มหาเสนาบดีฉู่และเย่เหลียนเดินไปด้วยกัน ฝ่ายมหาเสนาบดีฉู่ถอนหายใจและพูดอย่างรู้สึกผิด “ในฐานะมหาเสนาบดี กระหม่อมไม่สามารถแก้ปัญหาความกังวลขององค์จักรพรรดิและจัดการกับความยากลำบากของประชาชนได้ กระหม่อมช่างเป็นขุนนางที่ไม่เอาไหนเสียจริง”“ท่านพ่อตาอย่าโทษตัวเองเลย หากบอกว่าท่านละเลยไม่ใส่ใจประชาชน ก็คงไม่มีใครมาเทียบกับท่านได้แล้ว ภัยธรรมชาติครั้งนี้สาหัสจริง ๆ แต่ตราบใดที่พวกเราทำงานอย่างหนัก ก็จะสามารถเอาชนะภัยพิบัตินี้ได้โดยเร็ว”เย่เฟยหลีที่อยู่ข้าง ๆ แม้น้ำเสียงของเขาจะเย็นชา แต่ก็ยังนับถือมหาเสนาดีฉู่อยู่ในใจ“ท่านพ่อตาโปรดดูแลตัวเองให้ดี ไม่เช่นนั้นซีเอ๋อร์คงจะต้องเป็นห่วงท่านแน่”เมื่อเห็นว่าเย่เฟยหลีรักลูกสาวของเขาจริง ๆ มหาเสนาบดีฉู่ก็คิดว่าบางทีมันอาจจะไม่ใช่เรื่องผิดที่จะให้ลูกสาวที่แสนล้ำค่าของเขาแต่งงานกับเย่เฟยหลีในตอนนั้น……เมื่อกลับมาที่จวนอ๋องหลี เย่เฟยลีสั่งให้ห้องครัวต้มน้ำแกงบำรุงแล้วถือไปส่งให้ฉู่เนี่ยนซี ทันทีที่เขามาถึง ฉู่เนี่ยนซีก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นหอมที่ลอยเตะจมูก“ดื่มน้ำแกงเข้าไป” เย่เฟยหลีบุ้ยคาง และสั่งให้เสี่ยวเถาก็นำน้ำแกงไปให้ฉู่เนี่ยนซี“ถึ
“บุตรสาวของข้าเป็นผู้หญิงที่ช่างโดดเด่นที่สุดในโลก” มหาเสนาบดีฉู่มองไปที่ฉู่เนี่ยนซีอย่างภาคภูมิใจและบีบจมูกเล็ก ๆ ของนาง ทำให้ฉู่เหนียนซีหัวเราะออกมาเสียงดัง“ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกมาคิดเรื่องนี้ดูแล้ว ลูกวางแผนว่าจะไปเมืองหนานหลินที่มีโรคระบาดแพร่กระจายและมีทรัพยากรน้อย เมื่อไปที่นั่น ลูกก็จะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้”ฉู่เนี่ยนซีประคองมหาเสนาบดีฉู่นั่งลง นวดขมับให้เขาอยู่ข้างหลังพลางพูดเบา ๆ “ท่านพ่อ ในหนึ่งชีวิตของท่าน ครึ่งหนึ่งท่านห่วงใยข้ากับท่านพี่ อีกครึ่งหนึ่งท่านห่วงใยประชาชน แต่ตอนนี้ลูกสามารถแบ่งเบาภาระท่านพ่อได้ครึ่งหนึ่งแล้ว จากนี้ไปท่านก็พักอยู่ที่จวนแบ่งเบาความเครียดจากในวังมาบ้างเจ้าค่ะ”“เมื่อเช้านี้ องค์จักรพรรดิเพิ่งแต่งตั้งให้ท่านอ๋องหลีไปยับยั้งน้ำท่วม อีกทั้งเจ้าก็ยังลงไปเมืองหนานหลิน ข้าว่าเจ้าก็คงกังวลเรื่องท่านอ๋องหลี ส่วนท่านอ๋องนั้นตอนที่คุยกับข้าเขาก็กังวลเรื่องเจ้าเช่นกัน เห็นพวกเจ้ารักใคร่เป็นห่วงเป็นใยกันเช่นนี้ พ่อก็สบายใจ”เมื่อฟังคำพูดที่พึงพอใจของมหาเสนาบดีฉู่แล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็ทำได้เพียงหัวเราะแห้ง ๆ พลางค่อนขอดเย่เฟยหลีว่าทำหน้าที่นี้ได้ดีจริง ๆ หลอกได
มีเสียงดังเอี๊ยด ประตูถูกเปิดออก ขันทีเฉินยืนขึ้นและจะทักทายซีซานเซิง แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้านั้น เขาก็ตัวแข็งทื่ออยู่กับที่และลืมปิดปากที่เปิดอ้าอยู่ริมฝีปากสีแดง และฟันของเขาที่สวยราวกับหยกแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชาย แต่รูปร่างหน้าตาของเขากลับดูบอบบางกว่าผู้หญิงเสียอีกปอยผมที่ถูกลมพัดมาปรกหน้าฝากของฉู่เนี่ยนซี ทำเอาขันทีเฉินถึงกับพึมพำเมื่อเห็นคิ้วและดวงตาที่สดใสเหล่านั้นดูราวกับดวงดาวและดวงจันทร์ “รูปร่างหน้าตาเช่นนี้ ช่างคล้ายกับท่านผู้นั้นในสมัยนั้นเสียจริง”“เหมือนใครหรือขอรับ?” ฉู่เนี่ยนซีมองด้วยสายตาที่เป็นคำถามพลางกดเสียงต่ำถามเขาเมื่อได้ยินเสียงของฉู่เนี่ยนซี ขันทีเฉินก็กลับมามีสติอีกครั้งและหัวเราะกับตัวเอง “คะ...คือจู่ ๆ ข้าก็แค่คิดว่าคุณชายงดงามมากจนข้าเผลอนึกว่าท่านเป็นสตรีน่ะขอรับ”ฉู่เนี่ยนซีเดาว่าขันทีเฉินอาจจะเผลอพูดแทนตัวว่าบ่าวโดยไม่รู้ตัวนางมองหัวจรดเท้าก็เห็นว่าขันทีเฉินไม่ได้ป่วยหรือได้รับบาดเจ็บตรงไหนนางทำท่าทางเชิญชวนและขอให้ขันทีเฉินนั่งลงเพื่อพูดคุย“ข้ามาที่นี่ครั้งนี้เพราะมีคนวานข้ามาขอให้ท่านเป็นธุระให้ขอรับ”ขันทีเฉินยกมือคำนับขึ้นที่ด้านข้างศีรษะ
ด้วยความช่วยเหลือของหมอเทวดาเฮ่อหลาน ทำให้ฉู่เนี่ยนซีจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นมากนางกลับไปที่ห้องส่วนตัวอีกครั้งและมองขันทีเฉินที่ยืนขึ้น “ไม่ต้องกังวล ใต้เท้าเฉิน แต่หอการแพทย์ของข้าไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากผู้คน ให้หมอเทวดาเฮ่อหลานเป็นตัวแทนหอการแพทย์ไปแทนข้าเล่า เป็นอย่างไร?”“มีหมอเทวดาเฮ่อหลานมาด้วยย่อมดีอยู่แล้ว”ขันทีเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งและตระหนักว่าแม้ว่าซีซานเซิงจะไปไม่ได้ แต่หมอเทวดาเฮ่อหลาน ก็ยังนับว่าสุดยอดที่สุดในบรรดาคนเก่ง หากได้เขาไป ตัวขันทีเฉินก็สามารถกลับไปรายงานได้“ขออภัยที่มารบกวน ท่านหมอเทวดาซานเซิง” เมื่อเห็นว่าตัวเองทำงานเสร็จแล้ว ขันทีเฉินก็โค้งคำนับและจากไปฉู่เนี่ยนซีสามารถทำยาป้องกันโรคระบาดได้ นางมอบยาบางส่วนให้กับหมอเทวดาเฮ่อหลานและส่งอวี๋ตงไปเลือกหมอที่มีความสามารถสักสองสามคนไปด้วย กิจการทั้งหมดของหอการแพทย์ถูกส่งมอบให้กับอวี๋หนานเพื่อดูแลเรื่องที่หอการแพทย์เกือบจะคลี่คลายแล้ว ฉู่เนี่ยนซีและอวี๋หนานกลับมาที่จวนมหาเสนาบดีฉู่ พวกเขาเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับเป็นแบบเดิมและทำรอยแผลเป็นบนใบหน้า หลังจากที่นางบอกลาบิดามารดาแล้ว พวกเขาก็กลับไปที่จวนอ๋องหลี
ซุนจื่อซีอยู่ข้าง ๆ ไทเฮา เมื่อเห็นว่าไทเฮาทรงหดหู่และกังวลเรื่องน้ำท่วมทางใต้ นางจึงเล่าเรื่องตลกหลายเรื่องต่อ ๆ กัน แม้ว่าไทเฮาจะชอบหลานสาวของนาง แต่นางก็ไม่เคยยิ้มเลย“เสด็จย่า เพื่อเห็นแก่ซีเอ๋อร์ที่อยากทำให้ท่านมีความสุข ยิ้มสักหน่อยนะเพคะ”ซุนจื่อซีกึ่งหมอบอยู่ข้างไทเฮา พลางจับมือนางทั้งสองข้างเขย่าไปมา เสียงอันไพเราะของนางราวกับดอกกุหลาบที่บานในฤดูใบไม้ผลิไทเฮาเห็นนางทำหน้ามุ่ยและขมวดคิ้ว จึงหัวเราะกับท่าทางขี้เล่นของนาง“กราบทูลฝ่าบาท ท่านอ๋องหลีขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฉินเดินเข้ามาและคำนับพวกเขา “ไปเรียกมา” องค์จักรพรรดิลูบหน้าผากตัวเอง เขานอนไม่หลับมาหลายวันแล้วเพราะเรื่องน้ำท่วมทางตอนใต้ และขณะนี้สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า“หลี่เอ๋อร์ถวายบังคมเสด็จพ่อและเสด็จย่าพ่ะย่ะค่ะ”เย่เฟยหลีก้มศีรษะทำความเคารพ เนื่องจากเขาขี่ม้ามาตลอดทางและดวงอาทิตย์ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินยังร้อนแรงพอ ใบหน้างดงามของเขาจึงแดงเล็กน้อย“เงยหน้าเถิด” ไทเฮาโบกมือให้นางกำนัลอาวุโสที่อยู่ข้าง ๆ “หาที่นั่งให้หลีเอ๋อร์สิ”หลังจากที่เย่เฟยหลีอธิบายความตั้งใจของเขา ทุกคนก็ดูประหลาดใจเล็กน้
เดิมทีเย่เฟยหลีวางแผนที่จะให้ฉู่เนี่ยนซีเดินทางด้วยรถม้า เพื่อที่เดินทางระยะไกลจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป แต่ฉู่เนี่ยนซีก็โบกมือแล้วไปที่คอกม้าเพื่อเลือกม้าที่ดูแข็งแรงลักษณะดีและขี่มันไปเมืองหนานหลินท้องฟ้ากลางดึกดำมืดราวกับหมึกที่ไหลลงสู่ท้องฟ้า พระจันทร์เต็มดวงแขวนอยู่บนนั้น แสงจันทร์ตกกระทบพื้นกระเบื้อง ราวกับกำลังแผ่ชั้นน้ำแข็งสีขาวออกไปมหาเสนาบดีฉู่และฮูหยินยังคงกังวลเกี่ยวกับฉู่เนี่ยนซีที่จะไปยังเมืองทางใต้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องมาที่จวนอ๋องหลีเพื่อฝากฝังให้ฉู่เนี่ยนซีดูแลตัวเองให้ดีฮูหยินจับมือของฉู่เนี่ยนซีพลางน้ำตาไหลด้วยความทุกข์ และเจ็บคอมากจนพูดไม่ออกฉู่เนี่ยนซีมองฮูหยินพลางคิดถึงตอนที่ตัวเองฝ่าห่ากระสุนปืนกลางสนามรบในยุคใหม่ รอดพ้นจากการไล่ตามของศัตรู ประสบกับความยากลำบากทุกรูปแบบ และไม่มีใครสนใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของนางเลย แต่ตอนนี้นางมีแม่ที่ห่วงใยนางมากเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ จนดวงตาของนางแดงก่ำมหาเสนาบดีฉู่ดึงฮูหยินออกมา ปาดน้ำตาบนใบหน้าให้นาง แล้วพูดปลอบเบา ๆ “ข้าบอกแล้วว่าไม่ให้มา ถ้ามาเจ้าจะต้องเสียใจแน่ อย่าร้องไห้เลย ในเมื่อนางตั้งใจขนาดนี้ก็ให้นา
หลังจากส่งมหาเสนาบดีฉู่และฮูหยินกลับไปแล้ว ฉู่เนี่ยนซีและเย่เฟยหลี ก็หันหลังกลับเดินเคียงข้างกัน นางพูดอย่างสงบและหยั่งเชิงเล็กน้อย “ขอบคุณที่ปกป้องศักดิ์ศรีของข้าในฐานะพระชายาหลีต่อหน้าพวกเขา”“เจ้าควรกลับไปพักผ่อนโดยเร็ว พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกันแต่เช้า”เมื่อเย่เฟยหลีได้ยินสิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูด เขาก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่บางอย่างที่เกิดขึ้นในใจ ซึ่งเขาไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้ และน้ำเสียงของเขาก็ไม่อบอุ่นและอ่อนโยนเหมือนตอนแรก“ได้”ฉู่เนี่ยนซีเดินไปที่เรือนของตัวเอง พลางขมวดคิ้วและกัดริมฝีปาก ‘ฉู่เนี่ยนซีนะฉู่เนี่ยนซี เจ้าคาดหวังอะไรอยู่ ความหมายของเขาไม่ชัดเจนพอหรือ?’ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่การหยอกล้อเท่านั้น ท่าทางที่เย็นชาของเขาที่มีต่อนางและคำพูดที่เอาใจใส่แบบขอไปทีในตอนนี้คือความคิดที่แท้จริงที่เขามีต่อตัวนางเมื่อนางกลับมาที่หอนอน ฉู่เนี่ยนซีก็ไม่มีความคิดที่ยุ่งเหยิงอีกต่อไป เย่เฟยหลีก็คือเย่เฟยหลี และนางก็คือนาง พวกเขาได้ลงนามในหนังสือหย่าแล้ว ซึ่งจะเหลือเวลาเพียงหนึ่งปีเท่านั้น แล้วพวกเขาก็จะไม่มีความข้องเกี่ยวกันอีกต่อไปในตอนเช้าพวกเขาเก็บข้าวของและมาถึงประตูเมืองรั
ผู้หญิงคนนี้มีความสามารถจริง ๆรอยยิ้มของไป๋ชิงดูอันตราย เขามองไปที่เย่เหลียนด้วยดวงตาอันน่าสะพรึงราวกับว่ากำลังเลียเลือดจากปลายมีด“ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างหมอเทวดาเฮ่อหลาน หอการแพทย์ ฉู่เนี่ยนซีและเย่เฟยหลี่นั้นมีความลึกซึ้งกันมากแค่ไหน เราต้องคว้าโอกาสเอาไว้และทำให้พวกเขาตกอยู่ใต้อำนาจของพวกเรา”“เช่นนั้นเราก็ตีสนิทหมอเทวดาเฮ่อหลานก่อน หากเราไม่ประสบความสำเร็จก็ค่อยถึงตาฉู่เนี่ยนซี แบบนั้นเราก็สามารถติดต่อหมอเทวดาเฮ่อหลานและเข้าไปในหอการแพทย์ได้เช่นกัน ถึงอย่างไรก็เข้าทางพวกเราอยู่ดี”เย่เหลียนเงยหน้ามองไป่ชิงและยิ้ม ดูเหมือนว่าหอการแพทย์จะเป็นของพวกเขาไปแล้วหลังจากการเดินทางอันยาวนานหลายวัน ในที่สุดคณะเดินทางก็มาถึงเมืองหนานหลินไม่มีทหารเฝ้าประตูเมือง แต่ระหว่างทางได้เห็นผู้ประสบภัยเป็นจำนวนมาก ตอนนี้ดูเหมือนว่าผู้ที่สามารถหนีได้ก็หนีไป ส่วนผู้ที่ไม่สามารถหนีได้ ก็อยู่ได้เฉพาะในเมืองหนานหลินหรือเมืองโดยรอบเท่านั้นถนนที่มีเสียงดังแต่เดิมตอนนี้รกร้างราวกับเมืองร้าง เมื่อเจ้าเมืองหนานหลินได้ยินว่าเย่เฟยหลีและคนอื่น ๆ กำลังมา เขาก็มารออยู่ที่ประตูเมืองด้วยตัวเอง“กระหม่อ
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย