“องค์หญิงยังต้องฝึกฝนกลยุทธ์หน่อยนะเพคะ แม้แต่เด็กสามขวบก็รู้ว่าองค์หญิงต้องการอะไร”อยากจะสร้างความร้าวฉานระหว่างนางกับเย่เฟยหลีเหตุใดไม่คิดหาวิธีที่ดีกว่านี้ นางคิดจริง ๆ หรือเปล่าว่าเย่เฟยหลีจะทำอะไรนางด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำนี้?นิสัยของนางไม่ได้ว่าจะเป็นเช่นนี้แค่วันสองวัน หากต้องการสร้างปัญหาขึ้นมาจริง ๆ แม้แต่เย่เฟยหลีนางก็ไม่สนใจ“ก็แค่สาวใช้เพียงคนเดียว เหตุใดชายาของข้าจะลงโทษไม่ได้ หากเจ้าทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตไปถึงหูท่านพ่อ ระวังจะถูกส่งไปเป็นภิกษุณีทั้งที่เพิ่งกลับวังมาได้ไม่นาน” เย่เฟยหลีเย็นชา เขาไม่มีความรู้สึกใด ๆ ต่อน้องสาวคนนี้เลย ตอนนี้เมื่อเห็นว่านางกลั่นแกล้งฉู่เนี่ยนซี ใบหน้าของเขาก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้น“เหอะ วันนี้ลูกพี่ลูกน้องของข้ากลับมาถึงวังแล้ว เสด็จพ่อไม่มีทางส่งข้ากลับไปแน่!”เย่เซวียนเล่อเหลือบมองด้านข้างของฉู่เนี่ยนซี จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าเพื่อเหวี่ยงแส้ใส่นางฉู่เนี่ยนซีกำลังจะโยนเข็มเงินออกไปก็เห็นเย่เฟยหลีตีข้อมือของเย่เซวียนเล่อเสียงดัง ‘เพียะ’ แส้หล่นลงไปบนพื้นเสียงสนั่นเย่เซวียนเล่อมองเย่เฟยหลีด้วยความโกรธ "ท่านกล้าตีข้างั้นหรือ? ข้าจะรายง
วันรุ่งขึ้น ฉู่เนี่ยนซีตื่นแต่เช้า เสี่ยวเถาได้ยินเสียงจึงรีบจัดการทุกอย่างก่อนจะเดินถืออ่างน้ำเข้าไป “ท่านอ๋องล่ะ?” ฉู่เนี่ยนซีหาวและถามขึ้น“ไปท้องพระโรงแล้วเพคะ ท่านอ๋องบอกว่าวันนี้จะกลับมาช้า เลยให้ท่านทานอาหารก่อนได้เลยเพคะ”“อ้อ” ฉู่เนี่ยนซีตอบเบา ๆ ก่อนจะล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็นั่งหน้ากระจก แล้วปล่อยให้เสี่ยวเถาจัดการตามต้องการในเวลานี้ เย่เฟยหลีได้ยืนอยู่ในท้องพระโรงและฟังคำอภิปรายของเจ้าหน้าที่มาเป็นเวลานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโต้เถียงไปมาของทุกคน จักรพรรดิจึงตอบแบบขอไปทีแล้วไม่พูดถึงมันอีก“หากไม่มีอะไรจะรายงานแล้ว ก็ออกจากท้องพระโรงไปเถิด” เมื่อจักรพรรดิผู้ที่ทรงอำนาจสูงสุดที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรโบกมือ บรรดารัฐมนตรีข้างล่างก็จากไปพร้อมกัน เมื่อเย่เฟยลี่เงยหน้าขึ้น เขาก็สบตากับจักรพรรดิ และเข้าใจในทันทีก่อนจะเดินตามรัฐมนตรีออกจากท้องพระโรงอย่างสงบ เพียงแต่ก้าวเดินของเขานั้นช้าลงเล็กน้อยหลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว ขันทีเฉินซึ่งอยู่ด้านข้างจักรพรรดิ์ก็วิ่งเข้ามาข้างหลังเขาและตะโกนขึ้นว่า "องค์ชายหลีช้าก่อนพ่ะย่ะค่ะ"“องค์ชายหลี ฝ่าบาทมีเรื่องจะหารือกับท่
องค์จักรพรรดิมองตรงไปที่เย่เฟยหลีด้วยท่าทางอันน่าเกรงขามและดวงตาเฉียบคม นี่คือองค์ชายที่เขาให้ความสนใจมากที่สุดเขาหวังว่าเย่เฟยหลีจะไม่เพียงแค่สามารถรับผิดชอบงานสำคัญ ๆ ได้เท่านั้น แต่ยังจะสามารถปกครองเมืองรัตติกาลและกลายเป็นองค์จักรพรรดิที่ยอดเยี่ยมหลังจากที่เขาสวรรคตไปแล้ว“ลูกเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เย่เฟยหลีดูจริงจัง และคำพูดที่ออกมาจากริมฝีปากบางของเขากลับไม่มีความอบอุ่นใดใด“เจ้าควรตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป เมื่อคืนเจ้าและไป๋ชิงได้ประลองกัน และสุดท้ายก็เสมอกัน จากนั้นเจ้าก็บอกว่ารู้สึกไม่สบายและออกไปก่อน พอมาดูตอนนี้ก็เหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้โกหกเพื่อหักหน้าไป๋ชิง บอกมาสิว่าเกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงและสายตาขององค์จักรพรรดิอ่อนโยนขึ้น“ไม่มีใครที่จะเข้าใจลูกได้ดีไปกว่าเสด็จพ่อ ที่ลูกทูลว่าไม่สบายไม่ใช่เรื่องโกหกพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นรวมไปถึงสายตาคู่นั้น หัวใจของเย่เฟยหลีก็ดำดิ่งลง หากองค์จักรพรรดิทรงเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้และส่งคนไปตรวจสอบ เบาะแสเพียงเล็กน้อยก็อาจฆ่าฉู่เนี่ยนซีได้“เจ้าต้องดูแลตัวเองและอย่าทำงานหนักเกินไป” องค์จักรพรรดิคิดครู่หนึ่ง “เจ้าได้รับบาด
“เสด็จพ่อและน้องสามคุยกันเรื่องอะไร? พวกเขาคุยกันมานานเท่าไหร่แล้ว?” เย่เหลียนหันหลังให้กับดวงอาทิตย์แลดูมืดมน เขามองไปทางประตูสีแดงพลางถามขันทีเฉินด้วยเสียงทุ้มต่ำ“ท่านอ๋อง กระหม่อมเฝ้าอยู่ข้างนอกมาโดยตลอด ไม่ทราบจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ แต่เวลาเพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน คงพูดคุยกันไปแค่ไม่กี่คำหรอกพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฉินตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หลังจากได้ยินเสียงองค์จักรพรรดิทรงอนุญาต เขาก็เปิดประตูห้องทรงงานให้เย่เหลียน“ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”“ลูกทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”ทั้งสองพูดพร้อมกัน เย่เฟยหลีหันหลังจากไป ส่วนเย่เหลียนเดินไปข้างหน้า ทั้งสองได้เผชิญหน้ากัน สายตาประชันใส่กันเป็นประกายราวกับสายฟ้าท้องฟ้าปลอดโปร่งและมีฝุ่นลอยเล็กน้อย ขันทีเฉินส่งเย่เฟยหลีออกไป เขาถือแส้โค้งตัวแล้วพูดกับเย่เฟยหลีว่า “กระหม่อมรู้ดีว่าท่านอ๋องหลีเป็นผู้ที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม ความรู้ความสามารถ ข่าวลือมากมายนั่น ขอท่านอ๋องโปรดอย่านำมาใส่ใจเลยพ่ะย่ะค่ะ”“ขอบคุณขันทีเฉิน กลับไปเถอะ” เย่เฟยหลีพยักหน้าและขอบคุณขันทีเฉินที่เตือน“กระหม่อมน้อมส่งท่านอ๋องหลีพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีปลอมตัวเสร็จ นางก็ขึ้นรถม
นางจึงฝังเข็มให้ผู้ป่วยทันทีโดยรักษาอาการของเขาให้คงที่ก่อน แต่นางยังไม่รู้ว่าเป็นเชื้อไวรัสตัวไหน จึงต้องใช้เวลาศึกษาอย่างละเอียดจึงจะทราบลักษณะและยารักษาโรคได้ฉู่เนี่ยนซีถอดผ้าปิดปาก หมวกคลุมผม และถุงมือออก ห่อด้วยผ้าสะอาดแล้วนำไปให้อวี๋ตงเผาทิ้งนอกจากนี้นางยังใบสั่งยาสองใบและให้อวี๋ตงส่งคนแยกกันไปต้มยา อย่างน้อยก็จะช่วยป้องกันไม่ให้คนที่มีสุขภาพดีเหล่านี้ติดเชื้อและบรรเทาอาการของผู้ที่ติดเชื้อได้ในเวลาเดียวกัน นางให้อวี๋เป่ยไปค้นหาว่าเชื้อไวรัสมาจากไหน เนื่องจากตอนนี้มันรุนแรงมาก จนคนที่แพร่เชื้ออาจป่วยหนักจนถึงระยะสุดท้ายแล้ว“อวี๋หนาน เจ้าเก่งเรื่องวิชาตัวเบา ไปเชิญท่านหมอเทวดาเฮ่อหลานมาโดยเร็วที่สุด”ฉู่เนี่ยนซีให้สั่งงานอย่างเป็นระเบียบแล้วเข้าไปในห้องที่ไม่มีคน แม้ว่าห้วงว่างเปล่าจะยังเปิดไม่เต็มที่ แต่ก็ดีกว่าเมื่อก่อนมาก อย่างน้อยนางก็สามารถเข้าไปศึกษาลักษณะพิเศษของเชื้อไวรัสได้นางกวาดตามองอย่างสบาย ๆ และทันใดนั้นก็พบว่าผลทุกข์ระทมที่นางโยนลงไปก่อนหน้านี้ได้หยั่งรากและแตกหน่อออกเป็นใบสีเขียวเล็กๆ สองใบที่น่ารักมากนั่นทำให้นางประหลาดใจ ผลทุกข์ระทมมีอยู่จริงหรือ?บ
“ท่านอ๋อง โปรดเสวยอะไรสักหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เมื่ออาหารทั้งหมดถูกนำมาวาง เหลียงหยวนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เย่เฟยหลีก็พูดขึ้น “ยามใดแล้ว?” เย่เฟยหลีเขียนต่อโดยไม่เงยหน้า“ยามอู่*กว่า ๆ แล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไม่แน่ใจว่าฉู่เนี่ยนซีทานอะไรแล้วหรือยัง เย่เฟยหลีจเงยหน้าและให้เหลียงหยวนไปเชิญฉู่เนี่ยนซี มารับประทานอาหารกลางวันกับเขาหลังจากนั้นไม่นาน เหลียงหยวนก็กลับมารายงานว่าพระชายาหลีไม่อยู่ในเรือนนอน หลังจากถามคนรับใช้ที่นั่น พวกเขาไม่รู้ว่าพระชายาหลีไปที่ใดเย่เฟยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ‘ฉู่เนี่ยนซีนี่ช่างหาตัวยากจริง ๆ ไม่รู้หายไปไหนอีก’‘หากนางไปที่โรงพนันหุยหุนแล้วถูกสายลับขององค์จักรพรรดิเห็นเข้าเล่า?’“ส่งคนไปตามหานาง”“พ่ะย่ะค่ะ”เย่เฟยหลียังคงจมอยู่กับกองเอกสารราชการ สีหน้าของเขาสงบ แต่บรรยากาศรอบตัวของเขากลับดูวุ่นวาย มีเรื่องที่ต้องจัดการครุ่นคิดมากมาย และแต่ละเรื่องล้วนทำให้เขาหนักใจเขากังวลเกี่ยวกับประชาชนที่เดือดร้อนเรื่องที่อยู่ และยังไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเรื่องน้ำท่วมได้ อีกทั้งก็ต้องลาดตระเวนฝั่งมณฑลตะวันตกเพื่อหาข่าว รวมไปถึงต้องปกป้องฉู่เนี่ยนซีจากการถูกทำร้าย แต่ความสงส
ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก กลิ่นหอมสมุนไพรบนร่างกายของฉู่เนี่ยนซี ผสานกับกลิ่นอำพันทะเลที่เปื้อนบนร่างกายของเย่เฟยหลีและห่อหุ้มคนทั้งสองไว้แน่น กลิ่นหอมที่ผสมกันนั้นเบาบางมาก“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปเถิด”เมื่อเย่เฟยหลีได้ยินเสียงของฉู่เนี่ยนซี เขาก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างอธิบายไม่ถูกและรู้สึกไม่ยุติธรรมด้วย เขากังวลอยู่เสมอว่านางจะตกเป็นเป้าหมายของสายลับ แต่นางก็ช่างเหลือเกิน เปิดปากเมื่อไหร่ก็เหมือนเป็นคนแปลกหน้าไปทุกที“การออกนอกเมืองไม่ใช่คิดจะทำก็ทำได้ ข้าต้องการหนังสือผ่านประตู”แสงอาทิตย์ตกกระทบแผ่นหลังของนาง ทำให้เห็นว่าปลายจมูกของฉู่เนี่ยนซีมีเหงื่อออกและขึ้นสีแดง ซึ่งเพิ่มความขี้เล่นเล็กน้อยให้กับอารมณ์ที่เย็นชาของนาง“นี่ท่าทีของเจ้าเวลามาขอความช่วยเหลือจากข้าหรือ?”เย่เฟยหลียิ้มเยาะออกมาด้วยความโกรธ ฉู่เนี่ยนซีคิดว่าสามารถจิกหัวใช้เขาให้ทำอะไรก็ได้หรือ?ฉู่เนี่ยนซีกระพริบตา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ขอท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย การช่วยเหลือคนเป็นเรื่องด่วน สถานการณ์ความเจ็บป่วยอย่างกะทันหันนี้ หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจถึงแก่ชีวิตได้”ความจริงแล้วเขาโกรธนางไม่ลง และแม้เ
“เสนาบดีกรมโยธาช่วยเหลืออ๋องเหลียนในการซ่อมแซมเขื่อน ส่วนเสนาบดีกรมพระคลังคอยช่วยเหลือมหาเสนาบดีฉู่ในการบรรเทาภัยพิบัติ ที่นั่นมีโรคระบาด พวกเจ้าและหมอหลวงอาวุโสแห่งสำนักหมอหลวงไปด้วยกัน ต้องช่วยเหลือดูแลประชาชนโดยเร็วที่สุด!”องค์จักรพรรดิยืนขึ้นขณะตรัสประโยคท้าย คิ้วของเขาขมวดและน้ำเสียงไม่อนุญาตให้ใครปฏิเสธ“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”กลับมาที่จวนอ๋องหลี เย่เฟยหลีถามเหลียงหยวนว่าฉู่เนี่ยนซีกลับมาแล้วหรือยัง และเหลียงหยวนก็ได้แต่ส่ายหน้า“สายลับขององค์จักรพรรดิกำลังจะไปที่โรงพนันหุยหุน เจ้ากับข้าควรจะไปที่นั่นด้วย”เย่เฟยหลีถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ฉู่เนี่ยนซียังไม่กลับมา ดังนั้นสายลับจะไปอีกกี่ครั้งก็ไม่สำคัญ“ท่านอ๋อง มีผู้คนหลากหลายในโรงพนันหุยหุน จะคนประเภทไหนก็ล้วนมี เสื้อผ้าที่ท่านใส่แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่คนธรรมดา คงจะไม่มีใครเปิดเผยข้อมูลแน่พ่ะย่ะค่ะ”เหลียงหยวนมองเย่เฟยหลี ลักษณะเช่นนี้หากบอกว่าเป็นคุณชายคงไม่มีใครเชื่อแน่ ๆ“เจ้าแน่ใจหรือว่าช่วงนี้ที่โรงพนันหุยหุน เจ้าไม่ได้ยินอะไรเกี่ยวกับมณฑลตะวันตกเลย?” เย่เฟยหลีถามนิ่ง ๆ พลางยืนเอามือไพล่หลังและมองออกไปนอกหน้าต่าง
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย