“เสด็จพ่อและน้องสามคุยกันเรื่องอะไร? พวกเขาคุยกันมานานเท่าไหร่แล้ว?” เย่เหลียนหันหลังให้กับดวงอาทิตย์แลดูมืดมน เขามองไปทางประตูสีแดงพลางถามขันทีเฉินด้วยเสียงทุ้มต่ำ“ท่านอ๋อง กระหม่อมเฝ้าอยู่ข้างนอกมาโดยตลอด ไม่ทราบจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ แต่เวลาเพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน คงพูดคุยกันไปแค่ไม่กี่คำหรอกพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฉินตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หลังจากได้ยินเสียงองค์จักรพรรดิทรงอนุญาต เขาก็เปิดประตูห้องทรงงานให้เย่เหลียน“ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”“ลูกทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”ทั้งสองพูดพร้อมกัน เย่เฟยหลีหันหลังจากไป ส่วนเย่เหลียนเดินไปข้างหน้า ทั้งสองได้เผชิญหน้ากัน สายตาประชันใส่กันเป็นประกายราวกับสายฟ้าท้องฟ้าปลอดโปร่งและมีฝุ่นลอยเล็กน้อย ขันทีเฉินส่งเย่เฟยหลีออกไป เขาถือแส้โค้งตัวแล้วพูดกับเย่เฟยหลีว่า “กระหม่อมรู้ดีว่าท่านอ๋องหลีเป็นผู้ที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม ความรู้ความสามารถ ข่าวลือมากมายนั่น ขอท่านอ๋องโปรดอย่านำมาใส่ใจเลยพ่ะย่ะค่ะ”“ขอบคุณขันทีเฉิน กลับไปเถอะ” เย่เฟยหลีพยักหน้าและขอบคุณขันทีเฉินที่เตือน“กระหม่อมน้อมส่งท่านอ๋องหลีพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีปลอมตัวเสร็จ นางก็ขึ้นรถม
นางจึงฝังเข็มให้ผู้ป่วยทันทีโดยรักษาอาการของเขาให้คงที่ก่อน แต่นางยังไม่รู้ว่าเป็นเชื้อไวรัสตัวไหน จึงต้องใช้เวลาศึกษาอย่างละเอียดจึงจะทราบลักษณะและยารักษาโรคได้ฉู่เนี่ยนซีถอดผ้าปิดปาก หมวกคลุมผม และถุงมือออก ห่อด้วยผ้าสะอาดแล้วนำไปให้อวี๋ตงเผาทิ้งนอกจากนี้นางยังใบสั่งยาสองใบและให้อวี๋ตงส่งคนแยกกันไปต้มยา อย่างน้อยก็จะช่วยป้องกันไม่ให้คนที่มีสุขภาพดีเหล่านี้ติดเชื้อและบรรเทาอาการของผู้ที่ติดเชื้อได้ในเวลาเดียวกัน นางให้อวี๋เป่ยไปค้นหาว่าเชื้อไวรัสมาจากไหน เนื่องจากตอนนี้มันรุนแรงมาก จนคนที่แพร่เชื้ออาจป่วยหนักจนถึงระยะสุดท้ายแล้ว“อวี๋หนาน เจ้าเก่งเรื่องวิชาตัวเบา ไปเชิญท่านหมอเทวดาเฮ่อหลานมาโดยเร็วที่สุด”ฉู่เนี่ยนซีให้สั่งงานอย่างเป็นระเบียบแล้วเข้าไปในห้องที่ไม่มีคน แม้ว่าห้วงว่างเปล่าจะยังเปิดไม่เต็มที่ แต่ก็ดีกว่าเมื่อก่อนมาก อย่างน้อยนางก็สามารถเข้าไปศึกษาลักษณะพิเศษของเชื้อไวรัสได้นางกวาดตามองอย่างสบาย ๆ และทันใดนั้นก็พบว่าผลทุกข์ระทมที่นางโยนลงไปก่อนหน้านี้ได้หยั่งรากและแตกหน่อออกเป็นใบสีเขียวเล็กๆ สองใบที่น่ารักมากนั่นทำให้นางประหลาดใจ ผลทุกข์ระทมมีอยู่จริงหรือ?บ
“ท่านอ๋อง โปรดเสวยอะไรสักหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เมื่ออาหารทั้งหมดถูกนำมาวาง เหลียงหยวนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เย่เฟยหลีก็พูดขึ้น “ยามใดแล้ว?” เย่เฟยหลีเขียนต่อโดยไม่เงยหน้า“ยามอู่*กว่า ๆ แล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไม่แน่ใจว่าฉู่เนี่ยนซีทานอะไรแล้วหรือยัง เย่เฟยหลีจเงยหน้าและให้เหลียงหยวนไปเชิญฉู่เนี่ยนซี มารับประทานอาหารกลางวันกับเขาหลังจากนั้นไม่นาน เหลียงหยวนก็กลับมารายงานว่าพระชายาหลีไม่อยู่ในเรือนนอน หลังจากถามคนรับใช้ที่นั่น พวกเขาไม่รู้ว่าพระชายาหลีไปที่ใดเย่เฟยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ‘ฉู่เนี่ยนซีนี่ช่างหาตัวยากจริง ๆ ไม่รู้หายไปไหนอีก’‘หากนางไปที่โรงพนันหุยหุนแล้วถูกสายลับขององค์จักรพรรดิเห็นเข้าเล่า?’“ส่งคนไปตามหานาง”“พ่ะย่ะค่ะ”เย่เฟยหลียังคงจมอยู่กับกองเอกสารราชการ สีหน้าของเขาสงบ แต่บรรยากาศรอบตัวของเขากลับดูวุ่นวาย มีเรื่องที่ต้องจัดการครุ่นคิดมากมาย และแต่ละเรื่องล้วนทำให้เขาหนักใจเขากังวลเกี่ยวกับประชาชนที่เดือดร้อนเรื่องที่อยู่ และยังไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเรื่องน้ำท่วมได้ อีกทั้งก็ต้องลาดตระเวนฝั่งมณฑลตะวันตกเพื่อหาข่าว รวมไปถึงต้องปกป้องฉู่เนี่ยนซีจากการถูกทำร้าย แต่ความสงส
ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก กลิ่นหอมสมุนไพรบนร่างกายของฉู่เนี่ยนซี ผสานกับกลิ่นอำพันทะเลที่เปื้อนบนร่างกายของเย่เฟยหลีและห่อหุ้มคนทั้งสองไว้แน่น กลิ่นหอมที่ผสมกันนั้นเบาบางมาก“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปเถิด”เมื่อเย่เฟยหลีได้ยินเสียงของฉู่เนี่ยนซี เขาก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างอธิบายไม่ถูกและรู้สึกไม่ยุติธรรมด้วย เขากังวลอยู่เสมอว่านางจะตกเป็นเป้าหมายของสายลับ แต่นางก็ช่างเหลือเกิน เปิดปากเมื่อไหร่ก็เหมือนเป็นคนแปลกหน้าไปทุกที“การออกนอกเมืองไม่ใช่คิดจะทำก็ทำได้ ข้าต้องการหนังสือผ่านประตู”แสงอาทิตย์ตกกระทบแผ่นหลังของนาง ทำให้เห็นว่าปลายจมูกของฉู่เนี่ยนซีมีเหงื่อออกและขึ้นสีแดง ซึ่งเพิ่มความขี้เล่นเล็กน้อยให้กับอารมณ์ที่เย็นชาของนาง“นี่ท่าทีของเจ้าเวลามาขอความช่วยเหลือจากข้าหรือ?”เย่เฟยหลียิ้มเยาะออกมาด้วยความโกรธ ฉู่เนี่ยนซีคิดว่าสามารถจิกหัวใช้เขาให้ทำอะไรก็ได้หรือ?ฉู่เนี่ยนซีกระพริบตา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ขอท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย การช่วยเหลือคนเป็นเรื่องด่วน สถานการณ์ความเจ็บป่วยอย่างกะทันหันนี้ หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจถึงแก่ชีวิตได้”ความจริงแล้วเขาโกรธนางไม่ลง และแม้เ
“เสนาบดีกรมโยธาช่วยเหลืออ๋องเหลียนในการซ่อมแซมเขื่อน ส่วนเสนาบดีกรมพระคลังคอยช่วยเหลือมหาเสนาบดีฉู่ในการบรรเทาภัยพิบัติ ที่นั่นมีโรคระบาด พวกเจ้าและหมอหลวงอาวุโสแห่งสำนักหมอหลวงไปด้วยกัน ต้องช่วยเหลือดูแลประชาชนโดยเร็วที่สุด!”องค์จักรพรรดิยืนขึ้นขณะตรัสประโยคท้าย คิ้วของเขาขมวดและน้ำเสียงไม่อนุญาตให้ใครปฏิเสธ“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”กลับมาที่จวนอ๋องหลี เย่เฟยหลีถามเหลียงหยวนว่าฉู่เนี่ยนซีกลับมาแล้วหรือยัง และเหลียงหยวนก็ได้แต่ส่ายหน้า“สายลับขององค์จักรพรรดิกำลังจะไปที่โรงพนันหุยหุน เจ้ากับข้าควรจะไปที่นั่นด้วย”เย่เฟยหลีถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ฉู่เนี่ยนซียังไม่กลับมา ดังนั้นสายลับจะไปอีกกี่ครั้งก็ไม่สำคัญ“ท่านอ๋อง มีผู้คนหลากหลายในโรงพนันหุยหุน จะคนประเภทไหนก็ล้วนมี เสื้อผ้าที่ท่านใส่แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่คนธรรมดา คงจะไม่มีใครเปิดเผยข้อมูลแน่พ่ะย่ะค่ะ”เหลียงหยวนมองเย่เฟยหลี ลักษณะเช่นนี้หากบอกว่าเป็นคุณชายคงไม่มีใครเชื่อแน่ ๆ“เจ้าแน่ใจหรือว่าช่วงนี้ที่โรงพนันหุยหุน เจ้าไม่ได้ยินอะไรเกี่ยวกับมณฑลตะวันตกเลย?” เย่เฟยหลีถามนิ่ง ๆ พลางยืนเอามือไพล่หลังและมองออกไปนอกหน้าต่าง
แต่ด้วยตำแหน่งของขั้นบันไดนั้นไม่ดีทำให้เก้าอี้พลิกค่ำ ดวงตาของฉู่เนี่ยนซีเบิกกว้างด้วยความตกใจนางคิดว่าตัวเองกำลังจะล้มหลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอย่างที่คาดไว้ เมื่อเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่งดงามของเย่เฟยหลีก็อยู่ตรงหน้า ห่างจากนางเพียงสองนิ้วเท่านั้นฉู่เนี่ยนซีสามารถมองเห็นเงาของตัวเองในรูม่านตาของเย่เฟยหลีได้อย่างชัดเจน ขนตาของเขาหนาโค้งงอและดวงตาของเขาก็ชัดเจนราวกับยามเช้าฤดูใบไม้ร่วงในเดือนเจ็ด ฉู่เนี่ยนซีที่อยู่ในอ้อมแขนของเย่เฟยหลีก็หน้าแดงทันที“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”เสียงที่เป็นกังวลของเย่เฟยหลีดังเข้าหูของฉู่เนี่ยนซี ช่วยเรียกนางให้กลับมามีสติอีกครั้ง นางก็รีบเด้งตัวออกจากอ้อมแขนของเย่เฟยหลีทันที พลางก้มลงและปัดชุดของนางเพื่อปกปิดแก้มที่แดงระเรื่อของตัวเอง“มะ...ไม่เป็นไร...” ฉู่เนี่ยนซีพึมพำในใจ ‘จริง ๆ เลย ทำไมต้องหล่อขนาดนี้ด้วยนะ?’“เช่นนั้นก็เข้าไปข้างในเถิด” เย่เฟยหลีก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน เมื่อครู่เขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจของฉู่เนี่ยนซี ที่รดคางของเขา อีกทั้งยังสามารถมองเห็นใบหน้าเล็ก ๆ ของนางได้อย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนนางจะเหนื่อยมากจนขอบตาดำคล้ำไ
มหาเสนาบดีฉู่และเย่เหลียนเดินไปด้วยกัน ฝ่ายมหาเสนาบดีฉู่ถอนหายใจและพูดอย่างรู้สึกผิด “ในฐานะมหาเสนาบดี กระหม่อมไม่สามารถแก้ปัญหาความกังวลขององค์จักรพรรดิและจัดการกับความยากลำบากของประชาชนได้ กระหม่อมช่างเป็นขุนนางที่ไม่เอาไหนเสียจริง”“ท่านพ่อตาอย่าโทษตัวเองเลย หากบอกว่าท่านละเลยไม่ใส่ใจประชาชน ก็คงไม่มีใครมาเทียบกับท่านได้แล้ว ภัยธรรมชาติครั้งนี้สาหัสจริง ๆ แต่ตราบใดที่พวกเราทำงานอย่างหนัก ก็จะสามารถเอาชนะภัยพิบัตินี้ได้โดยเร็ว”เย่เฟยหลีที่อยู่ข้าง ๆ แม้น้ำเสียงของเขาจะเย็นชา แต่ก็ยังนับถือมหาเสนาดีฉู่อยู่ในใจ“ท่านพ่อตาโปรดดูแลตัวเองให้ดี ไม่เช่นนั้นซีเอ๋อร์คงจะต้องเป็นห่วงท่านแน่”เมื่อเห็นว่าเย่เฟยหลีรักลูกสาวของเขาจริง ๆ มหาเสนาบดีฉู่ก็คิดว่าบางทีมันอาจจะไม่ใช่เรื่องผิดที่จะให้ลูกสาวที่แสนล้ำค่าของเขาแต่งงานกับเย่เฟยหลีในตอนนั้น……เมื่อกลับมาที่จวนอ๋องหลี เย่เฟยลีสั่งให้ห้องครัวต้มน้ำแกงบำรุงแล้วถือไปส่งให้ฉู่เนี่ยนซี ทันทีที่เขามาถึง ฉู่เนี่ยนซีก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นหอมที่ลอยเตะจมูก“ดื่มน้ำแกงเข้าไป” เย่เฟยหลีบุ้ยคาง และสั่งให้เสี่ยวเถาก็นำน้ำแกงไปให้ฉู่เนี่ยนซี“ถึ
“บุตรสาวของข้าเป็นผู้หญิงที่ช่างโดดเด่นที่สุดในโลก” มหาเสนาบดีฉู่มองไปที่ฉู่เนี่ยนซีอย่างภาคภูมิใจและบีบจมูกเล็ก ๆ ของนาง ทำให้ฉู่เหนียนซีหัวเราะออกมาเสียงดัง“ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกมาคิดเรื่องนี้ดูแล้ว ลูกวางแผนว่าจะไปเมืองหนานหลินที่มีโรคระบาดแพร่กระจายและมีทรัพยากรน้อย เมื่อไปที่นั่น ลูกก็จะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้”ฉู่เนี่ยนซีประคองมหาเสนาบดีฉู่นั่งลง นวดขมับให้เขาอยู่ข้างหลังพลางพูดเบา ๆ “ท่านพ่อ ในหนึ่งชีวิตของท่าน ครึ่งหนึ่งท่านห่วงใยข้ากับท่านพี่ อีกครึ่งหนึ่งท่านห่วงใยประชาชน แต่ตอนนี้ลูกสามารถแบ่งเบาภาระท่านพ่อได้ครึ่งหนึ่งแล้ว จากนี้ไปท่านก็พักอยู่ที่จวนแบ่งเบาความเครียดจากในวังมาบ้างเจ้าค่ะ”“เมื่อเช้านี้ องค์จักรพรรดิเพิ่งแต่งตั้งให้ท่านอ๋องหลีไปยับยั้งน้ำท่วม อีกทั้งเจ้าก็ยังลงไปเมืองหนานหลิน ข้าว่าเจ้าก็คงกังวลเรื่องท่านอ๋องหลี ส่วนท่านอ๋องนั้นตอนที่คุยกับข้าเขาก็กังวลเรื่องเจ้าเช่นกัน เห็นพวกเจ้ารักใคร่เป็นห่วงเป็นใยกันเช่นนี้ พ่อก็สบายใจ”เมื่อฟังคำพูดที่พึงพอใจของมหาเสนาบดีฉู่แล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็ทำได้เพียงหัวเราะแห้ง ๆ พลางค่อนขอดเย่เฟยหลีว่าทำหน้าที่นี้ได้ดีจริง ๆ หลอกได