ?”ซ่างกวานชางเดินไม่กี่ก้าวไปนั่งลงข้าง ๆ ซ่างกวานเยียนและสูดกลิ่นหอมของนางเข้าไปจนเต็มปอด“ท่านพี่ ท่านคิดอย่างไรเรื่องที่เราส่งคนไป? จะถูกเปิดเผยรึเปล่า? ข้าว่าดูเหมือนอ๋องหลีจะพบอะไรบางอย่างแล้ว”นิ้วที่อ่อนแอราวกับไม่มีกระดูกของซ่างกวานเยียนเกาะติดกับหลังมือของซ่างกวานชาง พลางลูบเส้นเลือดที่ปูดโปนออกมา“เยียนเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล ข้าปิดบังตัวตนตอนที่ไปจ้างนักฆ่า พวกเขาจะไม่มีทางหาพวกเราเจอ” ซ่างกวานชางกล่าวด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม“แต่ท่านพี่ พวกเราใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ก็ยังฆ่าฉู่เนี่ยนซีไม่ได้ หากในอนาคตนางพบเบาะแสอะไรขึ้นมา ความมั่งคั่งของตระกูลเราที่สะสมไว้ในที่สุดก็จะถูกทำลายลงด้วยมือของนาง”ซ่างกวานเยียนล่อลวงซ่างกวานชาง“คาดไม่ถึงว่านางจะโชคดีขนาดนี้ คราวนี้นางหนีรอดไปได้ ข้าว่าคราวหน้านางคงจะยิ่งระวังตัวแจ”“พวกเราควรทำอย่างไรกันดีท่านพี่?”“ข้าได้ยินมาว่ามีกลุ่มนักฆ่าหน้าใหม่ในโลกวรยุทธ์ แถมชื่อเสียงของพวกเขาเกือบจะดีพอ ๆ กับกลุ่มชื่อดัง เดี๋ยวข้าจะลองไปติดต่อพวกเขา”“ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านพี่ต้องมีวิธี”ซ่าวกวาน
ฉู่เนี่ยนซีคนช้อน ความคิดมากมายติดอยู่ในใจ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดถึงเรื่องที่เย่เฟยหลีบุกไปยังจวนอ๋องเหลียน นางแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจและถามว่า “ท่านได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือไม่? ให้ข้าตรวจชีพจรดูไหม เผื่อเป็นอะไรขึ้นมาจะได้รักษาทันท่วงที”เย่เฟยหลีหยุดชะงักพลางหันไปเหลือบมองเหลียงหยวน เหลียงหยวนก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิดในทันทีโดยไม่เห็นแววตาชื่นชมที่เย่เฟยหลีส่งมาให้“เช่นนั้นรบกวนซีเอ๋อร์ด้วย”เย่เฟยหลียื่นข้อมือให้แล้วมองฉู่เนี่ยนซีอย่างอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีจับชีพจรของเขา นางก็มองเย่เฟยหลีด้วยความสับสน “นี่ท่านสุขภาพแข็งแรงมากไม่ใช่หรือ?”“ข้าอาจจะกินยาจนหายดีแล้ว อีกทั้งข้าคงไม่ได้เจ็บหนักอะไร” เย่เฟยหลีพูดอย่างใจเย็น“จริงสิ แล้วเหตุใดวันนี้ท่านจึงไม่ไปทำงานล่ะเจ้าคะ?”ฉู่เนี่ยนซีที่กำลังกินโจ๊กก็นึกขึ้นได้ว่าเหตุใดในเวลานี้เย่เฟยหลีถึงยังอยู่ที่จวน“เป็นเพราะท่านอ๋องไปทำร้ายท่านอ๋องเหลียนเข้า องค์จักรพรรดิจึงมีรับสั่งให้กักบริเวณท่านอ๋องสิบห้าวัน ดังนั้นท่านอ๋องจึงไม่ต้องไปทำงานพ่ะย่ะค่ะ” เหลียงหยวนอธิบายอยู่ข้าง ๆเย่เฟยหลีพยักหน้าเล็กน้อย คิ
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย