วันรุ่งขึ้น ฉู่เนี่ยนซีตื่นแต่เช้า เสี่ยวเถาได้ยินเสียงจึงรีบจัดการทุกอย่างก่อนจะเดินถืออ่างน้ำเข้าไป “ท่านอ๋องล่ะ?” ฉู่เนี่ยนซีหาวและถามขึ้น“ไปท้องพระโรงแล้วเพคะ ท่านอ๋องบอกว่าวันนี้จะกลับมาช้า เลยให้ท่านทานอาหารก่อนได้เลยเพคะ”“อ้อ” ฉู่เนี่ยนซีตอบเบา ๆ ก่อนจะล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็นั่งหน้ากระจก แล้วปล่อยให้เสี่ยวเถาจัดการตามต้องการในเวลานี้ เย่เฟยหลีได้ยืนอยู่ในท้องพระโรงและฟังคำอภิปรายของเจ้าหน้าที่มาเป็นเวลานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโต้เถียงไปมาของทุกคน จักรพรรดิจึงตอบแบบขอไปทีแล้วไม่พูดถึงมันอีก“หากไม่มีอะไรจะรายงานแล้ว ก็ออกจากท้องพระโรงไปเถิด” เมื่อจักรพรรดิผู้ที่ทรงอำนาจสูงสุดที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรโบกมือ บรรดารัฐมนตรีข้างล่างก็จากไปพร้อมกัน เมื่อเย่เฟยลี่เงยหน้าขึ้น เขาก็สบตากับจักรพรรดิ และเข้าใจในทันทีก่อนจะเดินตามรัฐมนตรีออกจากท้องพระโรงอย่างสงบ เพียงแต่ก้าวเดินของเขานั้นช้าลงเล็กน้อยหลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว ขันทีเฉินซึ่งอยู่ด้านข้างจักรพรรดิ์ก็วิ่งเข้ามาข้างหลังเขาและตะโกนขึ้นว่า "องค์ชายหลีช้าก่อนพ่ะย่ะค่ะ"“องค์ชายหลี ฝ่าบาทมีเรื่องจะหารือกับท่
องค์จักรพรรดิมองตรงไปที่เย่เฟยหลีด้วยท่าทางอันน่าเกรงขามและดวงตาเฉียบคม นี่คือองค์ชายที่เขาให้ความสนใจมากที่สุดเขาหวังว่าเย่เฟยหลีจะไม่เพียงแค่สามารถรับผิดชอบงานสำคัญ ๆ ได้เท่านั้น แต่ยังจะสามารถปกครองเมืองรัตติกาลและกลายเป็นองค์จักรพรรดิที่ยอดเยี่ยมหลังจากที่เขาสวรรคตไปแล้ว“ลูกเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เย่เฟยหลีดูจริงจัง และคำพูดที่ออกมาจากริมฝีปากบางของเขากลับไม่มีความอบอุ่นใดใด“เจ้าควรตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป เมื่อคืนเจ้าและไป๋ชิงได้ประลองกัน และสุดท้ายก็เสมอกัน จากนั้นเจ้าก็บอกว่ารู้สึกไม่สบายและออกไปก่อน พอมาดูตอนนี้ก็เหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้โกหกเพื่อหักหน้าไป๋ชิง บอกมาสิว่าเกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงและสายตาขององค์จักรพรรดิอ่อนโยนขึ้น“ไม่มีใครที่จะเข้าใจลูกได้ดีไปกว่าเสด็จพ่อ ที่ลูกทูลว่าไม่สบายไม่ใช่เรื่องโกหกพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นรวมไปถึงสายตาคู่นั้น หัวใจของเย่เฟยหลีก็ดำดิ่งลง หากองค์จักรพรรดิทรงเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้และส่งคนไปตรวจสอบ เบาะแสเพียงเล็กน้อยก็อาจฆ่าฉู่เนี่ยนซีได้“เจ้าต้องดูแลตัวเองและอย่าทำงานหนักเกินไป” องค์จักรพรรดิคิดครู่หนึ่ง “เจ้าได้รับบาด
“เสด็จพ่อและน้องสามคุยกันเรื่องอะไร? พวกเขาคุยกันมานานเท่าไหร่แล้ว?” เย่เหลียนหันหลังให้กับดวงอาทิตย์แลดูมืดมน เขามองไปทางประตูสีแดงพลางถามขันทีเฉินด้วยเสียงทุ้มต่ำ“ท่านอ๋อง กระหม่อมเฝ้าอยู่ข้างนอกมาโดยตลอด ไม่ทราบจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ แต่เวลาเพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน คงพูดคุยกันไปแค่ไม่กี่คำหรอกพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฉินตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หลังจากได้ยินเสียงองค์จักรพรรดิทรงอนุญาต เขาก็เปิดประตูห้องทรงงานให้เย่เหลียน“ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”“ลูกทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”ทั้งสองพูดพร้อมกัน เย่เฟยหลีหันหลังจากไป ส่วนเย่เหลียนเดินไปข้างหน้า ทั้งสองได้เผชิญหน้ากัน สายตาประชันใส่กันเป็นประกายราวกับสายฟ้าท้องฟ้าปลอดโปร่งและมีฝุ่นลอยเล็กน้อย ขันทีเฉินส่งเย่เฟยหลีออกไป เขาถือแส้โค้งตัวแล้วพูดกับเย่เฟยหลีว่า “กระหม่อมรู้ดีว่าท่านอ๋องหลีเป็นผู้ที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม ความรู้ความสามารถ ข่าวลือมากมายนั่น ขอท่านอ๋องโปรดอย่านำมาใส่ใจเลยพ่ะย่ะค่ะ”“ขอบคุณขันทีเฉิน กลับไปเถอะ” เย่เฟยหลีพยักหน้าและขอบคุณขันทีเฉินที่เตือน“กระหม่อมน้อมส่งท่านอ๋องหลีพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีปลอมตัวเสร็จ นางก็ขึ้นรถม
นางจึงฝังเข็มให้ผู้ป่วยทันทีโดยรักษาอาการของเขาให้คงที่ก่อน แต่นางยังไม่รู้ว่าเป็นเชื้อไวรัสตัวไหน จึงต้องใช้เวลาศึกษาอย่างละเอียดจึงจะทราบลักษณะและยารักษาโรคได้ฉู่เนี่ยนซีถอดผ้าปิดปาก หมวกคลุมผม และถุงมือออก ห่อด้วยผ้าสะอาดแล้วนำไปให้อวี๋ตงเผาทิ้งนอกจากนี้นางยังใบสั่งยาสองใบและให้อวี๋ตงส่งคนแยกกันไปต้มยา อย่างน้อยก็จะช่วยป้องกันไม่ให้คนที่มีสุขภาพดีเหล่านี้ติดเชื้อและบรรเทาอาการของผู้ที่ติดเชื้อได้ในเวลาเดียวกัน นางให้อวี๋เป่ยไปค้นหาว่าเชื้อไวรัสมาจากไหน เนื่องจากตอนนี้มันรุนแรงมาก จนคนที่แพร่เชื้ออาจป่วยหนักจนถึงระยะสุดท้ายแล้ว“อวี๋หนาน เจ้าเก่งเรื่องวิชาตัวเบา ไปเชิญท่านหมอเทวดาเฮ่อหลานมาโดยเร็วที่สุด”ฉู่เนี่ยนซีให้สั่งงานอย่างเป็นระเบียบแล้วเข้าไปในห้องที่ไม่มีคน แม้ว่าห้วงว่างเปล่าจะยังเปิดไม่เต็มที่ แต่ก็ดีกว่าเมื่อก่อนมาก อย่างน้อยนางก็สามารถเข้าไปศึกษาลักษณะพิเศษของเชื้อไวรัสได้นางกวาดตามองอย่างสบาย ๆ และทันใดนั้นก็พบว่าผลทุกข์ระทมที่นางโยนลงไปก่อนหน้านี้ได้หยั่งรากและแตกหน่อออกเป็นใบสีเขียวเล็กๆ สองใบที่น่ารักมากนั่นทำให้นางประหลาดใจ ผลทุกข์ระทมมีอยู่จริงหรือ?บ
“ท่านอ๋อง โปรดเสวยอะไรสักหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เมื่ออาหารทั้งหมดถูกนำมาวาง เหลียงหยวนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เย่เฟยหลีก็พูดขึ้น “ยามใดแล้ว?” เย่เฟยหลีเขียนต่อโดยไม่เงยหน้า“ยามอู่*กว่า ๆ แล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไม่แน่ใจว่าฉู่เนี่ยนซีทานอะไรแล้วหรือยัง เย่เฟยหลีจเงยหน้าและให้เหลียงหยวนไปเชิญฉู่เนี่ยนซี มารับประทานอาหารกลางวันกับเขาหลังจากนั้นไม่นาน เหลียงหยวนก็กลับมารายงานว่าพระชายาหลีไม่อยู่ในเรือนนอน หลังจากถามคนรับใช้ที่นั่น พวกเขาไม่รู้ว่าพระชายาหลีไปที่ใดเย่เฟยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ‘ฉู่เนี่ยนซีนี่ช่างหาตัวยากจริง ๆ ไม่รู้หายไปไหนอีก’‘หากนางไปที่โรงพนันหุยหุนแล้วถูกสายลับขององค์จักรพรรดิเห็นเข้าเล่า?’“ส่งคนไปตามหานาง”“พ่ะย่ะค่ะ”เย่เฟยหลียังคงจมอยู่กับกองเอกสารราชการ สีหน้าของเขาสงบ แต่บรรยากาศรอบตัวของเขากลับดูวุ่นวาย มีเรื่องที่ต้องจัดการครุ่นคิดมากมาย และแต่ละเรื่องล้วนทำให้เขาหนักใจเขากังวลเกี่ยวกับประชาชนที่เดือดร้อนเรื่องที่อยู่ และยังไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเรื่องน้ำท่วมได้ อีกทั้งก็ต้องลาดตระเวนฝั่งมณฑลตะวันตกเพื่อหาข่าว รวมไปถึงต้องปกป้องฉู่เนี่ยนซีจากการถูกทำร้าย แต่ความสงส
ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก กลิ่นหอมสมุนไพรบนร่างกายของฉู่เนี่ยนซี ผสานกับกลิ่นอำพันทะเลที่เปื้อนบนร่างกายของเย่เฟยหลีและห่อหุ้มคนทั้งสองไว้แน่น กลิ่นหอมที่ผสมกันนั้นเบาบางมาก“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปเถิด”เมื่อเย่เฟยหลีได้ยินเสียงของฉู่เนี่ยนซี เขาก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างอธิบายไม่ถูกและรู้สึกไม่ยุติธรรมด้วย เขากังวลอยู่เสมอว่านางจะตกเป็นเป้าหมายของสายลับ แต่นางก็ช่างเหลือเกิน เปิดปากเมื่อไหร่ก็เหมือนเป็นคนแปลกหน้าไปทุกที“การออกนอกเมืองไม่ใช่คิดจะทำก็ทำได้ ข้าต้องการหนังสือผ่านประตู”แสงอาทิตย์ตกกระทบแผ่นหลังของนาง ทำให้เห็นว่าปลายจมูกของฉู่เนี่ยนซีมีเหงื่อออกและขึ้นสีแดง ซึ่งเพิ่มความขี้เล่นเล็กน้อยให้กับอารมณ์ที่เย็นชาของนาง“นี่ท่าทีของเจ้าเวลามาขอความช่วยเหลือจากข้าหรือ?”เย่เฟยหลียิ้มเยาะออกมาด้วยความโกรธ ฉู่เนี่ยนซีคิดว่าสามารถจิกหัวใช้เขาให้ทำอะไรก็ได้หรือ?ฉู่เนี่ยนซีกระพริบตา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ขอท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย การช่วยเหลือคนเป็นเรื่องด่วน สถานการณ์ความเจ็บป่วยอย่างกะทันหันนี้ หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจถึงแก่ชีวิตได้”ความจริงแล้วเขาโกรธนางไม่ลง และแม้เ
“เสนาบดีกรมโยธาช่วยเหลืออ๋องเหลียนในการซ่อมแซมเขื่อน ส่วนเสนาบดีกรมพระคลังคอยช่วยเหลือมหาเสนาบดีฉู่ในการบรรเทาภัยพิบัติ ที่นั่นมีโรคระบาด พวกเจ้าและหมอหลวงอาวุโสแห่งสำนักหมอหลวงไปด้วยกัน ต้องช่วยเหลือดูแลประชาชนโดยเร็วที่สุด!”องค์จักรพรรดิยืนขึ้นขณะตรัสประโยคท้าย คิ้วของเขาขมวดและน้ำเสียงไม่อนุญาตให้ใครปฏิเสธ“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”กลับมาที่จวนอ๋องหลี เย่เฟยหลีถามเหลียงหยวนว่าฉู่เนี่ยนซีกลับมาแล้วหรือยัง และเหลียงหยวนก็ได้แต่ส่ายหน้า“สายลับขององค์จักรพรรดิกำลังจะไปที่โรงพนันหุยหุน เจ้ากับข้าควรจะไปที่นั่นด้วย”เย่เฟยหลีถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ฉู่เนี่ยนซียังไม่กลับมา ดังนั้นสายลับจะไปอีกกี่ครั้งก็ไม่สำคัญ“ท่านอ๋อง มีผู้คนหลากหลายในโรงพนันหุยหุน จะคนประเภทไหนก็ล้วนมี เสื้อผ้าที่ท่านใส่แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่คนธรรมดา คงจะไม่มีใครเปิดเผยข้อมูลแน่พ่ะย่ะค่ะ”เหลียงหยวนมองเย่เฟยหลี ลักษณะเช่นนี้หากบอกว่าเป็นคุณชายคงไม่มีใครเชื่อแน่ ๆ“เจ้าแน่ใจหรือว่าช่วงนี้ที่โรงพนันหุยหุน เจ้าไม่ได้ยินอะไรเกี่ยวกับมณฑลตะวันตกเลย?” เย่เฟยหลีถามนิ่ง ๆ พลางยืนเอามือไพล่หลังและมองออกไปนอกหน้าต่าง
แต่ด้วยตำแหน่งของขั้นบันไดนั้นไม่ดีทำให้เก้าอี้พลิกค่ำ ดวงตาของฉู่เนี่ยนซีเบิกกว้างด้วยความตกใจนางคิดว่าตัวเองกำลังจะล้มหลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอย่างที่คาดไว้ เมื่อเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่งดงามของเย่เฟยหลีก็อยู่ตรงหน้า ห่างจากนางเพียงสองนิ้วเท่านั้นฉู่เนี่ยนซีสามารถมองเห็นเงาของตัวเองในรูม่านตาของเย่เฟยหลีได้อย่างชัดเจน ขนตาของเขาหนาโค้งงอและดวงตาของเขาก็ชัดเจนราวกับยามเช้าฤดูใบไม้ร่วงในเดือนเจ็ด ฉู่เนี่ยนซีที่อยู่ในอ้อมแขนของเย่เฟยหลีก็หน้าแดงทันที“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”เสียงที่เป็นกังวลของเย่เฟยหลีดังเข้าหูของฉู่เนี่ยนซี ช่วยเรียกนางให้กลับมามีสติอีกครั้ง นางก็รีบเด้งตัวออกจากอ้อมแขนของเย่เฟยหลีทันที พลางก้มลงและปัดชุดของนางเพื่อปกปิดแก้มที่แดงระเรื่อของตัวเอง“มะ...ไม่เป็นไร...” ฉู่เนี่ยนซีพึมพำในใจ ‘จริง ๆ เลย ทำไมต้องหล่อขนาดนี้ด้วยนะ?’“เช่นนั้นก็เข้าไปข้างในเถิด” เย่เฟยหลีก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน เมื่อครู่เขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจของฉู่เนี่ยนซี ที่รดคางของเขา อีกทั้งยังสามารถมองเห็นใบหน้าเล็ก ๆ ของนางได้อย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนนางจะเหนื่อยมากจนขอบตาดำคล้ำไ