แสงแดดยามพลบค่ำลอยอยู่บนท้องฟ้าทางทิศตะวันตก และมีแสงสีแดงลอยอยู่ในอากาศเย็นดวงตาของเซวียหนานคงเต็มไปด้วยความอบอุ่น เสียงของเขาเบาลง และดวงตาของเขาเต็มไปด้วยการวิงวอน “เป่ยถู ได้โปรดช่วยนางด้วยเถิด” เมื่อเป่ยถูได้ยินว่าหนานคงอ้อนวอนตนเองเพื่อพระชายาอ๋องแห่งอาณาจักรแห่งรัตติกาล ความโกรธในใจของเขาก็ระเบิดขึ้นราวกับเทน้ำมันลงกองไฟ และน้ำเสียงของเขาเยือกเย็นขึ้นกว่าเดิม “เจ้าอยากให้ข้าช่วยนางอย่างไร? ต้องให้ข้าเปิดเผยตัวตนและทำให้มณฑลตะวันตกตกกลายเป็นถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียวอย่างนั้นหรือ?”ดวงตาของเซวียหนานคงดูโดดเดี่ยวมากขึ้น และเขาเพียงตอบไปเบา ๆ ว่า "เข้าใจแล้ว" และหันหลังจากไปทันทีเนื่องจากเป่ยถูปฏิเสธที่จะช่วยเหลือ เขาจึงทำได้เพียงคิดหาวิธีอื่นเท่านั้นเพราะตอนนี้พวกเขาอาศัยอยู่ในโลกที่แตกต่างกัน"แต่..."เมื่อได้ยินเสียงของเป่ยถู เซวียหนานคงก็หยุดเดินและหันกลับไปมองดูคนข้างหลังอย่างมีความหวังเป่ยถูลดสายตาลงขบคิดราวกับว่าเขามีคำตอบที่แน่นอนอยู่ในใจ เขาเงยหน้าขึ้นและยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แค่มุมปากก็ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความชั่วร้าย“หากเจ้ายอมทำข้อตกลงกับข้า...”เป่ยถูลากคำยาว
เซวียหนานคงเกาหู เขาไม่เคยโกหกป้าตัวเองเลยในชีวิต และในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้เขาก็พูดอะไรไม่ออกท่านป้าจ้องมองเขาอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะเดินไม่กี่ก้าวไปถึงข้างหน้าเขา นางพลางเดินเข้าไปพลางพยักหน้า พร้อมกับเยาะเย้ยเล็กน้อยในดวงตา“เจ้าเด็กน้อย ตกหลุมรักแล้วก็คือตกหลุมรัก เหตุใดต้องย้ายบ้านด้วย ทำไม? เจ้าวางแผนจะหนีตามใครอย่างนั้นรึ? อย่าว่าแต่ไม่ต้องการป้าอย่างข้าแล้ว เจ้าไม่คิดจะกล่าวอำลากับข้าเลยด้วยหรือ?"“ไม่ใช่นะขอรับ ท่านป้า...นี่ท่านพูดอะไรกัน?!”เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านป้า เซวียหนานยังคงเป็นเหมือนเด็กเสมอ และเมื่อเขาได้ยินป้าของเขาพูดเช่นนั้น เขาก็รีบโบกมือเป็นพลันวัน แม้แต่หลังหูก็กลายเป็นสีแดง“หากเจ้าชอบจริง ๆ ก็ยอมรับกับป้าอย่างเปิดเผยแบบลูกผู้ชาย อย่าทำตัวลับ ๆ ล่อ และขี้ขลาด…”ขณะที่กำลังดุเซวียหนานคงนางก็ได้ยินเซวียหนานคงพึมพำเสียงต่ำว่า “แบบลูกผู้ชายหมายความว่าอย่างไร ข้าเป็นลูกผู้ชายอยู่แล้ว” “เช่นนั้นแล้วเหตุใดเจ้าถึงยังไม่กล้ายอมรับ!”เซวียหนานคงกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ป้าของเขาตื่นเต้นมากจนไม่ให้โอกาสเขาขัดจังหวะ "ไม่สำคัญว่าคนที่เจ้าชอบจะเป็นบุรุษหรือสตรี คนใน
ฮวยเหรินไม่ทราบว่าเหตุใดฮองเฮาถึงมีอารมณ์เช่นนั้น ดังนั้นนางจึงระงับความสงสัยและแต่งตัวให้กับฮองเฮาต่อหลังจากที่นางสนมแสดงความเคารพในตอนเช้าตรู่ ฮวยเหรินก็พยุงฮองเฮาไปยังพระตำหนักอันชิ่งฮวยเหรินกระซิบ "เหตุใดฮองเฮาถึงโกรธฉู่กุ้ยเฟยอยู่ล่ะเพคะ จักรพรรดิทรงถอนสิทธิ์ของนางจากิจการของหกตำหนักฝ่ายในเพื่อฮองเฮาเลยนะเพคะ"ฮองเฮามองดูสวนที่ว่างเปล่าและรู้สึกหนาวเหน็บยิ่งกว่าเดิม“หลายปีที่ผ่านมา ข้าคิดว่าข้าลืมมันไปแล้ว แต่หลังจากที่ได้พบกับฉู่เนี่ยนซี ข้าก็รู้ว่าเหตุการณ์อันเจ็บปวดในอดีตเหล่านั้นจะอยู่กับข้าไปตลอดชีวิต”“ฮองเฮาอย่าทรงคิดมากไปเลยเพคะ ไม่เช่นนั้นจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของท่านเสียเปล่า ๆ”ฮองเฮาสูดอากาศเย็น หายใจออกช้า ๆ ทางจมูก และมองไปข้างหน้าอย่างเศร้าใจ“ความรักที่จักรพรรดิมีต่อฉู่เคอเมื่อครั้งยังเป็นองค์ชาย ทำให้ข้ารู้สึกอิจฉาจนแทบบ้าทุกครั้งเมื่อนึกถึงมัน จะมีสตรีนางใดอยากให้สามีของตัวเองมีพื้นที่ในใจให้สตรีอื่นในใจกันเล่า?”เสียงหัวเราะดังคมชัดในพระตำหนักอันชิ่ง ลอยออกมานอกหน้าต่างอย่างสนุกสนาน ซุนจื่อซีเพิ่งเล่าเรื่องตลกให้ไทเฮาฟังได้ครึ่งทางเท่านั้นนางก็ขำกับเร
ฮองเฮาราดน้ำมันลงกองเพลิงซึ่งเหมือนจะคิดมาแล้วอย่างรอบคอบ“การไม่ได้อะไรคงจะดีที่สุด หม่อมฉันไม่สาวเหมือนแต่ก่อนแล้ว ก็เข้าใจได้ที่เห็นองค์จักรพรรดิทรงเอาแต่หมกมุ่นเรื่องฉู่เนี่ยนซีในตำหนักฉางหลิง”“แต่เสด็จแม่เพคะ หากฉู่เนี่ยนซียังไม่ได้ออกเรือนและองค์จักรพรรดิทรงสนพระทัยนั่นก็คงจะไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ฉู่เนี่ยนซีเป็นชายาหลีแล้ว หากองค์จักรพรรดิทรงยังจะ...หม่อมฉันเกรงว่าบรรดาอ๋องคนอื่น ๆ จะขายหน้าเอา สู้กำจัดฉู่เนี่ยนซีไปจะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคตเพคะ”เมื่อฮองเฮาพูดจบก็มีความดุร้ายในดวงตาของนางที่ไม่มีใครสังเกตเห็น“ท่านป้าโปรดคิดใหม่อีกครั้ง คนเป็นสามีภรรยานั้นหากคนหนึ่งร่วงทุกคนก็จะล่ม หากคนหนึ่งโรจน์ทุกคนก็จะรุ่ง หากพระชายาหลีแอบทรยศสมคบคิด ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านอ๋องหลีจะเป็นเช่นนั้น...ยิ่งไปกว่านั้น ซีเอ๋อร์ยังได้ยินมาว่าท่านอ๋องหลีเสี่ยงชีวิตที่ตำหนักจินหลวนเพื่อช่วยพระชายาหลีด้วย แล้วมันจะเป็นสถานการณ์อย่างที่ฮองเฮาทรงตรัสได้อย่างไรเพคะ?”ซุนจื่อซีร้องขอความเมตตาจากไทเฮา พลางมองฮองเฮาด้วยดวงตาลูกกวางที่เปียกชุ่มของนางคำพูดเหล่านี้เป็นการเตือนใจไทเฮากลาย ๆ จนนางแอ
เมื่อฉู่เนี่ยนซีเห็นรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์และภาคภูมิใจของไป๋ชิง นางก็เดินไปถ่มน้ำลายใส่เขา “ก็แค่หมาตัวหนึ่ง”ไป๋ชิงเช็ดใบหน้าของตัวเองด้วยความโกรธที่แฝงอยู่ในรอยยิ้มของเขา เขาจ้องมองไปที่อาการบาดเจ็บบนร่างกายของฉู่เนี่ยนซีอย่างดุดัน พลางเหยียดมือออกมาบีบคางของนาง “แล้วท่านเล่า? นางหมาหัวเน่าที่กำลังจะกลายเป็นผีใต้คมดาบของข้า?”“ไป๋ชิง จุดจบของข้าคือวันนี้ ส่วนวันข้างหน้า เจ้าจะต้องมีจุดจบที่อนาถยิ่งกว่า!”แม้ฉู่เนี่ยนซีจะตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่นางกลับเอาแต่คิดว่าถ้านางตายไปแบบนี้ นางก็จะได้กลับไปยังยุคปัจจุบันใช่หรือเปล่า?แต่ถ้าไม่ได้กลับไปล่ะ?“ก็แค่คำพูดอุปโลกน์ไร้สาระจะไปมีประโยชน์อะไร พระชายาหลีมากับกระหม่อมและมองดูเมืองรัตติกาลแห่งนี้ให้เต็มตาเถิด เมื่อพ้นเที่ยงวัน ท่านก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นมันอีกต่อไปแล้ว”ไป๋ชิงผลักฉู่เนี่ยนซีและหัวเราะเมื่อเห็นร่างที่ไม่มั่นคงของนางเซจนแทบจะล้มลงกับพื้น“สภาพของท่านในตอนนี้ช่างหาดูได้ยากจริง ๆ”ฉู่เนี่ยนซีถูกผลักเข้าไปในรถลูกกรง นางหลับตาและไม่พูดอะไรอีกเลยหรือนี่อาจเป็นวันสุดท้ายของนางในราชวงศ์นี้เสียแล้ว?สีหน้าของนางยังคงสงบ นางเผชิญ
ฉู่เนี่ยนซีทุบกรงไม้อย่างแรงด้วยมือทั้งสองข้างจนโซ่บนตัวของนางสั่น ทำให้เกิดเสียงดังโครมครามขึ้น“ซีเอ๋อร์!” มหาเสนาบดีฉู่ทนไม่ไหวอีกต่อไปและตะโกนด้วยความเศร้า“ไป๋ชิง อย่าโอหังให้มันมากนัก!”ฉู่เจี้ยนอี้พูดช่วยมหาเสนาบดีฉู่ และจ้องมองไป๋ชิงด้วยความโกรธ“นี่เป็นราชโองการของไทเฮา ท่านมหาเสนาบดีฉู่จะไม่ทำตามเช่นนั้นหรือ?”ไป๋ชิงเผยราชโองการที่เด่นหราอยู่ในมือของเขาและจ้องมองทุกท่าทางของมหาเสนาบดีฉู่อย่างระมัดระวัง เป็นเรื่องที่น่าสนใจนักที่ได้เห็นเขาโกรธ เศร้า และไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เช่นนี้“ไป๋ชิง ท่านช่างใจกล้าบ้าอำนาจ คิดว่าตัวเองสูงส่ง แต่กลับไม่รู้ว่าข้างหน้าจุดที่ตัวเองยืนอยู่นั้นมีหุบเหวลึก ท่านหลอกลวงเบื้องสูง เพิกเฉยต่อธรรมเนียมเก่าแก่ และแทรกแซงอำนาจอย่างป่าเถื่อน ไป๋ชิง ท่านคิดว่าข้าฉู่เหยี่ยนผู้นี้ไม่กล้าหือกับใครเช่นนั้นรึ?!”สิ่งที่มหาเสนาบดีฉู่พูดนั้นน่าตกตะลึงและน่าเกรงขาม ซึ่งสิ่งเหล่านั้นได้แสดงไว้ให้เห็นอย่างเป็นที่ประจักษ์“ข้าเห็นว่าตระกูลฉู่ของท่านเป็นพวกคิดคดทรยศ สร้างปัญหาให้กับราชสำนัก และเพิกเฉยต่อแผ่นดินเพราะความปรารถนาอันเห็นแก่ตัวของท่านเอง! ท่าน
“เหตุใดเสด็จแม่ถึงทรงพูดว่าฉู่เนี่ยนซีเป็นบุตรีของฉู่เคอ? ใครมันเป็นคนถ่อไปก่อความวุ่นวายให้ท่าน?”ดวงตาขององค์จักรพรรดิเป็นประกายวาวและหมอกในหัวใจของเขามลายหายไป ที่แท้เรื่องทั้งหมดก็เป็นเพราะเหตุนี้“ฝ่าบาทไม่ต้องมายุ่ง! หม่อมฉันถามหน่อย หากพระองค์รู้ก่อนหน้านี้ว่านางเป็นบุตรีของฉู่เคอ พระองค์จะทรงให้นางเป็นชายาหลีต่อไป หรือจะทรงให้นางมาอยู่วังหลังเป็นสนมคนโปรดกันเล่า?”ไทเฮาค่อย ๆ เดินเข้าไปหาองค์จักรพรรดิและมองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยความสงสัย“เสด็จแม่ สิ่งที่กำลังคุยกันอยู่ตอนนี้ก็คือฉู่เนี่ยนซีกำลังจะถูกตัดหัว แล้วเหตุใดถึงต้องทรงตรัสเรื่องสมมติมากมายเช่นนี้เล่า?”ท่าทางขององค์จักรพรรดิค่อย ๆ เยือกเย็นลง สายตาของเขาที่มองไปยังไทเฮาดูไม่พอใจเล็กน้อยไทเฮาเห็นว่าองค์จักรพรรดิไม่กล้าตอบคำถามของนางตรง ๆ นางจึงถามจี้หลายครั้ง จากนั้นนางก็รู้สึกว่าอากาศในอกของนางค่อย ๆ เบาบาง การมองเห็นแย่ลง และร่างกายของนางก็เริ่มเซไปมาดวงตาและมือขององค์จักรพรรดิเร็วพอที่จะประคองนางไว้ จากนั้นเขาก็รีบเรียกหมอหลวงหลังจากไทเฮาเสวยยาแล้ว องค์จักรพรรดิก็นั่งลงตรงขอบเตียงพลางทอดพระเนตรไทเฮาที่ค่อย ๆ
คอของเย่ฉงเฉิงแห้งเนื่องจากหายใจเอาลมเข้าคอไปตลอดทาง ไม่แม้แต่จะเข้าไปดื่มน้ำสักจอกข้างในด้วยซ้ำ เขาหอบอย่างหนักพลางดึงแขนของเย่เฟยหลีเพื่อรีบออกไป จากนั้นเขาก็วิ่งไปอธิบายไปว่า “ไม่ใช่ เสด็จย่าทรงมีรับสั่งให้ตัดหัวของฉู่เนี่ยนที่ประตูอู่ตอนเที่ยงวันนี้!”“อะไรนะ?”เย่เฟยหลีตื่นตระหนกทันที คิ้วของเขาไม่เคยขมวดคิ้วมากขนาดนี้ แต่เขายังคงรักษาความมีเหตุผลพลางคิดแผนการและเส้นทางหลบหนีต่าง ๆ อย่างรวดเร็วเขาดึงมือของเย่ฉงเฉิงออก หันกลับไปมองเหลียงหยวนอย่างใจเย็น หยิบหยาจางสีเหลืองอำพันออกมาจากในแขนเสื้อของเขา แล้วยื่นให้เหลียงหยวนอย่างเคร่งขรึม“พี่สาม นั่นอะไรน่ะ?”เย่ฉงเฉิงกังวลมากจนหายใจไม่ออก เมื่อเห็นว่าเย่เฟยหลียังคงอธิบายอย่างสงบเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยเย่ฉงเฉิงไม่รู้ว่าหยาจางเป็นตัวแทนของอะไร แต่เหลียงหยวนรู้เขามองหยาจางด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นด้วยความเหลือเชื่อและพูดตะกุกตะกัก “ท่านอ๋อง นี่มัน…หากท่านไปแตะต้องคนเหล่านั้น ความพยายามในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของท่านจะไม่เพียงแต่สูญเปล่าเท่านั้น แต่หากองค์จักรพรรดิทรงทราบ พวกเราก็ไม่สามารถอยู่ในเมืองรัตติกาลนี้ไ
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย