เจ้าของโรงพนันผู้นี้ไม่มีกำลังภายในเลยแม้แต่นิด นึกว่าจะจัดการได้ง่าย แต่เขากลับสามารถหลบฝ่ามือได้ ช่างน่าสนใจ!คนบนเวทีทะเลาะกันโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน คนข้างล่างบ้างก็คิดว่าเป็นการแสดง บ้างก็ว่าเริ่มวิวาทกันเพราะไม่พอใจกันคาดไม่ถึงว่าจู่ ๆ ก็มีกลุ่มคนรีบรุดไปหาคนสองสามคนที่อยู่ด้านหน้า และเมื่อคนของโรงพนันเห็นเจ้านายและชายในชุดดำต่อสู้กัน พวกเขาต่างก็ก้าวไปช่วย แต่ก็ถูกคนของเย่เฟยหลีขัดขวางไว้ จนกลายเป็นการต่อสู้กันอีกกลุ่ม“เจ้าเป็นใคร?” ดวงตาของฉู่เนี่ยนซีดูน่ากลัว เผยให้เห็นจิตสังหารที่ไม่สามารถปกปิดได้เย่เฟยหลียิ้มเยาะพลางพูดอย่างตรงไปตรงมา “คนที่จะจับเจ้าอย่างไรเล่า!”พูดจบ การเคลื่อนไหวของเขาก็รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ และโจมตีตำแหน่งสำคัญทุกแห่ง ดูเหมือนว่าเขาแค่อยากจะจับเป็น!“นายท่าน!”เมื่อเห็นว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังดิ้นรน อวี๋เป่ยจึงตะโกนเรียก จากนั้นก็รีบกำจัดคนที่อยู่รอบตัวเขา แล้วรีบไปอยู่ข้างกายฉู่เนี่ยนซีและจะแทงชายชุดดำด้วยดาบของเขาเย่เฟยหลีไม่ยอมให้เขาทำสำเร็จ จึงรีบถอยหลบ เหลียงหยวนที่กำลังให้ความสนใจกับการต่อสู้ระหว่างเจ้านายของเขากับเจ้าของโรงพนันหุยหุน เมื่อ
เย่เฟยหลีเปลี่ยนพลังภายในทั้งหมดของเขาส่งมายังฝ่ามือ หากมันทะลุเข้าไปในร่างกายของฉู่เนี่ยนซี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กล้ามเนื้อและกระดูกของนางก็จะหัก และนางก็เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ ไม่เพียงแต่ท่าทางการใช้เข็มเงินของเจ้าของโรงพนันหุยหุนจะเหมือนกับของ ฉู่เนี่ยนซีทุกประการ เสน่ห์ตรงหว่างคิ้วของเขาก็นับว่าคล้ายกันมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาที่แสนเย็นชาเหล่านั้น เย่เฟยหลีถึงกับเผลอคิดว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือฉู่เนี่ยนซีคิดได้ดังนั้น เย่เฟยหลีจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบังคับตัวเองให้ดึงฝ่ามือกลับและหยุดคนอื่นด้วยเสียงเย็นชา“ทุกคนหยุด!”หลังจากได้ยินคำสั่งของเย่เฟยหลี คนของเขาก็หยุด เหลียงหยวนมองไปที่เย่เฟยหลีด้วยความสับสน และไม่เต็มใจอีกนิดเดียวก็จะสามารถจับตัวเจ้าของโรงพนันหุยหุนได้แล้ว เหตุใดจู่ ๆ ท่านอ๋องถึงบอกให้หยุด?“ถอย!” เสียงของเย่เฟยหลีดังขึ้นและเยือกเย็นไม่มีใครกล้าต่อต้านคำสั่งของเย่เฟยหลี ดังนั้นเย่เฟยหลีจึงพาคนของเขาจากไปอย่างเร่งรีบ“ไม่ต้องตามเขาไป!” ฉู่เนี่ยนซีมองร่างของชายคนนั้นที่จากไปด้วยดวงตาที่ซับซ้อนเล็กน้อย รู้สึกได้ถึงอาร
หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง เย่เฟยหลีก็พูดช้า ๆ “ถ่ายทอดคำสั่งจากข้าไปว่าอย่าเปิดเผยอะไรเรื่องวันนี้ให้ใครรู้ หากเรื่องนี้รั่วไหล ข้าจะฆ่าทิ้งไม่เว้นเมตตา!”ตามที่คาดไว้ ท่านอ๋องยังคงตั้งใจที่จะปกป้องพระชายา เหลียงหยวนคิดอย่างเงียบ ๆในเวลานี้ฉู่เนี่ยนซีกำลังฝังเข็มให้อวี๋เป่ย อวี๋หนานเข้ามากระซิบข้างหูของนาง “นายหญิง ท่านเป่ยถูมาขอพบขอรับ”เขามาทำอะไรที่นี่? เหตุใดถึงยังไม่ไปอีก? นี่เป็นความสงสัยแรกที่เกิดขึ้นในใจของฉู่เนี่ยนซี นางขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ยืนขึ้น เหลือบมองอวี๋เป่ยที่ยังคงหลับอยู่ แล้วพูดว่า “จับตาดูเขาไว้ รีบมาแจ้งข้าหากเขาตื่นแล้ว”หลังจากพูดจบ นางก็ไปพบเป่ยถูเนื่องจากห้องโถงใหญ่ได้รับความเสียหาย ฉู่เนี่ยนซีจึงส่งคนมาเชิญเขาไปที่ห้องโถงด้านข้างแทนทันทีที่นางเข้าไป ก็เห็นเป่ยถูถือถ้วยชาและจิบชาอย่างประณีต“รอนานเลยสินะ คุณชายเป่ยถู”“เป็นเพราะข้าน้อยมาขอพบกะทันหันต่างหาก” เป่ยถูกล่าวอย่างสุภาพ“เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ คุณหนูไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่?”รอยยิ้มที่มุมปากของเขาแข็งค้าง ฉู่เนี่ยนซียิ้มเบา ๆ และพูดว่า “คุณชายก็เห็นเหตุการณ์นั้นด้วยมิใช่หรือ?”เป่ย
ฉู่เนี่ยนซีมองไปรอบ ๆ อย่างนิ่งเฉย นางไม่เห็นเย่เฟยหลีที่ประตูจวน ก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจแล้วเดินเข้าไปพร้อมกับเสี่ยวเถาระหว่างทางกลับไปที่เรือน เสี่ยวเถาและฉู่เนี่ยนซีพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นในจวนวันนี้ ฉู่เนี่ยนซียิ้มและพยักหน้าจนกระทั่งเสี่ยวเถานินทาเกี่ยวกับเย่เฟยหลี ฉู่เนี่ยนซีจึงมีสีหน้าเรียบเฉย“พระชายาไม่รู้หรอกว่าวันนี้ตอนที่ท่านอ๋องกลับมา ใบหน้าของเขาซีดเซียวและดูแย่ราวกับว่าเขาถูกทำร้ายมาอย่างสาหัส และเขาก็กลับไปที่ห้องตำราโดยไม่พูดอะไรสักคำ และก็ไม่ออกมาจนถึงตอนนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่ถึงแม้ท่านอ๋องจะดูอาการไม่ดี รัศมีรอบตัวก็ยังเย็นชาจนคนไม่กล้าสบตาเขา พระชายา ท่านว่า…”เสียงพูดคุยของเสี่ยวเถายังคงดังก้องอยู่ในหูของฉู่เนี่ยนซี แต่ความสนใจของฉู่เนี่ยนซีถูกดึงดูดอย่างสมบูรณ์โดยคำพูดของเสี่ยวเถาที่ว่าใบหน้าของเย่เฟยหลี ซีดเซียวและดูไม่ดีเมื่อรวมกับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ ฉู่เนี่ยนซีหลุบสายตาและคิดอย่างไตร่ตรอง หรือว่าคนที่ลอบเข้ามาโจมตีนางจะเป็นเย่เฟยหลี!ทันทีที่เดาถูก ก็ไม่อาจกลับไปแก้ไขได้“เสี่ยวเถา เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะไปห้องตำราเสียหน่อย” ฉู
แม้จะพยายามไล่ต้อน แต่นางก็ยังหาสาเหตุไม่เจอ ตอนนี้ขอแค่ได้จับชีพจรก็จะรู้ทุกอย่างแต่เย่เฟยหลีรู้ว่านางมีความรู้ด้านการแพทย์ หากเป็นเขาจริง ๆ เขาก็คงไม่ให้นางตรวจดูชีพจรแสงริบหรี่แวบขึ้นมาอย่างรวดเร็วในดวงตาของเขา และฉู่เนี่ยนซีก็ถามว่า “ข้าได้ยินจากคนรับใช้ว่าสีหน้าของท่านดูแย่ตอนที่ท่านกลับมาวันนี้ ท่านอยากให้ข้าลองตรวจดูให้หรือไม่?”“เช่นนั้นรึ? ไม่คิดว่าพระชายาจะใส่ใจข้าขนาดนี้ เช่นนั้นก็รบกวนด้วย”พูดจบ เย่เฟยหลีก็เหยียดแขนออกไม่มีแม้แต่ร่องรอยใดใดความประหลาดใจแวบขึ้นมาในดวงตาของฉู่เนี่ยนซี หรือว่าจะไม่ใช่เขา?แต่รูปร่างและสายตาในตอนที่เขารวบรวมกำลังภายในและหยุดกะทันหันนั้นล้วนคุ้นเคยเป็นอย่างดี นั่นคล้ายกับเขามากมิใช่หรือ?นี่นางคิดมากเกินไปหรือ?ฉู่เนี่ยนซีจมอยู่กับความคิดจนไม่ทันได้เห็นความอดกลั้นที่ฉายแววอยู่ในดวงตาของเย่เฟยหลี หรือมือที่กำแน่นในแขนเสื้อของเขา“มีอะไรผิดปกติกับสุขภาพของข้าหรือไม่?”ฉู่เนี่ยนซีกลับมามีสติอีกครั้ง พลางปกปิดความสงสัยไว้ในใจ และส่ายหน้า “สุขภาพท่านแข็งแรงดี!”ขณะที่พูด ฉู่เนี่ยนซีก็มองไปยังใบหน้าของเขาที่สมบูรณ์แบบมากจนทั้งมนุษย์แล
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่ได้บ้าบิ่นขนาดนั้น เสด็จพ่อยังบอกอีกว่าพระองค์จะทรงจัดงานเลี้ยงในวังต้อนรับไป่ชิง พี่สามคอยดูเถอะ ต้องมีละครอะไรรอเราอยู่แน่”“พี่สาม ไป๋ชิงเป็นคนของฮองเฮา หากท่านไม่อยากไปงานเลี้ยงนี้ก็ไม่ต้องไป จะได้ลดปัญหา” เย่ฉงเฉิงเหลือบมองเย่เฟยหลีและเป็นกังวลมากไป๋ชิงและฮองเฮามีความคิดเห็นแบบเดียวกันก็คือไม่ต้องการพบเย่เฟยหลี หากเขาไป เขาอาจจะกลายเป็นนักแสดงที่ไม่สามารถหลบหนีได้ก่อนที่ละครจะจบ“แน่นอนว่าข้าไม่ได้อยากไป แต่ข้าไม่มีสิทธิตัดสินใจ เสด็จพ่อทรงเรียกพวกเราไป ฉะนั้นพรุ่งนี้ก็ไปงานเลี้ยงกันเถอะ”เย่เฟยหลีมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นท้องฟ้าที่มืดมน และเย่ฉงเฉิงก็มองไปกับเขาด้วย พี่น้องทั้งสองต่างก็เข้าใจกันดีและไม่ได้พูดอะไรอีก……ในรถม้าที่กำลังวิ่ง และปิ่นระย้าหินโมราบนหัวของฉู่เนี่ยนซีก็ส่ายไปมาตามการกระแทก เย่เฟยหลีหันไปมองนาง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน“หินโมรานี้พอมาอยู่กับเจ้าแล้วดูดีนะ” เย่เฟยหลีพูดเบา ๆ“แต่ก่อนท่านอยากจะโยนข้าเข้าคอกม้าเพราะข้าอัปลักษณ์ แต่ตอนนี้กลับมาพูดเช่นนี้ ข้าว่าท่านคงสายตาฝ้าฝางเสียแล้วล่ะ” ฉู่เนี่ยนซีมองเขาด้วยสีหน
ฮองเฮาดูโกรธนางมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งนี้ก็ถูกปกปิดอย่างรวดเร็ว‘เหอะ! นังเด็กนี่ ข้าจะต้องจัดการกับเจ้าในสักวัน’“ครานี้ไป๋อ้ายชิงก็ชนะศึกอีกแล้ว บอกมาสิ เจ้าต้องการรางวัลอะไร?” จักรพรรดิมองไป๋ชิงด้วยความชื่นชม“กระหม่อมสามารถแบ่งเบาภาระขององค์จักรพรรดิและได้รับใช้บ้านเมือง ถือเป็นเกียรติของกระหม่อมพะย่ะค่ะ การที่องค์จักรพรรดิไม่รังเกียจกระหม่อม แล้วยังให้กระหม่อมเป็นผู้นำกองทัพในการรบ ก็ถือว่าเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับกระหม่อมแล้วพะย่ะค่ะ”ไป๋ชิงเปลี่ยนชุดเกราะที่เขาสวมใส่ตลอดทั้งปีเป็นเสื้อคลุมทางการซึ่งเน้นให้เห็นรูปร่างที่กำยำของเขา เนื่องจากการกรำศึก สีผิวของเขาก็มีความเป็นชายมากขึ้นด้วยแม้ว่าจะไม่มีชุดเกราะ แต่นิสัยที่กล้าหาญของไป๋ชิงก็ไม่ได้ลดลงเลย เพียงยืนอยู่ที่นั่นเฉย ๆ ก็ทำให้สาวใช้ที่อยู่ข้างหลังเขาหน้าแดงได้ เพียงแต่หากสาวใช้เหล่านั้นได้เห็นความเย่อหยิ่งและไอสังหารของไป๋ชิงภายใต้เงาดาบมานานหลายปี ขาของพวกนางคงจะอ่อนแรงกันเป็นแถบแน่ “ดูสิ สมกับที่เป็นเสาหลักที่ตระกูลไป๋อบรมเลี้ยงดูขึ้นมาจริง ๆ” จักรพรรดิมองไปที่ฮองเฮาและพูดด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น“ฝ่าบาทก็ชมเกินไป
“งั้นเรามาแข่งธนูกันเป็นอย่างไร?” เย่เฟยหลีมองท่าทางเย่อหยิ่งของไป๋ชิงด้วยใบหน้าสงบและไร้อารมณ์ แต่ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็ง ไม่มีใครรู้ว่ายักษ์ที่อยู่ใต้น้ำนั้นใกญ่โตเพียงใด“ไม่ว่าจะเป็นธนูหรือดาบ ท่านอ๋องหลีเลือกได้ตามใจชอบ” ไป๋ชิงไม่มีท่าทีเกรงกลัว ในเวลานี้ เขาเป็นเหมือนเสือที่ลงมาจากภูเขา แววตาของเขาดำมืดอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่เย่เฟยหลีกระซิบกับองครักษ์ที่อยู่ข้าง ๆ และในทันใดนั้นคันธนูและลูกธนูสองดอก กับเหรียญทองแดงจำนวนหนึ่งพันก็ถูกส่งให้เขาและไป๋ชิง รังสีของชายทั้งสองแข็งแกร่งมากจนผู้คุมแทบจะวิ่งหนีออกมาจากพื้นที่“โยนเหรียญทองแดงขึ้นไป และยิงธนูเข้าไปตรงกลาง ใครก็ตามที่ยิงเหรียญทองแดงได้เข้าเป้ามากกว่าจะเป็นผู้ชนะ” เย่เฟยหลีมองด้วยสายตาตั้งคำถามเมื่อเห็นดวงตาของเย่เฟยหลีดูสดใส ไป๋ชิงก็ตอบตกลงทันทีเพื่อป้องกันการเอาเปรียบ จักรพรรดิจึงสุ่มองครักษ์สองนายองครักษ์นายหนึ่งยืนอยู่ที่เป้าเพื่อตรวจสอบผลลัพธ์ ส่วนองครักษ์อีกนายยืนอยู่ระหว่างเย่เฟยหลี ไป๋ชิง และเป้าธนู เมื่อมองไปที่ผู้หนึ่งที่ครอบงำส่วนอีกคนก็มีอานุภาพประดุจอสนีบ