“ไป๋ชิง ข้าให้สัญญาว่าหากข้าได้พูดร่ำลากับบุตรีเป็นครั้งสุดท้าย ข้าจะส่งสาส์นกราบทูลลาองค์จักรพรรดิและปลีกวิเวกไปใช้ชีวิตโดยจะไม่กลับมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองอีก เจ้าว่าอย่างไร?”หลังจากที่มหาเสนาบดีฉู่รออยู่เป็นเวลานานก็ยังไม่มีข่าวคราวจากอ๋องเฉิง เขาแทบจะทนไม่ไหวอีกต่อไปและแอบบีบมือของฉู่เจี้ยนอี้เมื่อไป๋ชิงได้ยินคำต่อรองนี้ หัวใจของเขาก็สั่นไหวอย่างเห็นได้ชัดอำนาจของมหาเสนาบดีหยั่งรากลึกในราชสำนัก หากไม่ใช่เพราะได้ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ในกำมือ ก็จะไม่มีทางแตะรากฐานของเขาได้เมื่อตระกูลฉู่ออกจากราชสำนัก อุปสรรคครึ่งหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าตระกูลไป๋จะหายไป“ในเมื่อเราก็ต่างเป็นขุนนางในราชสำนักเดียวกัน ท่านมหาเสนาบดีฉู่ก็โปรดอย่าชักช้าเกินไปแล้วกัน”ไป๋ชิงเห็นว่าคนที่มหาเสนาบดีฉู่พามาไม่สามารถต่อกรกับเขาได้ และเขาก็เชื่อในความแข็งแกร่งของตัวเอง เขาจึงตอบตกลงทันทีฉู่เนี่ยนซีมองไปยังฉู่เจี้ยนอี้ที่กำลังเดินมาหานางและมีท่าทางแปลก ๆ เล็กน้อย จากนั้นนางก็หันไปมองมหาเสนาบดีฉู่ นางรู้ว่ามันเป็นความมุ่งมั่นที่จะละทิ้งทุกสิ่งโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง“ช้าก่อน!”ในช่วงเวลาวิกฤติ ฉ
“ไป๋ชิง ในอาณาจักรรัตติกาลแห่ง กักขังประชาชนผู้บริสุทธิ์ รังแกผู้อ่อนแอและกดขี่ผู้บริสุทธิ์ถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง! นอกจากนี้ ในฐานะขุนนางของราชสำนัก ในเมื่อประชาชนมีสิ่งที่อยากจะพูด อยากจะร้องเรียน หรืออยากจะแจ้งความ เหตุใดเจ้าถึงได้ไม่แยกแยะและจับกุมผู้คนตามอำเภอใจเช่นนี้?!”คำพูดของมหาเสนาบดีฉู่ทั้งน่าเกรงขามและทรงพลังเมื่อมองไปยังประชาชน มหาเสนาบดีฉู่ก็รู้สึกมีความหวังริบหรี่อยู่ในใจ เขาแทบรอไม่ไหวที่จะเดินนำหน้าประชาชน และพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขาม “หากพวกท่านมีอะไรจะพูด ก็สามารถพูดได้ตามที่ต้องการ แต่อย่าได้เอะอะเสียงดังจนเกินไป”“ข้าจะพูดก่อน!”ชายคนหนึ่งในชุดผ้าคลุมยาวลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับให้มหาเสนาบดีฉู่ “ข้าเป็นหัวหน้าตระกูลหลัว ตระกูลของข้าทำธุรกิจขายผ้า แต่ปีนี้เราประสบกับความสูญเสียมากมาย ข้าเอาข้าวของทั้งหมดไปใช้หนี้เท่าไหร่ก็ไม่พอ จนเจ้าหนี้มาตามทวงจนเกือบฆ่าตัวตาย เจ้าของโรงพนันหุยหุนเป็นคนใช้หนี้ให้ตระกูลหลัวและให้ทุนจำนวนหนึ่งซึ่งทำให้ตระกูลของข้ารอดพ้นจากหายนะมาได้”ทันทีที่ชายแซ่หลัวพูดจบ ผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่กำลังอุ้มเด็กอายุสองขวบก็ยืนขึ้นและพูดด้วยเสียงแห
เย่เฟยหลีมองลงไปชั้นล่างด้วยสายตาที่เฉียบคมตะแกรงหน้าต่างบังแสงแดด ทิ้งเขาไว้ในความมืด มีเพียงดวงตาของเขาที่ส่องแสงเจิดจ้าเย่ฉงเฉิงกล่าวทันทีว่า “เสด็จพ่อทรงสนับสนุนให้ยึดเอาความคิดของประชาชนเป็นพื้นฐานมาโดยตลอด บัดนี้มีคนจำนวนมากกล่าวสุนทรพจน์อย่างคึกคัก สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นคือเราต้องไปที่พระราชวังและรายงานต่อเสด็จพ่อเพื่อที่จะให้พระองค์ทรงตัดสินพระทัย”ในเวลานี้ เย่ฉงเฉิงทำสีหน้าจริงจังอย่างไม่เคยทำมาก่อน ที่เขาช่วยฉู่เนี่ยนซีทั้งหมดเป็นเพราะคำขอของเย่เฟยหลี แต่ตอนนี้เมื่อเขาเห็นผู้ลี้ภัยเหล่านี้และผู้คนที่ได้รับประโยชน์จากโรงพนันหุยหุน เขาก็รู้สึกว่าก่อนหน้านั้นตัวเองเข้าใจนางผิดมาโดยตลอด คนที่มีจิตใจที่งดงามอย่างแท้จริงคือฉู่เนี่ยนซีไป๋ชิงหรี่ตาลงเล็กน้อย เม้มริมฝีปากบางและแสดงความโกรธออกมา เขาเงยหน้ามองไปรอบ ๆ เห็นผู้คนที่กำลังคุกเข่าขอความเมตตา เขาสูดจมูกอย่างเย็นชา “ราชโองการของไทเฮาออกมาแล้ว ดูสิว่าใครจะกล้าฝ่าฝืน! รีบเอาคนมาล้อมรอบพวกเขาไว้และหากใครก่อปัญหา ข้าจะฆ่าทิ้งอย่างไร้ความเมตตา!”นายทหารที่อยู่ถัดจากเขาแบ่งออกเป็นสองส่วนเพื่อล้อมรอบประชาชนทางเหนือและใต้ตามลำด
เมื่อเห็นหลายฝ่ายต่อสู้กัน เขาอยากจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วย แต่มหาเสนาบดีฉู่คว้าไหล่ของเขาไว้ บังคับให้เขายืนอยู่ที่เดิม“ต้องมีคนของอ๋องหลีอยู่ที่นี่แน่นอน เมื่อเขาเริ่มลงมือและสวมหน้ากาก สิ่งสำคัญที่สุดที่เราควรทำคืออยู่ในที่ของเราและไม่ทิ้งหลักฐานใดใดไว้ให้ไป๋ชิงจับสังเกต มิฉะนั้น แม้ซีเอ๋อร์จะได้รับการช่วยเหลือ แต่ก็จะถูกบังคับให้กลับมาเพราะถูกองค์จักรพรรดิทรงลงโทษ”มหาเสนาบดีฉู่คลุกคลีอยู่ในราชสำนักมาหลายปีแล้ว และหัวใจอันแยบคายของเขาก็วิเคราะห์ข้อดีข้อเสียได้ทันที พลางกระซิบข้างหูของเขา“ท่านพ่อคิดรอบคอบดีมากขอรับ” ฉู่เจี้ยนอี้เงยหน้าและพูดกับกลุ่มอารักขาที่อยู่ข้างหลังเขาว่า “หากไม่ได้รับคำสั่งจากข้าห้ามทำอะไรบุ่มบ่าม!”เย่ฉงเฉิงไปรวมกลุ่มกับเจ้าเมืองและคนอื่น ๆ หากช่วยอะไรไม่ได้ก็อย่าก่อปัญหาจะดีกว่าทหารเดนตายของเย่เฟยหลีได้รับการฝึกฝนมาหลายปีและได้รับการคัดเลือกผ่านการทดสอบมากมาย วรยุทธ์ของพวกเขาย่อมแข็งแกร่งมากเป็นธรรมดา ราชองครักษ์เหล่านั้นจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้อย่างไร? คงทำได้เพียงล่าถอยไปเพียงเท่านั้นยังคงมีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองฉากที่วุ่นวายนี้ นั่นคือเป่ยถูผู้
ขณะที่หัวหน้าหุบเขากำลังจะพาฉู่เนี่ยนซีออกไป เงาดำก็คว้าแขนของนางไว้ เจ้าของหุบเขามองบุคคลนั้นด้วยความโกรธ คิดว่าเขาเป็นคนที่จะมาทำร้ายฉู่เนี่ยนซี ดังนั้นนางจึงยกฝ่ามือขึ้นและใช้พลังโจมตีใส่เย่เฟยหลีเย่เฟยหลีหลบตีลังกา จากนั้นแตะพื้นเพื่อทะยานไปหาฉู่เนี่ยนซีแล้วพูดว่า “ขอบคุณท่านหญิงผู้กล้าสำหรับการช่วยเหลือ น้ำใจและบุญคุณที่ยิ่งใหญ่นี้ ข้าจะจดจำมันไว้ในใจเสมอ”เขามาหาฉู่เนี่ยนซีและกอดนางไว้ในอ้อมแขน เมื่อเห็นว่านางเศร้าเพียงใด เขาก็ขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวดแล้วพูดกับหัวหน้าหุบเขา “ตอนนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ท่านหญิงผู้กล้าโปรดอย่าได้กังวล ข้าจะปกป้องนางอย่างแน่นอน”“เจ้าเป็นใคร? แล้วเหตุใดข้าต้องเชื่อเจ้าด้วย?”หัวหน้าหุบเขามองไปที่เย่เฟยหลีพลางถามด้วยความเกลียดชัง“ท่านหัวหน้าหุบเขา นี่คือท่านอ๋องหลี หนึ่งในพวกเราเอง”ฉู่เนี่ยนซีเอ่ยปากเพื่ออธิบายและปกป้องเย่เฟยหลีที่อยู่ข้างหลังนาง“ถ้าเช่นนั้นก็ออกไปพร้อมกัน”หัวหน้าหุบเขาพยักหน้าให้เย่เฟยหลีเย่เฟยหลีเป่านกหวีดเป็นสัญญาณให้กองกำลังทหารเดนตายเก็บดาบเข้าฝักทันที จากนั้นก็ทะยานแยกย้ายออกไปทุกทิศทุกทางและหายไปในพริบตา ส่
ความวุ่นวายรุนแรงมากจนองค์จักรพรรดิและไทเฮาทรงทราบข่าวทันทีที่พวกเขาเข้าไปในพระราชวัง พวกเขาเข้าไปในพระตำหนักจินหลวนและเห็นชายคนหนึ่งในชุดคลุมมังกรนั่งตัวตรงบนเก้าอี้มังกร และชายอีกคนในชุดหรูหรานั่งอยู่บนเก้าอี้ข้าง ๆ เขาด้วยความโกรธที่ไม่สามารถปกปิดได้“เกิดอะไรขึ้น?” องค์จักรพรรดิยังคงสงบและถามอย่างเคร่งขรึม โดยมองไปยังผู้คนในพระตำหนักจินหลวนแต่ในความเป็นจริงเขารู้เรื่องดีกว่าใคร ๆ“เป็นกระหม่อมที่ทำหน้าที่ได้ไม่ดีนัก ระหว่างทางที่จะพา ฉู่เนี่ยนซีไปยังประตูอู่ ก็มีกลุ่มโจรปรากฏตัวขึ้น และกระหม่อมไม่สามารถเอาชนะได้ ดังนั้นโปรดขอให้องค์จักรพรรดิทรงลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋ชิงคุกเข่าลง ภาระอันหนักหน่วงและบาดแผลของเขาทำให้เขามีรอยย่นตรงหว่างคิ้ว“ไปแจ้งหมอหลวงให้รักษาบาดแผลก่อน แล้วค่อยกลับมาแจ้งเรื่อง” องค์จักรพรรดิเหลือบมองบาดแผลของไป๋ชิง และพูดราวกับกำลังให้ความสำคัญเขา“ขอบพระทัยฝ่าบาท”ไป๋ชิงถูกขันทีเฉินประคองไปที่ห้องโถงด้านข้าง ส่วนไทเฮานั้นเต็มไปด้วยความโกรธ เมื่อเห็นว่าขุนนางใหญ่ได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ จึงเป็นการเพิ่มชนวนให้ความโกรธของนางรุนแรงยิ่งขึ้นนางมองไปที่มหาเสนาบดีแล
“เจ้า…”องครักษ์คนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานต่อองค์จักรพรรดิ “กราบทูลองค์จักรพรรดิ ยามอารักขาของท่านมหาเสนาบดีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือลงมือใดใด้ลยพ่ะย่ะค่ะ”“เอาล่ะ ข้าจะส่งคนไปสอบสวนเรื่องนี้ ไป๋ชิง การดูแลที่บกพร่องของเจ้าทำให้นักโทษหลบหนีไปได้ แต่เนื่องจากเจ้าก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ข้าก็จะไม่ลงโทษเจ้าหนักมากนัก ข้าจะลงโทษเจ้าเป็นเวลาเพียงสามเดือน” องค์จักรพรรดิทรงตรัสเพื่อยุติการอภิปรายอันไม่มีที่สิ้นสุดนี้“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ไป๋ชิงยอมรับคำสั่งอย่างไม่เต็มใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้“ส่วนคนอื่น ๆ ก็กลับไปเถอะ ข้าจะส่งคนไปสอบสวนเรื่องนี้เอง” ใบหน้าขององค์จักรพรรดิมีร่องรอยของความโล่งใจ และเขาก็ลุกขึ้นยืนและพยุงไทเฮาออกไปด้วยกันฉู่เนี่ยนซีได้รับบาดเจ็บและอ่อนแรง ดังนั้นทั้งสามจึงพักในป่าห่างไกลชั่วคราวเพื่อหารือว่าจะทำอย่างไรต่อไปหัวหน้าหุบเขาแนะนำให้ไปที่หุบเขาสมุนไพรก่อน สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยให้นางฟื้นตัว แต่ยังป้องกันไม่ให้คนทั่วไปหาเจออีกด้วย“ที่แท้ก็เป็นท่านหัวหน้าหุบเขาสมุนไพรนี่เอง ข้าช่างตาบอดเสียนี่กระไร” เย่เฟยหลีกล่าวด้วยความเคารพ“ข้าเองก็เกือบจะทำร้ายท่านอ๋องหลีแล้ว โปรดยกโท
เมื่อหมิ่นฮุ่ยเห็นว่าหัวหน้าหุบเขาให้ความสำคัญกับมันมาก นางจึงตอบรับอย่างจริงจังแล้วย้ายไปอยู่ข้าง ๆ ฉู่เนี่ยนซี เมื่อเห็นบาดแผลบนร่างกายของฉู่เนี่ยนซี หมิ่นฮุ่ยก็พูดเบา ๆ ว่า “หมิ่นฮุ่ยช่วยคุณหนูทำแผลให้นะเจ้าคะ”“ขอบคุณ” ฉู่เนี่ยนซีเห็นว่านางทำได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพซึ่งเหมาะกับชื่อหมิ่นฮุ่ยของนางจริง ๆหมิ่นฮุ่ยช่วยประคองฉู่เนี่ยนซีให้นั่งลง ขณะที่นางกำลังคิดคำถามอยู่ในใจและวางแผนที่จะเอ่ยถามหัวหน้าหุบเขา แต่เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมา หัวหน้าหุบเขาก็หายตัวไปแล้วนางมองหมิ่นฮุ่ยอย่างว่างเปล่า ในขณะนางมุ่งความสนใจไปที่การทำความสะอาดบาดแผลเท่านั้น ดูเหมือนว่านางก็ไม่รู้เรื่องเช่นกันมีโอกาสน้อยมากที่คนนอกจะได้เข้ามาในหุบเขาสมุนไพร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอยู่กับหัวหน้าหุบเขา ผู้คนในหุบเขาที่เห็นเหตุการณ์ในความมืดต่างก็ประหลาดใจและกระจายข่าวจนกลายเป็นหัวข้อหลักในการสนทนาเหยียนตั่วที่กำลังฟังอยู่ข้าง ๆ ดวงตาของนางดูราวมีแก้วใสกลิ้งวนอยู่ในนั้น จากนั้นนางก็จากไปอย่างเงียบ ๆหมิ่นฮุ่ยเกือบจะทำความสะอาดแผลของฉู่เนี่ยนซีเสร็จเรียบร้อยแล้ว และอ่างทองเหลืองก็กลายเป็นสีเลือดไปทั้งหมด สะท้อนอยู