หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง เย่เฟยหลีก็พูดช้า ๆ “ถ่ายทอดคำสั่งจากข้าไปว่าอย่าเปิดเผยอะไรเรื่องวันนี้ให้ใครรู้ หากเรื่องนี้รั่วไหล ข้าจะฆ่าทิ้งไม่เว้นเมตตา!”ตามที่คาดไว้ ท่านอ๋องยังคงตั้งใจที่จะปกป้องพระชายา เหลียงหยวนคิดอย่างเงียบ ๆในเวลานี้ฉู่เนี่ยนซีกำลังฝังเข็มให้อวี๋เป่ย อวี๋หนานเข้ามากระซิบข้างหูของนาง “นายหญิง ท่านเป่ยถูมาขอพบขอรับ”เขามาทำอะไรที่นี่? เหตุใดถึงยังไม่ไปอีก? นี่เป็นความสงสัยแรกที่เกิดขึ้นในใจของฉู่เนี่ยนซี นางขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ยืนขึ้น เหลือบมองอวี๋เป่ยที่ยังคงหลับอยู่ แล้วพูดว่า “จับตาดูเขาไว้ รีบมาแจ้งข้าหากเขาตื่นแล้ว”หลังจากพูดจบ นางก็ไปพบเป่ยถูเนื่องจากห้องโถงใหญ่ได้รับความเสียหาย ฉู่เนี่ยนซีจึงส่งคนมาเชิญเขาไปที่ห้องโถงด้านข้างแทนทันทีที่นางเข้าไป ก็เห็นเป่ยถูถือถ้วยชาและจิบชาอย่างประณีต“รอนานเลยสินะ คุณชายเป่ยถู”“เป็นเพราะข้าน้อยมาขอพบกะทันหันต่างหาก” เป่ยถูกล่าวอย่างสุภาพ“เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ คุณหนูไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่?”รอยยิ้มที่มุมปากของเขาแข็งค้าง ฉู่เนี่ยนซียิ้มเบา ๆ และพูดว่า “คุณชายก็เห็นเหตุการณ์นั้นด้วยมิใช่หรือ?”เป่ย
ฉู่เนี่ยนซีมองไปรอบ ๆ อย่างนิ่งเฉย นางไม่เห็นเย่เฟยหลีที่ประตูจวน ก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจแล้วเดินเข้าไปพร้อมกับเสี่ยวเถาระหว่างทางกลับไปที่เรือน เสี่ยวเถาและฉู่เนี่ยนซีพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นในจวนวันนี้ ฉู่เนี่ยนซียิ้มและพยักหน้าจนกระทั่งเสี่ยวเถานินทาเกี่ยวกับเย่เฟยหลี ฉู่เนี่ยนซีจึงมีสีหน้าเรียบเฉย“พระชายาไม่รู้หรอกว่าวันนี้ตอนที่ท่านอ๋องกลับมา ใบหน้าของเขาซีดเซียวและดูแย่ราวกับว่าเขาถูกทำร้ายมาอย่างสาหัส และเขาก็กลับไปที่ห้องตำราโดยไม่พูดอะไรสักคำ และก็ไม่ออกมาจนถึงตอนนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่ถึงแม้ท่านอ๋องจะดูอาการไม่ดี รัศมีรอบตัวก็ยังเย็นชาจนคนไม่กล้าสบตาเขา พระชายา ท่านว่า…”เสียงพูดคุยของเสี่ยวเถายังคงดังก้องอยู่ในหูของฉู่เนี่ยนซี แต่ความสนใจของฉู่เนี่ยนซีถูกดึงดูดอย่างสมบูรณ์โดยคำพูดของเสี่ยวเถาที่ว่าใบหน้าของเย่เฟยหลี ซีดเซียวและดูไม่ดีเมื่อรวมกับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ ฉู่เนี่ยนซีหลุบสายตาและคิดอย่างไตร่ตรอง หรือว่าคนที่ลอบเข้ามาโจมตีนางจะเป็นเย่เฟยหลี!ทันทีที่เดาถูก ก็ไม่อาจกลับไปแก้ไขได้“เสี่ยวเถา เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะไปห้องตำราเสียหน่อย” ฉู
แม้จะพยายามไล่ต้อน แต่นางก็ยังหาสาเหตุไม่เจอ ตอนนี้ขอแค่ได้จับชีพจรก็จะรู้ทุกอย่างแต่เย่เฟยหลีรู้ว่านางมีความรู้ด้านการแพทย์ หากเป็นเขาจริง ๆ เขาก็คงไม่ให้นางตรวจดูชีพจรแสงริบหรี่แวบขึ้นมาอย่างรวดเร็วในดวงตาของเขา และฉู่เนี่ยนซีก็ถามว่า “ข้าได้ยินจากคนรับใช้ว่าสีหน้าของท่านดูแย่ตอนที่ท่านกลับมาวันนี้ ท่านอยากให้ข้าลองตรวจดูให้หรือไม่?”“เช่นนั้นรึ? ไม่คิดว่าพระชายาจะใส่ใจข้าขนาดนี้ เช่นนั้นก็รบกวนด้วย”พูดจบ เย่เฟยหลีก็เหยียดแขนออกไม่มีแม้แต่ร่องรอยใดใดความประหลาดใจแวบขึ้นมาในดวงตาของฉู่เนี่ยนซี หรือว่าจะไม่ใช่เขา?แต่รูปร่างและสายตาในตอนที่เขารวบรวมกำลังภายในและหยุดกะทันหันนั้นล้วนคุ้นเคยเป็นอย่างดี นั่นคล้ายกับเขามากมิใช่หรือ?นี่นางคิดมากเกินไปหรือ?ฉู่เนี่ยนซีจมอยู่กับความคิดจนไม่ทันได้เห็นความอดกลั้นที่ฉายแววอยู่ในดวงตาของเย่เฟยหลี หรือมือที่กำแน่นในแขนเสื้อของเขา“มีอะไรผิดปกติกับสุขภาพของข้าหรือไม่?”ฉู่เนี่ยนซีกลับมามีสติอีกครั้ง พลางปกปิดความสงสัยไว้ในใจ และส่ายหน้า “สุขภาพท่านแข็งแรงดี!”ขณะที่พูด ฉู่เนี่ยนซีก็มองไปยังใบหน้าของเขาที่สมบูรณ์แบบมากจนทั้งมนุษย์แล
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่ได้บ้าบิ่นขนาดนั้น เสด็จพ่อยังบอกอีกว่าพระองค์จะทรงจัดงานเลี้ยงในวังต้อนรับไป่ชิง พี่สามคอยดูเถอะ ต้องมีละครอะไรรอเราอยู่แน่”“พี่สาม ไป๋ชิงเป็นคนของฮองเฮา หากท่านไม่อยากไปงานเลี้ยงนี้ก็ไม่ต้องไป จะได้ลดปัญหา” เย่ฉงเฉิงเหลือบมองเย่เฟยหลีและเป็นกังวลมากไป๋ชิงและฮองเฮามีความคิดเห็นแบบเดียวกันก็คือไม่ต้องการพบเย่เฟยหลี หากเขาไป เขาอาจจะกลายเป็นนักแสดงที่ไม่สามารถหลบหนีได้ก่อนที่ละครจะจบ“แน่นอนว่าข้าไม่ได้อยากไป แต่ข้าไม่มีสิทธิตัดสินใจ เสด็จพ่อทรงเรียกพวกเราไป ฉะนั้นพรุ่งนี้ก็ไปงานเลี้ยงกันเถอะ”เย่เฟยหลีมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นท้องฟ้าที่มืดมน และเย่ฉงเฉิงก็มองไปกับเขาด้วย พี่น้องทั้งสองต่างก็เข้าใจกันดีและไม่ได้พูดอะไรอีก……ในรถม้าที่กำลังวิ่ง และปิ่นระย้าหินโมราบนหัวของฉู่เนี่ยนซีก็ส่ายไปมาตามการกระแทก เย่เฟยหลีหันไปมองนาง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน“หินโมรานี้พอมาอยู่กับเจ้าแล้วดูดีนะ” เย่เฟยหลีพูดเบา ๆ“แต่ก่อนท่านอยากจะโยนข้าเข้าคอกม้าเพราะข้าอัปลักษณ์ แต่ตอนนี้กลับมาพูดเช่นนี้ ข้าว่าท่านคงสายตาฝ้าฝางเสียแล้วล่ะ” ฉู่เนี่ยนซีมองเขาด้วยสีหน
ฮองเฮาดูโกรธนางมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งนี้ก็ถูกปกปิดอย่างรวดเร็ว‘เหอะ! นังเด็กนี่ ข้าจะต้องจัดการกับเจ้าในสักวัน’“ครานี้ไป๋อ้ายชิงก็ชนะศึกอีกแล้ว บอกมาสิ เจ้าต้องการรางวัลอะไร?” จักรพรรดิมองไป๋ชิงด้วยความชื่นชม“กระหม่อมสามารถแบ่งเบาภาระขององค์จักรพรรดิและได้รับใช้บ้านเมือง ถือเป็นเกียรติของกระหม่อมพะย่ะค่ะ การที่องค์จักรพรรดิไม่รังเกียจกระหม่อม แล้วยังให้กระหม่อมเป็นผู้นำกองทัพในการรบ ก็ถือว่าเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับกระหม่อมแล้วพะย่ะค่ะ”ไป๋ชิงเปลี่ยนชุดเกราะที่เขาสวมใส่ตลอดทั้งปีเป็นเสื้อคลุมทางการซึ่งเน้นให้เห็นรูปร่างที่กำยำของเขา เนื่องจากการกรำศึก สีผิวของเขาก็มีความเป็นชายมากขึ้นด้วยแม้ว่าจะไม่มีชุดเกราะ แต่นิสัยที่กล้าหาญของไป๋ชิงก็ไม่ได้ลดลงเลย เพียงยืนอยู่ที่นั่นเฉย ๆ ก็ทำให้สาวใช้ที่อยู่ข้างหลังเขาหน้าแดงได้ เพียงแต่หากสาวใช้เหล่านั้นได้เห็นความเย่อหยิ่งและไอสังหารของไป๋ชิงภายใต้เงาดาบมานานหลายปี ขาของพวกนางคงจะอ่อนแรงกันเป็นแถบแน่ “ดูสิ สมกับที่เป็นเสาหลักที่ตระกูลไป๋อบรมเลี้ยงดูขึ้นมาจริง ๆ” จักรพรรดิมองไปที่ฮองเฮาและพูดด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น“ฝ่าบาทก็ชมเกินไป
“งั้นเรามาแข่งธนูกันเป็นอย่างไร?” เย่เฟยหลีมองท่าทางเย่อหยิ่งของไป๋ชิงด้วยใบหน้าสงบและไร้อารมณ์ แต่ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็ง ไม่มีใครรู้ว่ายักษ์ที่อยู่ใต้น้ำนั้นใกญ่โตเพียงใด“ไม่ว่าจะเป็นธนูหรือดาบ ท่านอ๋องหลีเลือกได้ตามใจชอบ” ไป๋ชิงไม่มีท่าทีเกรงกลัว ในเวลานี้ เขาเป็นเหมือนเสือที่ลงมาจากภูเขา แววตาของเขาดำมืดอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่เย่เฟยหลีกระซิบกับองครักษ์ที่อยู่ข้าง ๆ และในทันใดนั้นคันธนูและลูกธนูสองดอก กับเหรียญทองแดงจำนวนหนึ่งพันก็ถูกส่งให้เขาและไป๋ชิง รังสีของชายทั้งสองแข็งแกร่งมากจนผู้คุมแทบจะวิ่งหนีออกมาจากพื้นที่“โยนเหรียญทองแดงขึ้นไป และยิงธนูเข้าไปตรงกลาง ใครก็ตามที่ยิงเหรียญทองแดงได้เข้าเป้ามากกว่าจะเป็นผู้ชนะ” เย่เฟยหลีมองด้วยสายตาตั้งคำถามเมื่อเห็นดวงตาของเย่เฟยหลีดูสดใส ไป๋ชิงก็ตอบตกลงทันทีเพื่อป้องกันการเอาเปรียบ จักรพรรดิจึงสุ่มองครักษ์สองนายองครักษ์นายหนึ่งยืนอยู่ที่เป้าเพื่อตรวจสอบผลลัพธ์ ส่วนองครักษ์อีกนายยืนอยู่ระหว่างเย่เฟยหลี ไป๋ชิง และเป้าธนู เมื่อมองไปที่ผู้หนึ่งที่ครอบงำส่วนอีกคนก็มีอานุภาพประดุจอสนีบ
ใบหน้าของไป๋ชิงดูไม่ดีนัก เขากำหมัดแน่นในแขนเสื้อครั้งแล้วครั้งเล่า และริมฝีปากบางของเขาก็เม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง“แม้ว่าแม่ทัพไป๋จะทำศึกมาแล้วหลายครั้ง แต่เขาก็เป็นเพียงลูกวัวที่เพิ่งคลอดเท่านั้น องค์ชายหลีประสบความสำเร็จในสนามรบมามากมาย ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าแม่ทัพไป๋ เห็นไหมว่าองค์ชายหลีแค่ไว้หน้าฮองเฮาเท่านั้น?” ชายในชุดคลุมผ้าไหมสีเหลืองสูงศักดิ์พูดขึ้นเบา ๆ“เดิมทีข้าได้ยินมาว่าไป๋ชิงนั้นกล้าหาญ และมีไหวพริบดี เขาสามารถฆ่าศัตรูได้กว่าสิบคนในสนามรบ ตอนนี้ดูเหมือนว่าหากองค์ชายหลียืนอยู่ต่อหน้าศัตรูเหล่านั้น เกรงว่าพวกเขาคงจะกลัวจนฉี่รดกางเกงแน่” นางสนมอีกคนสวมชุดกระโปรงลายดอกท้อสีชมพูกล่าวขึ้นองค์จักรพรรดิและฮองเฮาไม่ได้ยินสิ่งนี้ แต่ฉู่เนี่ยนซีได้ยินทุกคำพูด เย่เฟยหลีและไป๋ชิงเองก็ได้ยินอย่างชัดเจนเช่นกันฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลี ซึ่งยังคงดูสงบราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะนี้ ดวงตาของเขาดำสนิทราวกับทะเลสาบที่ลึกที่สุด และเป็นการยากที่จะเข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ผิวสีเหลืองเข้มของไป๋ชิงไม่ได้ปกปิดรอยแดงบนแก้มของเขาความโกรธของไป๋ชิงรุนแรงขึ้นเรื่อย
องค์จักรพรรดิกล่าวว่า “ดี” ทำให้บรรยากาศตึงเครียดผ่อนคลายลง ทุกคนยกย่องบุรุษทั้งสองตามองค์จักรพรรดิ สำหรับความกล้าหาญและทักษะของพวกเขาทั้งสองทำความเคารพองค์จักรพรรดิ ไป๋ชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินเพียงสองคน "ยังเหลือเวลาอีกนาน เส้นทางแค้นระหว่างเรายังอีกห่างไกล"“ได้ทุกเมื่อ” เย่เฟยหลีตอบก่อนจะยืนขึ้นสีหน้าของเขายังคงเรียบนิ่ง ก่อนจะโค้งคำนับแล้วจากไปความรังเกียจของไป๋ชิงหลั่งไหลออกมาในขณะที่เขาสะบัดแขนเสื้อ ก่อนจะสถบเบา ๆ ตามหลังเย่เฟยหลีที่จากไปเย่เฟยหลีกลับมาที่ที่นั่งเดิมอย่างมั่นคง ฉู่เนี่ยนซีเอียงคอมอง นางขมวดคิ้วด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนสีหน้าจะกลับมาเย็นชาตามเดิมมีเพียงระยะใกล้เท่านั้นที่จะสามารถมองเห็นเม็ดเหงื่อเล็ก ๆ บนหน้าผากของเย่เฟยหลีได้ เมื่อครู่ ไป๋ชิงมัวแต่มุ่งเน้นไปที่การต่อสู้จึงไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติของเย่เฟยหลีในขณะนี้ฉู่เนี่ยนซีกำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ เย่เฟยหลี ได้ยินเสียงหายใจที่อ่อนแรงของเขา เมื่อเห็นหน้าอกที่กระเพื่อม ซึ่งเขาพยายามอย่างมากที่จะปกปิดมัน แต่ก็ยังคงแสดงออกมาให้เห็นเล็กน้อย และมือขวาของเขาที่ถือดาบก็สั่นเทาฉู่เนี่ยนซีรู้ถึงควา
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย