เย่เฟยหลีมองมาอย่างเย็นชา ดวงตาของเขาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยภูเขาน้ำแข็ง และความหนาวเย็นที่ปล่อยออกมาก็ไม่สามารถถูกละลายได้ด้วยแม้แต่ช่องมังกรดินในห้องทรงงาน“เหลียนเอ๋อร์ ที่เจ้ารีบร้อนมาที่นี่เป็นเพราะเรื่องที่หลีเอ๋อร์ทำร้ายเจ้ารึ?”องค์จักรพรรดิทรงใช้ข้อศอกพิงพนักแขนของเก้าอี้บัลลังก์ตรัสกับเย่เหลียนเย่เหลียนจ้องเย่เฟยหลีด้วยความโกรธที่ซ่อนเร้นไว้ ที่แท้เขาออกจากจวนอ๋องเหลียนแล้วตรงไปที่พระราชวังเพื่อรายงานเรื่องนี้ต่อองค์จักรพรรดิ “หลีเอ๋อร์ยอมรับว่าได้ทำร้ายเจ้า แต่เขาบอกว่าเป็นเจ้าที่เริ่มก่อน เพราะชายาหลีกล่าวหาชายาเหลียน ทำให้เจ้ามีความแค้นในใจ คิดแก้แค้นอย่างลับ ๆ เขาถึงได้ทำร้ายเจ้าด้วยความโกรธ เหลียนเอ๋อร์ นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”น้ำเสียงอ่อนโยนขององค์จักรพรรดิมีความสง่างามอย่างไม่อาจต้านทานได้ อีกทั้งดวงตาของเขาที่กวาดมองมาก็ส่องประกายอันเย็นชาออกมาเย่เหลียนคุกเข่าลงบนพื้นทันทีด้วยสีหน้าของคนที่ถูกใส่ร้าย น้ำเสียงของเขาจริงใจและร้อนรน“เสด็จพ่อทรงทราบดีว่าลูกจะไม่ทำสิ่งที่ชั่วร้ายเช่นนี้ แม้จาวอวิ๋นจะถูกกล่าวหา แต่ลูกรู้ว่าเสด็จพ่อจะต้องทรงสืบทราบอย่างแน่นอนว่าเป
“ส่วนเจี่ยงเกอเหล่า ข้าคิดว่าเขาน่าจะได้รับการปล่อยตัวเร็ว ๆ นี้ ท่านควรคิดคำพูดไปตอบคำถามของเขาว่าเหตุใดท่านถึงสนใจแต่เรื่องทางการทหารและไม่พยายามปกป้องลูกสาวของเขา”หลังจากพูดจบ เย่เฟยหลีก็ก้าวไปทางขวาแล้วเดินออกไป เย่เหลียนหันกลับมามองตามหลังเขา พลางกำหมัดแน่น แต่ก็ทำอะไรไม่ถูกที่แท้เขาก็จงใจทำให้ตัวเองถูกกักบริเวณในจวนโดยมีจุดประสงค์เพียงเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ชิดฉู่เนี่ยนซี!เหลียงหยวนกลับจวนมาพร้อมกับเย่เฟยหลี เขาไปส่งเย่เฟยหลีที่ห้องหนังสือก่อนแล้วจึงมาที่เรือนของฉู่เนี่ยนซี เสี่ยวเถาที่กำลังพัดหม้อต้มยาเห็นร่างของเหลียงหยวนก็โบกมือให้เขา“ท่านเป็นขโมยรึ ถึงได้มาทำลับ ๆ ล่อ ๆ เช่นนี้?”เหลียงหยวนแสร้งทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเดินมาหาเสี่ยวเถาพลางถามทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้ว “นี่ยาสำหรับพระชายาหรือ?”“อือ”“ครั้งหน้าเจ้าช่วยต้มยาบำรุงให้ท่านอ๋องด้วยสิ วันนี้พระองค์บุกไปทำร้ายอ๋องเหลียนถึงจวนเจ้าตัวอย่างไม่ไว้หน้า จนเผลอทำให้ตัวเองบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจน่ะ”เหลียงหยวนมองเท้าตัวเองแล้วพูดคำที่เขาซ้อมในใจอย่างรวดเร็วก่อนจะหันหลังเดินจากไปเสี่ยวเถาส่งเสียงสับสนในตอนแรก จา
“เยียนเอ๋อร์ เจ้าไม่สบายตัวถึงได้รีบร้อนเรียกข้ามาหรือ?”ซ่างกวานชางเดินไม่กี่ก้าวไปนั่งลงข้าง ๆ ซ่างกวานเยียนและสูดกลิ่นหอมของนางเข้าไปจนเต็มปอด“ท่านพี่ ท่านคิดอย่างไรเรื่องที่เราส่งคนไป? จะถูกเปิดเผยรึเปล่า? ข้าว่าดูเหมือนอ๋องหลีจะพบอะไรบางอย่างแล้ว”นิ้วที่อ่อนแอราวกับไม่มีกระดูกของซ่างกวานเยียนเกาะติดกับหลังมือของซ่างกวานชาง พลางลูบเส้นเลือดที่ปูดโปนออกมา“เยียนเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล ข้าปิดบังตัวตนตอนที่ไปจ้างนักฆ่า พวกเขาจะไม่มีทางหาพวกเราเจอ” ซ่างกวานชางกล่าวด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม“แต่ท่านพี่ พวกเราใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ก็ยังฆ่าฉู่เนี่ยนซีไม่ได้ หากในอนาคตนางพบเบาะแสอะไรขึ้นมา ความมั่งคั่งของตระกูลเราที่สะสมไว้ในที่สุดก็จะถูกทำลายลงด้วยมือของนาง”ซ่างกวานเยียนล่อลวงซ่างกวานชาง“คาดไม่ถึงว่านางจะโชคดีขนาดนี้ คราวนี้นางหนีรอดไปได้ ข้าว่าคราวหน้านางคงจะยิ่งระวังตัวแจ”“พวกเราควรทำอย่างไรกันดีท่านพี่?”“ข้าได้ยินมาว่ามีกลุ่มนักฆ่าหน้าใหม่ในโลกวรยุทธ์ แถมชื่อเสียงของพวกเขาเกือบจะดีพอ ๆ กับกลุ่มชื่อดัง เดี๋ยวข้าจะลองไปติดต่อพวกเขา”“ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านพี่ต้องมีวิธี”ซ่าวกวาน
ฉู่เนี่ยนซีคนช้อน ความคิดมากมายติดอยู่ในใจ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดถึงเรื่องที่เย่เฟยหลีบุกไปยังจวนอ๋องเหลียน นางแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจและถามว่า “ท่านได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือไม่? ให้ข้าตรวจชีพจรดูไหม เผื่อเป็นอะไรขึ้นมาจะได้รักษาทันท่วงที”เย่เฟยหลีหยุดชะงักพลางหันไปเหลือบมองเหลียงหยวน เหลียงหยวนก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิดในทันทีโดยไม่เห็นแววตาชื่นชมที่เย่เฟยหลีส่งมาให้“เช่นนั้นรบกวนซีเอ๋อร์ด้วย”เย่เฟยหลียื่นข้อมือให้แล้วมองฉู่เนี่ยนซีอย่างอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีจับชีพจรของเขา นางก็มองเย่เฟยหลีด้วยความสับสน “นี่ท่านสุขภาพแข็งแรงมากไม่ใช่หรือ?”“ข้าอาจจะกินยาจนหายดีแล้ว อีกทั้งข้าคงไม่ได้เจ็บหนักอะไร” เย่เฟยหลีพูดอย่างใจเย็น“จริงสิ แล้วเหตุใดวันนี้ท่านจึงไม่ไปทำงานล่ะเจ้าคะ?”ฉู่เนี่ยนซีที่กำลังกินโจ๊กก็นึกขึ้นได้ว่าเหตุใดในเวลานี้เย่เฟยหลีถึงยังอยู่ที่จวน“เป็นเพราะท่านอ๋องไปทำร้ายท่านอ๋องเหลียนเข้า องค์จักรพรรดิจึงมีรับสั่งให้กักบริเวณท่านอ๋องสิบห้าวัน ดังนั้นท่านอ๋องจึงไม่ต้องไปทำงานพ่ะย่ะค่ะ” เหลียงหยวนอธิบายอยู่ข้าง ๆเย่เฟยหลีพยักหน้าเล็กน้อย คิ
ในตอนแรก ฉู่เนี่ยนซีรู้สึกไม่พอใจอย่างมากที่เย่เฟยหลีมานอนในหอนอนของนาง พร้อมทั้งขู่ว่าหากเหลียงหยวนย้ายเตียงเข้าไป นางจะสับเตียงเป็นฟืนแล้วโยนเข้าไปในครัวเป็นเชื้อไฟทำอาหารเย่เฟยหลีปล่อยให้นางพูดคำจาด่าทอสารพัด แต่ยืนกรานที่จะนอนข้าง ๆ นาง เพราะอย่างไรนางก็ได้รับบาดเจ็บและขยับตัวไม่ได้ ดังนั้นนางจึงทำได้แค่ห้ามด้วยปากในคืนแรก ฉู่เนี่ยนซีปฏิเสธอย่างหนักที่จะให้เย่เฟยหลีนอนที่นี่ร่วมห้อง เมื่อเห็นเขานอนลง นางจึงอยากจะลุกขึ้นและไปนอนที่ห้องข้าง ๆ แต่เย่เฟยหลีแสร้งทำเป็นพูดว่านางได้รับบาดเจ็บและยังไม่หายดี นางจึงถอนหายใจบนเตียงโดยไม่ได้ตั้งใจ ฉู่เนี่ยนซีส่งเสียง “เฮ้อ” ก่อนจะนอนลงอีกครั้งด้วยความรู้สึกผิด“นอนได้แล้ว ตั้งแต่วันที่เจ้าถูกขังข้าก็นอนไม่ค่อยหลับเลย ตอนนี้ได้เห็นเจ้าอยู่ข้าง ๆ เช่นนี้ข้าก็สบายใจขึ้นมาก”หลังจากที่เย่เฟยหลีพูดจบ เขาก็หลับตานิ่งราวกับว่าเขาเหนื่อยมากจนหลับไปทันทีฉู่เนี่ยนซีมองแสงจันทร์ที่เด่นชัดด้านนอกหน้าต่างซึ่งตกลงมากระทบใบหน้าของเขา ทำให้เกิดความแวววาวราวหยก ราวกับคล้ายเป็นก้อนหินที่ทะลุเข้าไปในหัวใจของนาง ทำให้ทะเลสาบในใจผืนนั้นเกิดแรงกระเพื่อมอีกค
เย่เฟยหลียืนกรานที่จะดูฉู่เนี่ยนซีกินอาหารเย็นจนเสร็จ หลังจากเก็บโต๊ะแล้ว เขาก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ “ข้าจะไปค่ายทหารในอีกสองวัน อีกทั้งช่วงนี้มีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย หากตอนกลางคืนเจ้าง่วงก็นอนก่อนได้เลย ต้องรอข้า”สาวใช้ตัวน้อยที่อยู่ข้าง ๆ พวกเขายิ้มอย่างเขินอายเมื่อได้ยินดังนั้น ต่างพากันมองหน้ากันเพื่อแสดงความชื่นชมในความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างท่านอ๋องและพระชายาฉู่เนี่ยนซีเพียงแค่ยิ้มแหย ๆ ให้เย่เฟยหลี หลังจากฟังเสียงรองเท้าของเขาหายไปจากเรือน นางก็จ้องมองสาวใช้ด้วยสายตาที่เย็นชาและเห็นว่าพวกนางกลับมามีท่าทางจริงจังและนอบน้อมอีกครั้ง นั่นจึงทำให้ทุกคนต้องออกไป“พระชายา นี่คือตำราแพทย์บางส่วนที่ท่านอ๋องนำมาให้ท่านโดยเฉพาะเพื่อคลายความเบื่อเพคะ”เสี่ยวเถามอบหนังสือให้ฉู่เนี่ยนซีด้วยความดีใจ เมื่อมองดูใบหน้าที่สดใสของฉู่เนี่ยนซี นางก็รู้สึกมีความสุขไม่น้อยฉู่เนี่ยนซีหยิบหนังสือขึ้นมาอย่างไม่พอใจพลางสุ่มพลิกดูสองสามหน้า “แต่ข้าอยากออกไปข้างนอก”“ท่านอ๋องบอกว่าท่านต้องพักฟื้นอีกสองสามวันเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองเสี่ยวเถาด้วยความไม่พอใจมากยิ่งขึ้น “นี่เจ้าเชื่อฟังข้าหรือเย่เฟยหล
“นายหญิง กระหม่อมกลับมาคราวนี้ มีเรื่องสำคัญจะรายงานให้ท่านทราบ” อวี๋ซียกมือคำนับอย่างเคร่งขรึม “มีคนติดต่อมาที่กองกำลังและเสนอรางวัลก้อนโตมาให้ พวกเขาบอกว่าหลังจากเรื่องนี้เสร็จสิ้น จะมีค่าตอบแทนเพิ่มเป็นทองคำอีกจำนวนหนึ่ง แต่ศีรษะของคนที่เขาต้องการคือศีรษะของท่าน”ลมที่พัดเข้ามาผ่านทางช่องว่างของหน้าต่างแกะสลักทำให้เปลวเทียนแกว่งไปมาจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง จนภาพสะท้อนบนใบหน้าของฉู่เนี่ยนซีสั่นไหวนางหลุบตาลง ในหัวคิดถึงความเป็นไปได้หลายอย่าง แต่ทั้งหมดก็ถูกตัดทิ้งไปทีละอย่างนางมองอวี๋ซีด้วยสายตาที่เย็นชาและสงสัย ต่างหูของนางยังคงสั่นไหวขณะที่นางหันกลับมา “มันผู้นั้นเป็นใคร?”“มีกฎของกองกำลังที่ว่าเมื่อรับคำสั่งว่าจ้างห้ามถามชื่อนายจ้างเหมือนฝ่ายนั้นจะได้ยินเรื่องนี้มาจึงไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสงสัย กระหม่อมเพียงแต่บอกว่างานนี้ค่อนข้างยากจึงขอพิจารณาดูก่อน และได้ลองขอให้คนผู้นั้นกลับมาอีกในสามวัน และนี่ก็ผ่านไปหนึ่งวันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฉู่เนี่ยนซีเดินขึ้นไปที่โต๊ะกลม วางนิ้วเรียวเล็ก ๆ ของนางบนผ้าปูโต๊ะและสัมผัสลวดลายการปักที่ประณีต นางชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเอ
“หากพรุ่งนี้ฉู่เนี่ยนซีไม่ออกไปข้างนอก หมายความว่าทุกอย่างที่วางแผนไว้จะพังทลายไม่ใช่หรือ ไม่ได้นะ”นางเรียกฝูหรงมาอยู่ข้าง ๆ พลางให้นางก้มลงแล้วป้องหูกระซิบ “พรุ่งนี้เช้า ให้อาศัยจังหวะที่มหาเสนาบดีฉู่…”เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่ฉู่เนี่ยนซีและเย่เฟยหลีกำลังรับประทานอาหารเช้า นางก็เหลือบมองเย่เฟยหลีที่ดูปกติแล้วถามว่า “เมื่อวานเป็นวันสุดท้ายของการกักบริเวณสิบห้าวัน และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องไปทำงานแล้ว ท่านจะไม่ไปหรือ?”“ข้าทำเรื่องลาไปแล้ว ไม่สำคัญอะไรหรอก วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เจ้าบอก หากอยู่ห่างจากเจ้าข้าคงวางใจไม่ได้”เย่เฟยหลีเอ่ยเสียงเรียบ มีร่องรอยของความกังวลซ่อนอยู่ในดวงตาของเขาฉู่เนี่ยนซีรู้อยู่แล้วว่าคนเหล่านั้นเป็นคนของอวี๋ซี และจะไม่ทำร้ายนางอย่างแน่นอน หลังจากอธิบายสถานการณ์ให้ เย่เฟยหลีฟังอย่างรวดเร็วแล้ว เสี่ยวเถาก็วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนกทำให้นางกลืนคำพูดที่นางกำลังจะพูดกลับลงคอไป“ท่านอ๋อง พระชายา หม่อมฉันได้ยินมาว่าเมื่อเช้านี้ฮูหยินถูกพวกโจรจับขังไว้ในวัดขณะถวายเครื่องหอมที่วัดเป่าฮวา ตอนนี้สถานการณ์น่าเป็นห่วงมากเพคะ”เสี่ยวเถาวิ่งมาอย่างด้วยความใจจดใจจ่อ
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย