แม้จะพยายามไล่ต้อน แต่นางก็ยังหาสาเหตุไม่เจอ ตอนนี้ขอแค่ได้จับชีพจรก็จะรู้ทุกอย่างแต่เย่เฟยหลีรู้ว่านางมีความรู้ด้านการแพทย์ หากเป็นเขาจริง ๆ เขาก็คงไม่ให้นางตรวจดูชีพจรแสงริบหรี่แวบขึ้นมาอย่างรวดเร็วในดวงตาของเขา และฉู่เนี่ยนซีก็ถามว่า “ข้าได้ยินจากคนรับใช้ว่าสีหน้าของท่านดูแย่ตอนที่ท่านกลับมาวันนี้ ท่านอยากให้ข้าลองตรวจดูให้หรือไม่?”“เช่นนั้นรึ? ไม่คิดว่าพระชายาจะใส่ใจข้าขนาดนี้ เช่นนั้นก็รบกวนด้วย”พูดจบ เย่เฟยหลีก็เหยียดแขนออกไม่มีแม้แต่ร่องรอยใดใดความประหลาดใจแวบขึ้นมาในดวงตาของฉู่เนี่ยนซี หรือว่าจะไม่ใช่เขา?แต่รูปร่างและสายตาในตอนที่เขารวบรวมกำลังภายในและหยุดกะทันหันนั้นล้วนคุ้นเคยเป็นอย่างดี นั่นคล้ายกับเขามากมิใช่หรือ?นี่นางคิดมากเกินไปหรือ?ฉู่เนี่ยนซีจมอยู่กับความคิดจนไม่ทันได้เห็นความอดกลั้นที่ฉายแววอยู่ในดวงตาของเย่เฟยหลี หรือมือที่กำแน่นในแขนเสื้อของเขา“มีอะไรผิดปกติกับสุขภาพของข้าหรือไม่?”ฉู่เนี่ยนซีกลับมามีสติอีกครั้ง พลางปกปิดความสงสัยไว้ในใจ และส่ายหน้า “สุขภาพท่านแข็งแรงดี!”ขณะที่พูด ฉู่เนี่ยนซีก็มองไปยังใบหน้าของเขาที่สมบูรณ์แบบมากจนทั้งมนุษย์แล
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่ได้บ้าบิ่นขนาดนั้น เสด็จพ่อยังบอกอีกว่าพระองค์จะทรงจัดงานเลี้ยงในวังต้อนรับไป่ชิง พี่สามคอยดูเถอะ ต้องมีละครอะไรรอเราอยู่แน่”“พี่สาม ไป๋ชิงเป็นคนของฮองเฮา หากท่านไม่อยากไปงานเลี้ยงนี้ก็ไม่ต้องไป จะได้ลดปัญหา” เย่ฉงเฉิงเหลือบมองเย่เฟยหลีและเป็นกังวลมากไป๋ชิงและฮองเฮามีความคิดเห็นแบบเดียวกันก็คือไม่ต้องการพบเย่เฟยหลี หากเขาไป เขาอาจจะกลายเป็นนักแสดงที่ไม่สามารถหลบหนีได้ก่อนที่ละครจะจบ“แน่นอนว่าข้าไม่ได้อยากไป แต่ข้าไม่มีสิทธิตัดสินใจ เสด็จพ่อทรงเรียกพวกเราไป ฉะนั้นพรุ่งนี้ก็ไปงานเลี้ยงกันเถอะ”เย่เฟยหลีมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นท้องฟ้าที่มืดมน และเย่ฉงเฉิงก็มองไปกับเขาด้วย พี่น้องทั้งสองต่างก็เข้าใจกันดีและไม่ได้พูดอะไรอีก……ในรถม้าที่กำลังวิ่ง และปิ่นระย้าหินโมราบนหัวของฉู่เนี่ยนซีก็ส่ายไปมาตามการกระแทก เย่เฟยหลีหันไปมองนาง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน“หินโมรานี้พอมาอยู่กับเจ้าแล้วดูดีนะ” เย่เฟยหลีพูดเบา ๆ“แต่ก่อนท่านอยากจะโยนข้าเข้าคอกม้าเพราะข้าอัปลักษณ์ แต่ตอนนี้กลับมาพูดเช่นนี้ ข้าว่าท่านคงสายตาฝ้าฝางเสียแล้วล่ะ” ฉู่เนี่ยนซีมองเขาด้วยสีหน
ฮองเฮาดูโกรธนางมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งนี้ก็ถูกปกปิดอย่างรวดเร็ว‘เหอะ! นังเด็กนี่ ข้าจะต้องจัดการกับเจ้าในสักวัน’“ครานี้ไป๋อ้ายชิงก็ชนะศึกอีกแล้ว บอกมาสิ เจ้าต้องการรางวัลอะไร?” จักรพรรดิมองไป๋ชิงด้วยความชื่นชม“กระหม่อมสามารถแบ่งเบาภาระขององค์จักรพรรดิและได้รับใช้บ้านเมือง ถือเป็นเกียรติของกระหม่อมพะย่ะค่ะ การที่องค์จักรพรรดิไม่รังเกียจกระหม่อม แล้วยังให้กระหม่อมเป็นผู้นำกองทัพในการรบ ก็ถือว่าเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับกระหม่อมแล้วพะย่ะค่ะ”ไป๋ชิงเปลี่ยนชุดเกราะที่เขาสวมใส่ตลอดทั้งปีเป็นเสื้อคลุมทางการซึ่งเน้นให้เห็นรูปร่างที่กำยำของเขา เนื่องจากการกรำศึก สีผิวของเขาก็มีความเป็นชายมากขึ้นด้วยแม้ว่าจะไม่มีชุดเกราะ แต่นิสัยที่กล้าหาญของไป๋ชิงก็ไม่ได้ลดลงเลย เพียงยืนอยู่ที่นั่นเฉย ๆ ก็ทำให้สาวใช้ที่อยู่ข้างหลังเขาหน้าแดงได้ เพียงแต่หากสาวใช้เหล่านั้นได้เห็นความเย่อหยิ่งและไอสังหารของไป๋ชิงภายใต้เงาดาบมานานหลายปี ขาของพวกนางคงจะอ่อนแรงกันเป็นแถบแน่ “ดูสิ สมกับที่เป็นเสาหลักที่ตระกูลไป๋อบรมเลี้ยงดูขึ้นมาจริง ๆ” จักรพรรดิมองไปที่ฮองเฮาและพูดด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น“ฝ่าบาทก็ชมเกินไป
“งั้นเรามาแข่งธนูกันเป็นอย่างไร?” เย่เฟยหลีมองท่าทางเย่อหยิ่งของไป๋ชิงด้วยใบหน้าสงบและไร้อารมณ์ แต่ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็ง ไม่มีใครรู้ว่ายักษ์ที่อยู่ใต้น้ำนั้นใกญ่โตเพียงใด“ไม่ว่าจะเป็นธนูหรือดาบ ท่านอ๋องหลีเลือกได้ตามใจชอบ” ไป๋ชิงไม่มีท่าทีเกรงกลัว ในเวลานี้ เขาเป็นเหมือนเสือที่ลงมาจากภูเขา แววตาของเขาดำมืดอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่เย่เฟยหลีกระซิบกับองครักษ์ที่อยู่ข้าง ๆ และในทันใดนั้นคันธนูและลูกธนูสองดอก กับเหรียญทองแดงจำนวนหนึ่งพันก็ถูกส่งให้เขาและไป๋ชิง รังสีของชายทั้งสองแข็งแกร่งมากจนผู้คุมแทบจะวิ่งหนีออกมาจากพื้นที่“โยนเหรียญทองแดงขึ้นไป และยิงธนูเข้าไปตรงกลาง ใครก็ตามที่ยิงเหรียญทองแดงได้เข้าเป้ามากกว่าจะเป็นผู้ชนะ” เย่เฟยหลีมองด้วยสายตาตั้งคำถามเมื่อเห็นดวงตาของเย่เฟยหลีดูสดใส ไป๋ชิงก็ตอบตกลงทันทีเพื่อป้องกันการเอาเปรียบ จักรพรรดิจึงสุ่มองครักษ์สองนายองครักษ์นายหนึ่งยืนอยู่ที่เป้าเพื่อตรวจสอบผลลัพธ์ ส่วนองครักษ์อีกนายยืนอยู่ระหว่างเย่เฟยหลี ไป๋ชิง และเป้าธนู เมื่อมองไปที่ผู้หนึ่งที่ครอบงำส่วนอีกคนก็มีอานุภาพประดุจอสนีบ
ใบหน้าของไป๋ชิงดูไม่ดีนัก เขากำหมัดแน่นในแขนเสื้อครั้งแล้วครั้งเล่า และริมฝีปากบางของเขาก็เม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง“แม้ว่าแม่ทัพไป๋จะทำศึกมาแล้วหลายครั้ง แต่เขาก็เป็นเพียงลูกวัวที่เพิ่งคลอดเท่านั้น องค์ชายหลีประสบความสำเร็จในสนามรบมามากมาย ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าแม่ทัพไป๋ เห็นไหมว่าองค์ชายหลีแค่ไว้หน้าฮองเฮาเท่านั้น?” ชายในชุดคลุมผ้าไหมสีเหลืองสูงศักดิ์พูดขึ้นเบา ๆ“เดิมทีข้าได้ยินมาว่าไป๋ชิงนั้นกล้าหาญ และมีไหวพริบดี เขาสามารถฆ่าศัตรูได้กว่าสิบคนในสนามรบ ตอนนี้ดูเหมือนว่าหากองค์ชายหลียืนอยู่ต่อหน้าศัตรูเหล่านั้น เกรงว่าพวกเขาคงจะกลัวจนฉี่รดกางเกงแน่” นางสนมอีกคนสวมชุดกระโปรงลายดอกท้อสีชมพูกล่าวขึ้นองค์จักรพรรดิและฮองเฮาไม่ได้ยินสิ่งนี้ แต่ฉู่เนี่ยนซีได้ยินทุกคำพูด เย่เฟยหลีและไป๋ชิงเองก็ได้ยินอย่างชัดเจนเช่นกันฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลี ซึ่งยังคงดูสงบราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะนี้ ดวงตาของเขาดำสนิทราวกับทะเลสาบที่ลึกที่สุด และเป็นการยากที่จะเข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ผิวสีเหลืองเข้มของไป๋ชิงไม่ได้ปกปิดรอยแดงบนแก้มของเขาความโกรธของไป๋ชิงรุนแรงขึ้นเรื่อย
องค์จักรพรรดิกล่าวว่า “ดี” ทำให้บรรยากาศตึงเครียดผ่อนคลายลง ทุกคนยกย่องบุรุษทั้งสองตามองค์จักรพรรดิ สำหรับความกล้าหาญและทักษะของพวกเขาทั้งสองทำความเคารพองค์จักรพรรดิ ไป๋ชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินเพียงสองคน "ยังเหลือเวลาอีกนาน เส้นทางแค้นระหว่างเรายังอีกห่างไกล"“ได้ทุกเมื่อ” เย่เฟยหลีตอบก่อนจะยืนขึ้นสีหน้าของเขายังคงเรียบนิ่ง ก่อนจะโค้งคำนับแล้วจากไปความรังเกียจของไป๋ชิงหลั่งไหลออกมาในขณะที่เขาสะบัดแขนเสื้อ ก่อนจะสถบเบา ๆ ตามหลังเย่เฟยหลีที่จากไปเย่เฟยหลีกลับมาที่ที่นั่งเดิมอย่างมั่นคง ฉู่เนี่ยนซีเอียงคอมอง นางขมวดคิ้วด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนสีหน้าจะกลับมาเย็นชาตามเดิมมีเพียงระยะใกล้เท่านั้นที่จะสามารถมองเห็นเม็ดเหงื่อเล็ก ๆ บนหน้าผากของเย่เฟยหลีได้ เมื่อครู่ ไป๋ชิงมัวแต่มุ่งเน้นไปที่การต่อสู้จึงไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติของเย่เฟยหลีในขณะนี้ฉู่เนี่ยนซีกำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ เย่เฟยหลี ได้ยินเสียงหายใจที่อ่อนแรงของเขา เมื่อเห็นหน้าอกที่กระเพื่อม ซึ่งเขาพยายามอย่างมากที่จะปกปิดมัน แต่ก็ยังคงแสดงออกมาให้เห็นเล็กน้อย และมือขวาของเขาที่ถือดาบก็สั่นเทาฉู่เนี่ยนซีรู้ถึงควา
หากคู่เคียงเรียงหมอนของไป๋ชิงเป็นคนของเขา ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่พ้นหูของเขาไปได้ ครานี้อยากจะทำอะไรก็ง่ายดาย“ใช่แล้ว พี่สองเพิ่งได้นางสนมคนใหม่มา สวยมากเชียวนะ เหตุใดพี่สองไม่แบ่งปันวิธีการกับให้แม่ทัพไป๋บ้างล่ะเผื่อว่าเขาจะได้นางสนมที่สวยงามด้วย” เย่เฟยหลีพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง แม้ว่าจะไม่ได้เห็นสีหน้าของเขา แต่น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความเยาะเย้ยหลายคนรู้เรื่องนี้ และความรักระหว่างชายและหญิงเป็นเรื่องปกติ แต่เขาไม่ต้องการทิ้งภาพลักษณ์ความลุ่มหลงผู้หญิงของตัวเองต่อหน้าจักรพรรดิ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรมาก แค่หวังว่าดวงตาของเขาจะกลายเป็นมีดทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของเย่เฟยหลี“เหตุใดเสี่ยวเถายังไม่กลับมา หรือว่านางจะหลงทางอย่างนั้นหรือ? ข้าจะไปตามนางหน่อย”ฉู่เนี่ยนซีมวดคิ้ว สีหน้าเป็นกังวล เสี่ยวเถาคือคนของจวนองค์ชายหลีเพียงคนเดียวที่เป็นห่วงเป็นใยฉู่เนี่ยนซี หากนางหลงทางก็เป็นเรื่องเล็ก แต่ขออย่าให้อะไรเกิดขึ้นกับนางก็พอ“เหลียงหยวน ไปกับพระชายา”"ไม่ต้อง"ดวงตาของฉู่เนี่ยนซีที่มองเย่เฟยหลีกลับมาเย็นชาเหมือนเมื่อก่อน แต่นางกำลังสับสนกับความคิดที่มีเกี่ยวกับเย่เฟยหลี การออกห่า
“ใครเป็นคนสอนกฎเหล่านี้ให้กับเจ้า? ข้ายังไม่ทันได้พูดอะไร เจ้ากลับกล้าพูดว่าสอนบทเรียนแทนข้า”บุคลิกของฉู่เนี่ยนซีนั้นเข้าถึงได้ยากเป็นทุนอยู่แล้ว แต่ตอนนี้บวกกับท่าทางสง่างามตอนพูด ยิ่งทำให้นางกำนัลตัวสั่น“เขาว่ากันว่าสุนัขที่หวงอาหารนั้นน่ากลัว วันนี้ข้าได้เห็นแล้ว เป็นเช่นนี้นี่เอง” เจี่ยงจาวอวิ๋นออกจากงานเลี้ยงแล้วเดินมาพบฉู่เหนียนซีเข้าเมื่อเห็นใบหน้าที่ดูถูกเหยียดหยามและหยิ่งผยองของนาง ฉู่เนี่ยนซีก็หรี่ตาลง ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับนางอีกต่อไป ทันใดนั้น ก้อนหินก็ลอยขึ้นมาจากใต้เท้าของนาง และกระแทกเข่าของเจี่ยงจาวอวิ๋น ทำเอาเจี่ยงจาวอวิ๋นกรีดร้องเสียงดังก่อนจะล้มลงไป“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาตีข้า?”เจี่ยงจาวอวิ๋นพูดขึ้นทันควัน และเมื่อเห็นรอยยิ้มอันชั่วร้ายและดวงตาเยือกเย็นของฉู่เนี่ยนซี ไม่รู้ว่าในใจของนางตอนนี้มีความกลัวหรือความเสียใจกันแน่“ท่านบอกเองว่าสุนัขที่หวงอาหารนั้นน่ากลัวไม่ใช่หรือ ข้ายังไม่เคยเห็นมาก่อน ขอบคุณท่านจริง ๆ ที่ทำให้ข้าได้เห็นโลกมากขึ้น” ฉู่เนี่ยนซีตอบอย่างเย็นชาด้วยสายตาที่โหดร้ายมากขึ้นอีกเล็กน้อย“เจ้า...สุนัขทาสของเจ้าผิดเอง จะถูกลงโทษไม่ได้เลยรึ?”เ