มหาเสนาบดีฉู่และเย่เหลียนเดินไปด้วยกัน ฝ่ายมหาเสนาบดีฉู่ถอนหายใจและพูดอย่างรู้สึกผิด “ในฐานะมหาเสนาบดี กระหม่อมไม่สามารถแก้ปัญหาความกังวลขององค์จักรพรรดิและจัดการกับความยากลำบากของประชาชนได้ กระหม่อมช่างเป็นขุนนางที่ไม่เอาไหนเสียจริง”“ท่านพ่อตาอย่าโทษตัวเองเลย หากบอกว่าท่านละเลยไม่ใส่ใจประชาชน ก็คงไม่มีใครมาเทียบกับท่านได้แล้ว ภัยธรรมชาติครั้งนี้สาหัสจริง ๆ แต่ตราบใดที่พวกเราทำงานอย่างหนัก ก็จะสามารถเอาชนะภัยพิบัตินี้ได้โดยเร็ว”เย่เฟยหลีที่อยู่ข้าง ๆ แม้น้ำเสียงของเขาจะเย็นชา แต่ก็ยังนับถือมหาเสนาดีฉู่อยู่ในใจ“ท่านพ่อตาโปรดดูแลตัวเองให้ดี ไม่เช่นนั้นซีเอ๋อร์คงจะต้องเป็นห่วงท่านแน่”เมื่อเห็นว่าเย่เฟยหลีรักลูกสาวของเขาจริง ๆ มหาเสนาบดีฉู่ก็คิดว่าบางทีมันอาจจะไม่ใช่เรื่องผิดที่จะให้ลูกสาวที่แสนล้ำค่าของเขาแต่งงานกับเย่เฟยหลีในตอนนั้น……เมื่อกลับมาที่จวนอ๋องหลี เย่เฟยลีสั่งให้ห้องครัวต้มน้ำแกงบำรุงแล้วถือไปส่งให้ฉู่เนี่ยนซี ทันทีที่เขามาถึง ฉู่เนี่ยนซีก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นหอมที่ลอยเตะจมูก“ดื่มน้ำแกงเข้าไป” เย่เฟยหลีบุ้ยคาง และสั่งให้เสี่ยวเถาก็นำน้ำแกงไปให้ฉู่เนี่ยนซี“ถึ
“บุตรสาวของข้าเป็นผู้หญิงที่ช่างโดดเด่นที่สุดในโลก” มหาเสนาบดีฉู่มองไปที่ฉู่เนี่ยนซีอย่างภาคภูมิใจและบีบจมูกเล็ก ๆ ของนาง ทำให้ฉู่เหนียนซีหัวเราะออกมาเสียงดัง“ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกมาคิดเรื่องนี้ดูแล้ว ลูกวางแผนว่าจะไปเมืองหนานหลินที่มีโรคระบาดแพร่กระจายและมีทรัพยากรน้อย เมื่อไปที่นั่น ลูกก็จะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้”ฉู่เนี่ยนซีประคองมหาเสนาบดีฉู่นั่งลง นวดขมับให้เขาอยู่ข้างหลังพลางพูดเบา ๆ “ท่านพ่อ ในหนึ่งชีวิตของท่าน ครึ่งหนึ่งท่านห่วงใยข้ากับท่านพี่ อีกครึ่งหนึ่งท่านห่วงใยประชาชน แต่ตอนนี้ลูกสามารถแบ่งเบาภาระท่านพ่อได้ครึ่งหนึ่งแล้ว จากนี้ไปท่านก็พักอยู่ที่จวนแบ่งเบาความเครียดจากในวังมาบ้างเจ้าค่ะ”“เมื่อเช้านี้ องค์จักรพรรดิเพิ่งแต่งตั้งให้ท่านอ๋องหลีไปยับยั้งน้ำท่วม อีกทั้งเจ้าก็ยังลงไปเมืองหนานหลิน ข้าว่าเจ้าก็คงกังวลเรื่องท่านอ๋องหลี ส่วนท่านอ๋องนั้นตอนที่คุยกับข้าเขาก็กังวลเรื่องเจ้าเช่นกัน เห็นพวกเจ้ารักใคร่เป็นห่วงเป็นใยกันเช่นนี้ พ่อก็สบายใจ”เมื่อฟังคำพูดที่พึงพอใจของมหาเสนาบดีฉู่แล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็ทำได้เพียงหัวเราะแห้ง ๆ พลางค่อนขอดเย่เฟยหลีว่าทำหน้าที่นี้ได้ดีจริง ๆ หลอกได
มีเสียงดังเอี๊ยด ประตูถูกเปิดออก ขันทีเฉินยืนขึ้นและจะทักทายซีซานเซิง แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้านั้น เขาก็ตัวแข็งทื่ออยู่กับที่และลืมปิดปากที่เปิดอ้าอยู่ริมฝีปากสีแดง และฟันของเขาที่สวยราวกับหยกแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชาย แต่รูปร่างหน้าตาของเขากลับดูบอบบางกว่าผู้หญิงเสียอีกปอยผมที่ถูกลมพัดมาปรกหน้าฝากของฉู่เนี่ยนซี ทำเอาขันทีเฉินถึงกับพึมพำเมื่อเห็นคิ้วและดวงตาที่สดใสเหล่านั้นดูราวกับดวงดาวและดวงจันทร์ “รูปร่างหน้าตาเช่นนี้ ช่างคล้ายกับท่านผู้นั้นในสมัยนั้นเสียจริง”“เหมือนใครหรือขอรับ?” ฉู่เนี่ยนซีมองด้วยสายตาที่เป็นคำถามพลางกดเสียงต่ำถามเขาเมื่อได้ยินเสียงของฉู่เนี่ยนซี ขันทีเฉินก็กลับมามีสติอีกครั้งและหัวเราะกับตัวเอง “คะ...คือจู่ ๆ ข้าก็แค่คิดว่าคุณชายงดงามมากจนข้าเผลอนึกว่าท่านเป็นสตรีน่ะขอรับ”ฉู่เนี่ยนซีเดาว่าขันทีเฉินอาจจะเผลอพูดแทนตัวว่าบ่าวโดยไม่รู้ตัวนางมองหัวจรดเท้าก็เห็นว่าขันทีเฉินไม่ได้ป่วยหรือได้รับบาดเจ็บตรงไหนนางทำท่าทางเชิญชวนและขอให้ขันทีเฉินนั่งลงเพื่อพูดคุย“ข้ามาที่นี่ครั้งนี้เพราะมีคนวานข้ามาขอให้ท่านเป็นธุระให้ขอรับ”ขันทีเฉินยกมือคำนับขึ้นที่ด้านข้างศีรษะ
ด้วยความช่วยเหลือของหมอเทวดาเฮ่อหลาน ทำให้ฉู่เนี่ยนซีจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นมากนางกลับไปที่ห้องส่วนตัวอีกครั้งและมองขันทีเฉินที่ยืนขึ้น “ไม่ต้องกังวล ใต้เท้าเฉิน แต่หอการแพทย์ของข้าไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากผู้คน ให้หมอเทวดาเฮ่อหลานเป็นตัวแทนหอการแพทย์ไปแทนข้าเล่า เป็นอย่างไร?”“มีหมอเทวดาเฮ่อหลานมาด้วยย่อมดีอยู่แล้ว”ขันทีเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งและตระหนักว่าแม้ว่าซีซานเซิงจะไปไม่ได้ แต่หมอเทวดาเฮ่อหลาน ก็ยังนับว่าสุดยอดที่สุดในบรรดาคนเก่ง หากได้เขาไป ตัวขันทีเฉินก็สามารถกลับไปรายงานได้“ขออภัยที่มารบกวน ท่านหมอเทวดาซานเซิง” เมื่อเห็นว่าตัวเองทำงานเสร็จแล้ว ขันทีเฉินก็โค้งคำนับและจากไปฉู่เนี่ยนซีสามารถทำยาป้องกันโรคระบาดได้ นางมอบยาบางส่วนให้กับหมอเทวดาเฮ่อหลานและส่งอวี๋ตงไปเลือกหมอที่มีความสามารถสักสองสามคนไปด้วย กิจการทั้งหมดของหอการแพทย์ถูกส่งมอบให้กับอวี๋หนานเพื่อดูแลเรื่องที่หอการแพทย์เกือบจะคลี่คลายแล้ว ฉู่เนี่ยนซีและอวี๋หนานกลับมาที่จวนมหาเสนาบดีฉู่ พวกเขาเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับเป็นแบบเดิมและทำรอยแผลเป็นบนใบหน้า หลังจากที่นางบอกลาบิดามารดาแล้ว พวกเขาก็กลับไปที่จวนอ๋องหลี
ซุนจื่อซีอยู่ข้าง ๆ ไทเฮา เมื่อเห็นว่าไทเฮาทรงหดหู่และกังวลเรื่องน้ำท่วมทางใต้ นางจึงเล่าเรื่องตลกหลายเรื่องต่อ ๆ กัน แม้ว่าไทเฮาจะชอบหลานสาวของนาง แต่นางก็ไม่เคยยิ้มเลย“เสด็จย่า เพื่อเห็นแก่ซีเอ๋อร์ที่อยากทำให้ท่านมีความสุข ยิ้มสักหน่อยนะเพคะ”ซุนจื่อซีกึ่งหมอบอยู่ข้างไทเฮา พลางจับมือนางทั้งสองข้างเขย่าไปมา เสียงอันไพเราะของนางราวกับดอกกุหลาบที่บานในฤดูใบไม้ผลิไทเฮาเห็นนางทำหน้ามุ่ยและขมวดคิ้ว จึงหัวเราะกับท่าทางขี้เล่นของนาง“กราบทูลฝ่าบาท ท่านอ๋องหลีขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฉินเดินเข้ามาและคำนับพวกเขา “ไปเรียกมา” องค์จักรพรรดิลูบหน้าผากตัวเอง เขานอนไม่หลับมาหลายวันแล้วเพราะเรื่องน้ำท่วมทางตอนใต้ และขณะนี้สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า“หลี่เอ๋อร์ถวายบังคมเสด็จพ่อและเสด็จย่าพ่ะย่ะค่ะ”เย่เฟยหลีก้มศีรษะทำความเคารพ เนื่องจากเขาขี่ม้ามาตลอดทางและดวงอาทิตย์ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินยังร้อนแรงพอ ใบหน้างดงามของเขาจึงแดงเล็กน้อย“เงยหน้าเถิด” ไทเฮาโบกมือให้นางกำนัลอาวุโสที่อยู่ข้าง ๆ “หาที่นั่งให้หลีเอ๋อร์สิ”หลังจากที่เย่เฟยหลีอธิบายความตั้งใจของเขา ทุกคนก็ดูประหลาดใจเล็กน้
เดิมทีเย่เฟยหลีวางแผนที่จะให้ฉู่เนี่ยนซีเดินทางด้วยรถม้า เพื่อที่เดินทางระยะไกลจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป แต่ฉู่เนี่ยนซีก็โบกมือแล้วไปที่คอกม้าเพื่อเลือกม้าที่ดูแข็งแรงลักษณะดีและขี่มันไปเมืองหนานหลินท้องฟ้ากลางดึกดำมืดราวกับหมึกที่ไหลลงสู่ท้องฟ้า พระจันทร์เต็มดวงแขวนอยู่บนนั้น แสงจันทร์ตกกระทบพื้นกระเบื้อง ราวกับกำลังแผ่ชั้นน้ำแข็งสีขาวออกไปมหาเสนาบดีฉู่และฮูหยินยังคงกังวลเกี่ยวกับฉู่เนี่ยนซีที่จะไปยังเมืองทางใต้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องมาที่จวนอ๋องหลีเพื่อฝากฝังให้ฉู่เนี่ยนซีดูแลตัวเองให้ดีฮูหยินจับมือของฉู่เนี่ยนซีพลางน้ำตาไหลด้วยความทุกข์ และเจ็บคอมากจนพูดไม่ออกฉู่เนี่ยนซีมองฮูหยินพลางคิดถึงตอนที่ตัวเองฝ่าห่ากระสุนปืนกลางสนามรบในยุคใหม่ รอดพ้นจากการไล่ตามของศัตรู ประสบกับความยากลำบากทุกรูปแบบ และไม่มีใครสนใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของนางเลย แต่ตอนนี้นางมีแม่ที่ห่วงใยนางมากเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ จนดวงตาของนางแดงก่ำมหาเสนาบดีฉู่ดึงฮูหยินออกมา ปาดน้ำตาบนใบหน้าให้นาง แล้วพูดปลอบเบา ๆ “ข้าบอกแล้วว่าไม่ให้มา ถ้ามาเจ้าจะต้องเสียใจแน่ อย่าร้องไห้เลย ในเมื่อนางตั้งใจขนาดนี้ก็ให้นา
หลังจากส่งมหาเสนาบดีฉู่และฮูหยินกลับไปแล้ว ฉู่เนี่ยนซีและเย่เฟยหลี ก็หันหลังกลับเดินเคียงข้างกัน นางพูดอย่างสงบและหยั่งเชิงเล็กน้อย “ขอบคุณที่ปกป้องศักดิ์ศรีของข้าในฐานะพระชายาหลีต่อหน้าพวกเขา”“เจ้าควรกลับไปพักผ่อนโดยเร็ว พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกันแต่เช้า”เมื่อเย่เฟยหลีได้ยินสิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูด เขาก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่บางอย่างที่เกิดขึ้นในใจ ซึ่งเขาไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้ และน้ำเสียงของเขาก็ไม่อบอุ่นและอ่อนโยนเหมือนตอนแรก“ได้”ฉู่เนี่ยนซีเดินไปที่เรือนของตัวเอง พลางขมวดคิ้วและกัดริมฝีปาก ‘ฉู่เนี่ยนซีนะฉู่เนี่ยนซี เจ้าคาดหวังอะไรอยู่ ความหมายของเขาไม่ชัดเจนพอหรือ?’ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่การหยอกล้อเท่านั้น ท่าทางที่เย็นชาของเขาที่มีต่อนางและคำพูดที่เอาใจใส่แบบขอไปทีในตอนนี้คือความคิดที่แท้จริงที่เขามีต่อตัวนางเมื่อนางกลับมาที่หอนอน ฉู่เนี่ยนซีก็ไม่มีความคิดที่ยุ่งเหยิงอีกต่อไป เย่เฟยหลีก็คือเย่เฟยหลี และนางก็คือนาง พวกเขาได้ลงนามในหนังสือหย่าแล้ว ซึ่งจะเหลือเวลาเพียงหนึ่งปีเท่านั้น แล้วพวกเขาก็จะไม่มีความข้องเกี่ยวกันอีกต่อไปในตอนเช้าพวกเขาเก็บข้าวของและมาถึงประตูเมืองรั
ผู้หญิงคนนี้มีความสามารถจริง ๆรอยยิ้มของไป๋ชิงดูอันตราย เขามองไปที่เย่เหลียนด้วยดวงตาอันน่าสะพรึงราวกับว่ากำลังเลียเลือดจากปลายมีด“ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างหมอเทวดาเฮ่อหลาน หอการแพทย์ ฉู่เนี่ยนซีและเย่เฟยหลี่นั้นมีความลึกซึ้งกันมากแค่ไหน เราต้องคว้าโอกาสเอาไว้และทำให้พวกเขาตกอยู่ใต้อำนาจของพวกเรา”“เช่นนั้นเราก็ตีสนิทหมอเทวดาเฮ่อหลานก่อน หากเราไม่ประสบความสำเร็จก็ค่อยถึงตาฉู่เนี่ยนซี แบบนั้นเราก็สามารถติดต่อหมอเทวดาเฮ่อหลานและเข้าไปในหอการแพทย์ได้เช่นกัน ถึงอย่างไรก็เข้าทางพวกเราอยู่ดี”เย่เหลียนเงยหน้ามองไป่ชิงและยิ้ม ดูเหมือนว่าหอการแพทย์จะเป็นของพวกเขาไปแล้วหลังจากการเดินทางอันยาวนานหลายวัน ในที่สุดคณะเดินทางก็มาถึงเมืองหนานหลินไม่มีทหารเฝ้าประตูเมือง แต่ระหว่างทางได้เห็นผู้ประสบภัยเป็นจำนวนมาก ตอนนี้ดูเหมือนว่าผู้ที่สามารถหนีได้ก็หนีไป ส่วนผู้ที่ไม่สามารถหนีได้ ก็อยู่ได้เฉพาะในเมืองหนานหลินหรือเมืองโดยรอบเท่านั้นถนนที่มีเสียงดังแต่เดิมตอนนี้รกร้างราวกับเมืองร้าง เมื่อเจ้าเมืองหนานหลินได้ยินว่าเย่เฟยหลีและคนอื่น ๆ กำลังมา เขาก็มารออยู่ที่ประตูเมืองด้วยตัวเอง“กระหม่อ