หลังจากที่ขันทีเฉินปลุกจักรพรรดิและฮองเฮาขึ้นมา ฉู่เนี่ยนซีก็คุกเข่าลงและพูดด้วยความดีใจว่า "องค์หญิงฉางเล่อดีขึ้นแล้วเพคะ เพียงแค่ใช้ยาที่ลูกออกให้ค่อย ๆ ปรับสมดุล และไม่ทำกิจกรรมที่หนักจนเกินไป ก็จะหายดีเพคะ”“จะไม่หมดสติไปอีกใช่หรือไม่?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น จักรพรรดิก็มีความสุขมาก"เพคะ"เมื่อได้ยินคำตอบที่มั่นใจของฉู่เนี่ยนซี ฮองเฮาที่อยู่ข้าง ๆ ก็รู้สึกไม่พอใจ นางทำได้เพียงกำหมัดในแขนเสื้อและแสร้งทำเป็นยินดี "หม่อมฉันขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทด้วยเพคะ ขอให้องค์หญิงฉางเล่อพลานามัยแข็งแรง"“ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีกับองค์หญิงฉางเล่อ”คนอื่น ๆ ก็คุกเข่าลงและตะโกนขึ้นพร้อมกัน“ลุกขึ้นเถิด” องค์จักรพรรดิหันไปหาฉู่เนี่ยนซีและดูมีพลังมากยิ่งขึ้น “เจ้าอยู่ดูแลองค์หญิงฉางเล่อที่นี่อีกสักสองสามวันแล้วกัน”“น้อมรับคำสั่งเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าฮองเฮารออยู่ที่นี่ทั้งคืนแล้ว จึงให้กลับไปพักผ่อนโดยไม่ต้องเข้าทักทายนางสนม จากนั้นเขาก็ส่งคนไปที่พระตำหนักอันชิ่งเพื่อรายงานกับไทเฮา ล้างหน้าล้างตาก่อนจะเดินทางไป ท้องพระโรงฉู่เนี่ยนซีเขียนใบสั่งยาบำรุง เย่หลิงเอ๋อร์เกิดมาพร้อ
ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างขอบคุณสายตานี้ทำให้เย่ฉงเฉิงอดสงสัยไม่ได้ว่านี่คือฉู่เนี่ยนซีที่หยิ่งผยองและชอบเถียงเขาคนนั้นหรือนางหันศีรษะมองออกไปข้างนอก เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเข้ามา จึงหยิบปากกาและกระดาษขึ้นมาวาดภาพจากความทรงจำ ฉู่เนี่ยนซียื่นภาพให้เย่ฉงเฉิงแล้วรีบกล่าวขึ้นว่า "นี่เป็นหนึ่งในคนของมณฑลตะวันตก ท่านไปหาอวี๋เป่ยและบอกให้พวกเขารีบตามหาคนกลุ่มนี้โดยเร็วที่สุด”ขณะที่เย่ฉงเฉิงเก็บภาพเหมือน หลานชุ่ยก็เข้ามาพร้อมยา เมื่อนางเห็นเขา ก็โน้มตัวลงโค้งคำนับและมอบยาให้ฉู่เนี่ยนซี“ในเมื่อท่านอายังพักฟื้นอยู่ งั้นข้าก็จะไม่รบกวน หากท่านอาตื่นแล้วก็บอกข้าด้วย”เย่ฉงเฉิงจงใจพูดให้หลานชุ่ยฟัง จากนั้นจึงออกจากวังไปพร้อมกับภาพวาดแต่เมื่อเขากำลังจะก้าวออกจากห้อง เขาก็ได้ยินเสียงคนข้างหลังกระซิบขอบคุณ เขาตกตะลึงและมีความคิดมากมายอยู่ครู่หนึ่ง แต่จากนั้นเขาก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติและยืดอกเดินออกจากห้องไปอีกด้านหนึ่ง จวนขององค์ชายหลีเงียบมากจนเกือบจะได้ยินเสียงใบไม้ร่วง เย่เฟยหลีกำลังเขียนพู่กันอยู่ในห้องอักษร ลายมือของเขามีความหนาและทรงพลัง แต่เขาไม่ได้ จดจ่ออยู่กับตัวอักษร หูของเ
นางทำเพียงเพื่อมิตรภาพระหว่างคนสองคนเท่านั้น ไม่ใช่เพื่ออยากได้รับรางวัลด้วยพระราชกฤษฎีกาของไทเฮา ผู้คุมยิ้มมากขึ้นเมื่อเห็นฉู่เนี่ยนซีแต่ฉู่เนี่ยนซียังคงสงบนิ่ง จึงทำให้ผู้คุมแอบสาปแช่งลับหลังว่านางช่างไม่รู้จักบุญคุณส้มเขียวหวานถูกส่งมาที่ตำหนักเฟิงอี้ เจี่ยงจาวอวิ๋นค่อย ๆ ลอกเปลือกออก ดึงไหมสีขาวที่อยู่บนนั้นออกแล้ววางลงตรงหน้าฮองเฮา“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงดูไม่มีความสุขเช่นนั้น? ตั้งแต่มาที่นี่ก็ดูไม่ผ่อนคลายเอาเสียเลย”ฮองเฮาวางหนังสือในมือลง ใช้เล็บสีแดงสดแบ่งส้มออกครึ่งหนึ่งก่อนจะใส่เข้าไปในปาก และถามเจี่ยงจาวอวิ๋นโดยไม่ละสายตาเจี่ยงจาวอวิ๋นกำลังเช็ดน้ำส้มบนมือด้วยผ้าเช็ดหน้า เมื่อนางได้ยินฮองเฮาถามสิ่งนี้ จึงรู้ตัวว่าตนเองซ่อนมันไม่มิดนางขยับตัวเบา ๆ ไปที่ด้านข้างของฮองเฮา นวดไหล่ของฮองเฮาและกล่าวขึ้นว่า "เสด็จแม่เพคะ เสด็จพ่อขังฉู่เนี่ยนซีไว้แบบนี้ แต่ไม่การเคลื่อนไหวใด ๆ เลย พระองค์ทรงคิดอะไรอยู่กันแน่เพคะ?"ฮองเฮาเงยหน้าขึ้น และสาวใช้ก็ถวายชา ฮองเฮารับมาก่อนจะส่ายหน้าแล้วเป่าชาร้อนเบา ๆ สร้อยไข่มุกสีทองบริสุทธิ์บนขมับขกระทบกับหูของนางเบา ๆ“ก็นั่นน่ะสิ ข้าคิดว่
“ฉู๋เนี่ยนซี พบกันอีกแล้วนะ เจอข้าในสถานที่เช่นนี้แบบนี้ เจ้าดีใจหรือไม่?”เจี่ยงจาวอวิ๋นมองไปที่ใบหน้าของฉู๋เนี่ยนซี มันสวยงามมาก รอยยิ้มของนางกลายเป็นความชั่วร้ายและดุร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมองไปที่ดวงตาอันดื้อรั้นและหยิ่งยโสของฉู๋เนี่ยนซี ไฟในหัวใจของนางก็ระเบิดออกมา นางหยิบแส้สั้นขึ้นมาและเหวี่ยงมันใส่หน้าของฉู๋เนี่ยนซีอย่างรุนแรงเลือดไหลไปทั่วใบหน้าที่สวยงามของฉู๋เนี่ยนซีทันที ดวงตาของนางมืดมนลง เมื่อเห็นว่ากระโปรงเสื้อผ้าถูกแต้มไปด้วยสีแดงฉาน นางก็มองไปที่เจี่ยงจาวอวิ๋นอย่างดุเดือด "วันนี้ ท่านทุบตีข้าให้ตายที่นี่ หรือไม่ก็รอให้ข้าออกไปแล้วจะเอาคืนท่านเป็นสิบเท่าร้อยเท่า”เจี่ยงจาวอวิ๋นตกใจมากกับความหนาวเย็นที่อยู่รอบ ๆ ฉู๋เนี่ยนซี ทั้งยังมีดวงตาที่เหมือนหมาป่าของนาง หลังจากที่เจี่ยงจาวอวิ๋นสงบลง นางก็รู้สึกเสียหน้าและโกรธมากจนยกแส้ขึ้นสูงเพื่อตีฉู๋เนี่ยนซีอีกครั้ง“บอกมา เจ้าติดต่อกับมณฑลตะวันตกได้อย่างไร?!”หลังจากที่แส้ปลิวขึ้นไปในอากาศสองครั้ง มันก็ตกลงบนผิวหนังอันอ่อนอุ่นของฉู๋เนี่ยนซีฉู๋เนี่ยนซีรู้ว่าเจี่ยงจาวอวิ๋นเพียงต้องการระบายความโกรธของตัวเอง ดังนั้นนางจึงเง
เป่ยถูปรากฏตัวออกมาจากที่ใดก็ไม่รู้ เขาสวมเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อน ด้วยรูปร่างที่แข็งแกร่งและรอยยิ้มที่ผ่อนคลายเมื่อคนหนุ่มทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน เป่ยถูดูเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่า ในขณะที่เซวียหนานคงดูเป็นคนที่อ่อนแอกว่า“เรื่องโรงพนันหุยหุน ฝีมือเจ้าหรือเปล่า? อย่าบอกว่าไม่ใช่ ข้าคิดดีแล้ว มีเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่มีความสามารถในการวางแผนเช่นนี้”ดวงตาของเซวียหนานคงเย็นลงเล็กน้อย เขายืนลังตรงอยู่ตรงข้ามเป่ยถู และจ้องมองตรงไปที่ดวงตาของอีกฝ่ายแต่มือที่กำแน่นกลับทรยศต่ออารมณ์ของเขา สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือการได้ยินคำตอบปฏิเสธของเป่ยถู“ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วยังไง? ไม่ใช่แล้วจะยังไง? เกิดอะไรขึ้นกับโรงพนันหุยหุน? เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าของโรงพนันหุยหุน? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้ากัน?”เป่ยถูไม่ตอบคำถาม แต่ถามกลับหลายข้ออย่างใจเย็น เซวียหนานคงพูดไม่ออกและตกตะลึงทันที“เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย เจ้าทำได้อย่างไร…?”เซวียหนานคงบูดบึ้งและมองไปยังเป่ยถูด้วยความขุ่นเคือง ก่อนที่เขาจะพูดจบเป่ยถูก็ขัดขึ้นก่อน “หนานคง!” เป่ยถูเรียกเขาเสียงต่ำ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้ากลับมาทั้งที กลับมาตั้งคำถามกับข
แสงแดดยามพลบค่ำลอยอยู่บนท้องฟ้าทางทิศตะวันตก และมีแสงสีแดงลอยอยู่ในอากาศเย็นดวงตาของเซวียหนานคงเต็มไปด้วยความอบอุ่น เสียงของเขาเบาลง และดวงตาของเขาเต็มไปด้วยการวิงวอน “เป่ยถู ได้โปรดช่วยนางด้วยเถิด” เมื่อเป่ยถูได้ยินว่าหนานคงอ้อนวอนตนเองเพื่อพระชายาอ๋องแห่งอาณาจักรแห่งรัตติกาล ความโกรธในใจของเขาก็ระเบิดขึ้นราวกับเทน้ำมันลงกองไฟ และน้ำเสียงของเขาเยือกเย็นขึ้นกว่าเดิม “เจ้าอยากให้ข้าช่วยนางอย่างไร? ต้องให้ข้าเปิดเผยตัวตนและทำให้มณฑลตะวันตกตกกลายเป็นถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียวอย่างนั้นหรือ?”ดวงตาของเซวียหนานคงดูโดดเดี่ยวมากขึ้น และเขาเพียงตอบไปเบา ๆ ว่า "เข้าใจแล้ว" และหันหลังจากไปทันทีเนื่องจากเป่ยถูปฏิเสธที่จะช่วยเหลือ เขาจึงทำได้เพียงคิดหาวิธีอื่นเท่านั้นเพราะตอนนี้พวกเขาอาศัยอยู่ในโลกที่แตกต่างกัน"แต่..."เมื่อได้ยินเสียงของเป่ยถู เซวียหนานคงก็หยุดเดินและหันกลับไปมองดูคนข้างหลังอย่างมีความหวังเป่ยถูลดสายตาลงขบคิดราวกับว่าเขามีคำตอบที่แน่นอนอยู่ในใจ เขาเงยหน้าขึ้นและยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แค่มุมปากก็ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความชั่วร้าย“หากเจ้ายอมทำข้อตกลงกับข้า...”เป่ยถูลากคำยาว
เซวียหนานคงเกาหู เขาไม่เคยโกหกป้าตัวเองเลยในชีวิต และในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้เขาก็พูดอะไรไม่ออกท่านป้าจ้องมองเขาอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะเดินไม่กี่ก้าวไปถึงข้างหน้าเขา นางพลางเดินเข้าไปพลางพยักหน้า พร้อมกับเยาะเย้ยเล็กน้อยในดวงตา“เจ้าเด็กน้อย ตกหลุมรักแล้วก็คือตกหลุมรัก เหตุใดต้องย้ายบ้านด้วย ทำไม? เจ้าวางแผนจะหนีตามใครอย่างนั้นรึ? อย่าว่าแต่ไม่ต้องการป้าอย่างข้าแล้ว เจ้าไม่คิดจะกล่าวอำลากับข้าเลยด้วยหรือ?"“ไม่ใช่นะขอรับ ท่านป้า...นี่ท่านพูดอะไรกัน?!”เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านป้า เซวียหนานยังคงเป็นเหมือนเด็กเสมอ และเมื่อเขาได้ยินป้าของเขาพูดเช่นนั้น เขาก็รีบโบกมือเป็นพลันวัน แม้แต่หลังหูก็กลายเป็นสีแดง“หากเจ้าชอบจริง ๆ ก็ยอมรับกับป้าอย่างเปิดเผยแบบลูกผู้ชาย อย่าทำตัวลับ ๆ ล่อ และขี้ขลาด…”ขณะที่กำลังดุเซวียหนานคงนางก็ได้ยินเซวียหนานคงพึมพำเสียงต่ำว่า “แบบลูกผู้ชายหมายความว่าอย่างไร ข้าเป็นลูกผู้ชายอยู่แล้ว” “เช่นนั้นแล้วเหตุใดเจ้าถึงยังไม่กล้ายอมรับ!”เซวียหนานคงกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ป้าของเขาตื่นเต้นมากจนไม่ให้โอกาสเขาขัดจังหวะ "ไม่สำคัญว่าคนที่เจ้าชอบจะเป็นบุรุษหรือสตรี คนใน
ฮวยเหรินไม่ทราบว่าเหตุใดฮองเฮาถึงมีอารมณ์เช่นนั้น ดังนั้นนางจึงระงับความสงสัยและแต่งตัวให้กับฮองเฮาต่อหลังจากที่นางสนมแสดงความเคารพในตอนเช้าตรู่ ฮวยเหรินก็พยุงฮองเฮาไปยังพระตำหนักอันชิ่งฮวยเหรินกระซิบ "เหตุใดฮองเฮาถึงโกรธฉู่กุ้ยเฟยอยู่ล่ะเพคะ จักรพรรดิทรงถอนสิทธิ์ของนางจากิจการของหกตำหนักฝ่ายในเพื่อฮองเฮาเลยนะเพคะ"ฮองเฮามองดูสวนที่ว่างเปล่าและรู้สึกหนาวเหน็บยิ่งกว่าเดิม“หลายปีที่ผ่านมา ข้าคิดว่าข้าลืมมันไปแล้ว แต่หลังจากที่ได้พบกับฉู่เนี่ยนซี ข้าก็รู้ว่าเหตุการณ์อันเจ็บปวดในอดีตเหล่านั้นจะอยู่กับข้าไปตลอดชีวิต”“ฮองเฮาอย่าทรงคิดมากไปเลยเพคะ ไม่เช่นนั้นจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของท่านเสียเปล่า ๆ”ฮองเฮาสูดอากาศเย็น หายใจออกช้า ๆ ทางจมูก และมองไปข้างหน้าอย่างเศร้าใจ“ความรักที่จักรพรรดิมีต่อฉู่เคอเมื่อครั้งยังเป็นองค์ชาย ทำให้ข้ารู้สึกอิจฉาจนแทบบ้าทุกครั้งเมื่อนึกถึงมัน จะมีสตรีนางใดอยากให้สามีของตัวเองมีพื้นที่ในใจให้สตรีอื่นในใจกันเล่า?”เสียงหัวเราะดังคมชัดในพระตำหนักอันชิ่ง ลอยออกมานอกหน้าต่างอย่างสนุกสนาน ซุนจื่อซีเพิ่งเล่าเรื่องตลกให้ไทเฮาฟังได้ครึ่งทางเท่านั้นนางก็ขำกับเร