เซวียหนานคงเกาหู เขาไม่เคยโกหกป้าตัวเองเลยในชีวิต และในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้เขาก็พูดอะไรไม่ออกท่านป้าจ้องมองเขาอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะเดินไม่กี่ก้าวไปถึงข้างหน้าเขา นางพลางเดินเข้าไปพลางพยักหน้า พร้อมกับเยาะเย้ยเล็กน้อยในดวงตา“เจ้าเด็กน้อย ตกหลุมรักแล้วก็คือตกหลุมรัก เหตุใดต้องย้ายบ้านด้วย ทำไม? เจ้าวางแผนจะหนีตามใครอย่างนั้นรึ? อย่าว่าแต่ไม่ต้องการป้าอย่างข้าแล้ว เจ้าไม่คิดจะกล่าวอำลากับข้าเลยด้วยหรือ?"“ไม่ใช่นะขอรับ ท่านป้า...นี่ท่านพูดอะไรกัน?!”เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านป้า เซวียหนานยังคงเป็นเหมือนเด็กเสมอ และเมื่อเขาได้ยินป้าของเขาพูดเช่นนั้น เขาก็รีบโบกมือเป็นพลันวัน แม้แต่หลังหูก็กลายเป็นสีแดง“หากเจ้าชอบจริง ๆ ก็ยอมรับกับป้าอย่างเปิดเผยแบบลูกผู้ชาย อย่าทำตัวลับ ๆ ล่อ และขี้ขลาด…”ขณะที่กำลังดุเซวียหนานคงนางก็ได้ยินเซวียหนานคงพึมพำเสียงต่ำว่า “แบบลูกผู้ชายหมายความว่าอย่างไร ข้าเป็นลูกผู้ชายอยู่แล้ว” “เช่นนั้นแล้วเหตุใดเจ้าถึงยังไม่กล้ายอมรับ!”เซวียหนานคงกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ป้าของเขาตื่นเต้นมากจนไม่ให้โอกาสเขาขัดจังหวะ "ไม่สำคัญว่าคนที่เจ้าชอบจะเป็นบุรุษหรือสตรี คนใน
ฮวยเหรินไม่ทราบว่าเหตุใดฮองเฮาถึงมีอารมณ์เช่นนั้น ดังนั้นนางจึงระงับความสงสัยและแต่งตัวให้กับฮองเฮาต่อหลังจากที่นางสนมแสดงความเคารพในตอนเช้าตรู่ ฮวยเหรินก็พยุงฮองเฮาไปยังพระตำหนักอันชิ่งฮวยเหรินกระซิบ "เหตุใดฮองเฮาถึงโกรธฉู่กุ้ยเฟยอยู่ล่ะเพคะ จักรพรรดิทรงถอนสิทธิ์ของนางจากิจการของหกตำหนักฝ่ายในเพื่อฮองเฮาเลยนะเพคะ"ฮองเฮามองดูสวนที่ว่างเปล่าและรู้สึกหนาวเหน็บยิ่งกว่าเดิม“หลายปีที่ผ่านมา ข้าคิดว่าข้าลืมมันไปแล้ว แต่หลังจากที่ได้พบกับฉู่เนี่ยนซี ข้าก็รู้ว่าเหตุการณ์อันเจ็บปวดในอดีตเหล่านั้นจะอยู่กับข้าไปตลอดชีวิต”“ฮองเฮาอย่าทรงคิดมากไปเลยเพคะ ไม่เช่นนั้นจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของท่านเสียเปล่า ๆ”ฮองเฮาสูดอากาศเย็น หายใจออกช้า ๆ ทางจมูก และมองไปข้างหน้าอย่างเศร้าใจ“ความรักที่จักรพรรดิมีต่อฉู่เคอเมื่อครั้งยังเป็นองค์ชาย ทำให้ข้ารู้สึกอิจฉาจนแทบบ้าทุกครั้งเมื่อนึกถึงมัน จะมีสตรีนางใดอยากให้สามีของตัวเองมีพื้นที่ในใจให้สตรีอื่นในใจกันเล่า?”เสียงหัวเราะดังคมชัดในพระตำหนักอันชิ่ง ลอยออกมานอกหน้าต่างอย่างสนุกสนาน ซุนจื่อซีเพิ่งเล่าเรื่องตลกให้ไทเฮาฟังได้ครึ่งทางเท่านั้นนางก็ขำกับเร
ฮองเฮาราดน้ำมันลงกองเพลิงซึ่งเหมือนจะคิดมาแล้วอย่างรอบคอบ“การไม่ได้อะไรคงจะดีที่สุด หม่อมฉันไม่สาวเหมือนแต่ก่อนแล้ว ก็เข้าใจได้ที่เห็นองค์จักรพรรดิทรงเอาแต่หมกมุ่นเรื่องฉู่เนี่ยนซีในตำหนักฉางหลิง”“แต่เสด็จแม่เพคะ หากฉู่เนี่ยนซียังไม่ได้ออกเรือนและองค์จักรพรรดิทรงสนพระทัยนั่นก็คงจะไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ฉู่เนี่ยนซีเป็นชายาหลีแล้ว หากองค์จักรพรรดิทรงยังจะ...หม่อมฉันเกรงว่าบรรดาอ๋องคนอื่น ๆ จะขายหน้าเอา สู้กำจัดฉู่เนี่ยนซีไปจะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคตเพคะ”เมื่อฮองเฮาพูดจบก็มีความดุร้ายในดวงตาของนางที่ไม่มีใครสังเกตเห็น“ท่านป้าโปรดคิดใหม่อีกครั้ง คนเป็นสามีภรรยานั้นหากคนหนึ่งร่วงทุกคนก็จะล่ม หากคนหนึ่งโรจน์ทุกคนก็จะรุ่ง หากพระชายาหลีแอบทรยศสมคบคิด ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านอ๋องหลีจะเป็นเช่นนั้น...ยิ่งไปกว่านั้น ซีเอ๋อร์ยังได้ยินมาว่าท่านอ๋องหลีเสี่ยงชีวิตที่ตำหนักจินหลวนเพื่อช่วยพระชายาหลีด้วย แล้วมันจะเป็นสถานการณ์อย่างที่ฮองเฮาทรงตรัสได้อย่างไรเพคะ?”ซุนจื่อซีร้องขอความเมตตาจากไทเฮา พลางมองฮองเฮาด้วยดวงตาลูกกวางที่เปียกชุ่มของนางคำพูดเหล่านี้เป็นการเตือนใจไทเฮากลาย ๆ จนนางแอ
เมื่อฉู่เนี่ยนซีเห็นรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์และภาคภูมิใจของไป๋ชิง นางก็เดินไปถ่มน้ำลายใส่เขา “ก็แค่หมาตัวหนึ่ง”ไป๋ชิงเช็ดใบหน้าของตัวเองด้วยความโกรธที่แฝงอยู่ในรอยยิ้มของเขา เขาจ้องมองไปที่อาการบาดเจ็บบนร่างกายของฉู่เนี่ยนซีอย่างดุดัน พลางเหยียดมือออกมาบีบคางของนาง “แล้วท่านเล่า? นางหมาหัวเน่าที่กำลังจะกลายเป็นผีใต้คมดาบของข้า?”“ไป๋ชิง จุดจบของข้าคือวันนี้ ส่วนวันข้างหน้า เจ้าจะต้องมีจุดจบที่อนาถยิ่งกว่า!”แม้ฉู่เนี่ยนซีจะตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่นางกลับเอาแต่คิดว่าถ้านางตายไปแบบนี้ นางก็จะได้กลับไปยังยุคปัจจุบันใช่หรือเปล่า?แต่ถ้าไม่ได้กลับไปล่ะ?“ก็แค่คำพูดอุปโลกน์ไร้สาระจะไปมีประโยชน์อะไร พระชายาหลีมากับกระหม่อมและมองดูเมืองรัตติกาลแห่งนี้ให้เต็มตาเถิด เมื่อพ้นเที่ยงวัน ท่านก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นมันอีกต่อไปแล้ว”ไป๋ชิงผลักฉู่เนี่ยนซีและหัวเราะเมื่อเห็นร่างที่ไม่มั่นคงของนางเซจนแทบจะล้มลงกับพื้น“สภาพของท่านในตอนนี้ช่างหาดูได้ยากจริง ๆ”ฉู่เนี่ยนซีถูกผลักเข้าไปในรถลูกกรง นางหลับตาและไม่พูดอะไรอีกเลยหรือนี่อาจเป็นวันสุดท้ายของนางในราชวงศ์นี้เสียแล้ว?สีหน้าของนางยังคงสงบ นางเผชิญ
ฉู่เนี่ยนซีทุบกรงไม้อย่างแรงด้วยมือทั้งสองข้างจนโซ่บนตัวของนางสั่น ทำให้เกิดเสียงดังโครมครามขึ้น“ซีเอ๋อร์!” มหาเสนาบดีฉู่ทนไม่ไหวอีกต่อไปและตะโกนด้วยความเศร้า“ไป๋ชิง อย่าโอหังให้มันมากนัก!”ฉู่เจี้ยนอี้พูดช่วยมหาเสนาบดีฉู่ และจ้องมองไป๋ชิงด้วยความโกรธ“นี่เป็นราชโองการของไทเฮา ท่านมหาเสนาบดีฉู่จะไม่ทำตามเช่นนั้นหรือ?”ไป๋ชิงเผยราชโองการที่เด่นหราอยู่ในมือของเขาและจ้องมองทุกท่าทางของมหาเสนาบดีฉู่อย่างระมัดระวัง เป็นเรื่องที่น่าสนใจนักที่ได้เห็นเขาโกรธ เศร้า และไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เช่นนี้“ไป๋ชิง ท่านช่างใจกล้าบ้าอำนาจ คิดว่าตัวเองสูงส่ง แต่กลับไม่รู้ว่าข้างหน้าจุดที่ตัวเองยืนอยู่นั้นมีหุบเหวลึก ท่านหลอกลวงเบื้องสูง เพิกเฉยต่อธรรมเนียมเก่าแก่ และแทรกแซงอำนาจอย่างป่าเถื่อน ไป๋ชิง ท่านคิดว่าข้าฉู่เหยี่ยนผู้นี้ไม่กล้าหือกับใครเช่นนั้นรึ?!”สิ่งที่มหาเสนาบดีฉู่พูดนั้นน่าตกตะลึงและน่าเกรงขาม ซึ่งสิ่งเหล่านั้นได้แสดงไว้ให้เห็นอย่างเป็นที่ประจักษ์“ข้าเห็นว่าตระกูลฉู่ของท่านเป็นพวกคิดคดทรยศ สร้างปัญหาให้กับราชสำนัก และเพิกเฉยต่อแผ่นดินเพราะความปรารถนาอันเห็นแก่ตัวของท่านเอง! ท่าน
“เหตุใดเสด็จแม่ถึงทรงพูดว่าฉู่เนี่ยนซีเป็นบุตรีของฉู่เคอ? ใครมันเป็นคนถ่อไปก่อความวุ่นวายให้ท่าน?”ดวงตาขององค์จักรพรรดิเป็นประกายวาวและหมอกในหัวใจของเขามลายหายไป ที่แท้เรื่องทั้งหมดก็เป็นเพราะเหตุนี้“ฝ่าบาทไม่ต้องมายุ่ง! หม่อมฉันถามหน่อย หากพระองค์รู้ก่อนหน้านี้ว่านางเป็นบุตรีของฉู่เคอ พระองค์จะทรงให้นางเป็นชายาหลีต่อไป หรือจะทรงให้นางมาอยู่วังหลังเป็นสนมคนโปรดกันเล่า?”ไทเฮาค่อย ๆ เดินเข้าไปหาองค์จักรพรรดิและมองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยความสงสัย“เสด็จแม่ สิ่งที่กำลังคุยกันอยู่ตอนนี้ก็คือฉู่เนี่ยนซีกำลังจะถูกตัดหัว แล้วเหตุใดถึงต้องทรงตรัสเรื่องสมมติมากมายเช่นนี้เล่า?”ท่าทางขององค์จักรพรรดิค่อย ๆ เยือกเย็นลง สายตาของเขาที่มองไปยังไทเฮาดูไม่พอใจเล็กน้อยไทเฮาเห็นว่าองค์จักรพรรดิไม่กล้าตอบคำถามของนางตรง ๆ นางจึงถามจี้หลายครั้ง จากนั้นนางก็รู้สึกว่าอากาศในอกของนางค่อย ๆ เบาบาง การมองเห็นแย่ลง และร่างกายของนางก็เริ่มเซไปมาดวงตาและมือขององค์จักรพรรดิเร็วพอที่จะประคองนางไว้ จากนั้นเขาก็รีบเรียกหมอหลวงหลังจากไทเฮาเสวยยาแล้ว องค์จักรพรรดิก็นั่งลงตรงขอบเตียงพลางทอดพระเนตรไทเฮาที่ค่อย ๆ
คอของเย่ฉงเฉิงแห้งเนื่องจากหายใจเอาลมเข้าคอไปตลอดทาง ไม่แม้แต่จะเข้าไปดื่มน้ำสักจอกข้างในด้วยซ้ำ เขาหอบอย่างหนักพลางดึงแขนของเย่เฟยหลีเพื่อรีบออกไป จากนั้นเขาก็วิ่งไปอธิบายไปว่า “ไม่ใช่ เสด็จย่าทรงมีรับสั่งให้ตัดหัวของฉู่เนี่ยนที่ประตูอู่ตอนเที่ยงวันนี้!”“อะไรนะ?”เย่เฟยหลีตื่นตระหนกทันที คิ้วของเขาไม่เคยขมวดคิ้วมากขนาดนี้ แต่เขายังคงรักษาความมีเหตุผลพลางคิดแผนการและเส้นทางหลบหนีต่าง ๆ อย่างรวดเร็วเขาดึงมือของเย่ฉงเฉิงออก หันกลับไปมองเหลียงหยวนอย่างใจเย็น หยิบหยาจางสีเหลืองอำพันออกมาจากในแขนเสื้อของเขา แล้วยื่นให้เหลียงหยวนอย่างเคร่งขรึม“พี่สาม นั่นอะไรน่ะ?”เย่ฉงเฉิงกังวลมากจนหายใจไม่ออก เมื่อเห็นว่าเย่เฟยหลียังคงอธิบายอย่างสงบเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยเย่ฉงเฉิงไม่รู้ว่าหยาจางเป็นตัวแทนของอะไร แต่เหลียงหยวนรู้เขามองหยาจางด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นด้วยความเหลือเชื่อและพูดตะกุกตะกัก “ท่านอ๋อง นี่มัน…หากท่านไปแตะต้องคนเหล่านั้น ความพยายามในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของท่านจะไม่เพียงแต่สูญเปล่าเท่านั้น แต่หากองค์จักรพรรดิทรงทราบ พวกเราก็ไม่สามารถอยู่ในเมืองรัตติกาลนี้ไ
“ไป๋ชิง ข้าให้สัญญาว่าหากข้าได้พูดร่ำลากับบุตรีเป็นครั้งสุดท้าย ข้าจะส่งสาส์นกราบทูลลาองค์จักรพรรดิและปลีกวิเวกไปใช้ชีวิตโดยจะไม่กลับมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองอีก เจ้าว่าอย่างไร?”หลังจากที่มหาเสนาบดีฉู่รออยู่เป็นเวลานานก็ยังไม่มีข่าวคราวจากอ๋องเฉิง เขาแทบจะทนไม่ไหวอีกต่อไปและแอบบีบมือของฉู่เจี้ยนอี้เมื่อไป๋ชิงได้ยินคำต่อรองนี้ หัวใจของเขาก็สั่นไหวอย่างเห็นได้ชัดอำนาจของมหาเสนาบดีหยั่งรากลึกในราชสำนัก หากไม่ใช่เพราะได้ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ในกำมือ ก็จะไม่มีทางแตะรากฐานของเขาได้เมื่อตระกูลฉู่ออกจากราชสำนัก อุปสรรคครึ่งหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าตระกูลไป๋จะหายไป“ในเมื่อเราก็ต่างเป็นขุนนางในราชสำนักเดียวกัน ท่านมหาเสนาบดีฉู่ก็โปรดอย่าชักช้าเกินไปแล้วกัน”ไป๋ชิงเห็นว่าคนที่มหาเสนาบดีฉู่พามาไม่สามารถต่อกรกับเขาได้ และเขาก็เชื่อในความแข็งแกร่งของตัวเอง เขาจึงตอบตกลงทันทีฉู่เนี่ยนซีมองไปยังฉู่เจี้ยนอี้ที่กำลังเดินมาหานางและมีท่าทางแปลก ๆ เล็กน้อย จากนั้นนางก็หันไปมองมหาเสนาบดีฉู่ นางรู้ว่ามันเป็นความมุ่งมั่นที่จะละทิ้งทุกสิ่งโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง“ช้าก่อน!”ในช่วงเวลาวิกฤติ ฉ