ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองเย่ฉงเฉิง คิ้วของนางเลิกขึ้นเล็กน้อย “ท่านอ๋องเฉิงหลงตัวเองเช่นนี้ไม่ดีเลยนะเพคะ คนที่เขาหัวเราะนี่ล้วนหมายความว่ากำลังหัวเราะเยาะพระองค์หรือเพคะ? หม่อมฉันว่าท่านอ๋องใส่ใจความคิดของผู้อื่นมากเกินไปหน่อยนะเพคะ!” “เจ้า...ปากคอเราะร้ายนัก ข้าคงเถียงสู้เจ้าไม่ได้หรอก!” เย่ฉงเฉิงมองไปทางอื่นด้วยความโกรธ และบังเอิญเห็นใบหน้าที่ไร้เลือดและซีดเซียวของซ่างกวานเยียน เขาก็ตกใจขึ้นมา “ชายารองซ่างกวานเป็นอะไรไป! เหตุใดถึงหน้าซีดเช่นนี้?” เมื่อซ่างกวานเยียนได้ยินคำถามของเย่ฉงเฉิง ก็มีประกายแสงวาบผ่านดวงตาของนางเร็วเกินกว่าที่ใครจะจับได้ จากนั้นนางก็มองไปยังฉู่เนี่ยนซีด้วยท่าทีที่ระมัดระวังมากขึ้น ราวกับว่านางได้รับความคับข้องใจอย่างมาก แต่กลับไม่กล้าพูดอะไร เห็นดังนั้น เย่ฉงเฉิงก็เข้าใจทันทีว่าซ่างกวานเยียนต้องการจะสื่ออะไร และมองไปที่ฉู่เนี่ยนซีด้วยความโกรธ “นี่เป็นเพราะสตรีชั่วร้ายเช่นเจ้าอีกแล้วรึ เจ้ารังแกคนที่อ่อนแออยู่ตลอด หากเจ้ามีความสามารถนักก็มารังแกข้าสิ!” ฉู่เนี่ยนซีมองเย่ฉงเฉิงผู้ชอบธรรมด้วยสีหน้าเย็นชา และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหัว ดวงตาของนางเต็มไปด้วยควา
“จริงสิพี่สาม ท่านว่าอย่างไรหากข้าจะไปหางานทำที่หอการแพทย์? ไม่แน่ว่าข้าอาจจะได้เป็นศิษย์ของเขา ทั้งยังได้รับการรักษาจากท่านหมอเทวดาด้วย!” “พี่สาม...ท่านฟังข้าอยู่หรือเปล่า?” เย่เฟยหลีหยุดชะงักและมองไปยังฉู่เนี่ยนซี ฉู่เนี่ยนซีตกใจ พูดถึงหมอเทวดาซานเซิงกันอยู่นี่ แล้วเหตุใดเขาถึงมองนางเช่นนี้? หรือนางจะถูกจับได้แล้วว่าตัวเองคือซีซานเซิง... นางเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเขาพูดเนิบ ๆ ว่า “เขียนเทียบยาให้เขาหน่อย เสียงดังเอะอะมากเลย!” เมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยินดังนั้น นางก็ตะลึงและหัวเราะออกมา นี่คือพี่ชายแท้ ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ถึงได้มีท่าทีรำคาญและขอให้นางทำให้เขาพูดไม่ได้! จู่ ๆ สีหน้าของเย่ฉงเฉิงก็หม่นลง “พี่สาม ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ข้าเป็นน้องชายแท้ ๆ ของท่านนะ!” “ตอนนี้ข้าก็ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้ว!” เย่เฟยหลีพูดและเดินต่อไป ฉู่เนี่ยนซีถึงกับหัวเราะออกมา นี่เย่เฟยหลีกำลังเล่นมุกหรือ? แต่ถึงอย่างไรบุคลิกของคนสองคนนี้ก็ง่ายต่อการเข้าใจผิด! “ฮ่าฮ่าฮ่า! ท่านอ๋องภูมิใจในตัวเองเถอะ!” เมื่อเห็นว่าเย่เฟยหลีไม่สนใจเขา เย่ฉงเฉิงก็มองไปยังฉู่เนี่ยนซีที่กำลังยิ้ม
ทันทีที่ฉู่เนี่ยนซีกลับมาถึงเรือน อวี๋เป่ยก็ปรากฏตัวต่อหน้านาง “นายหญิง!” อวี๋เป่ยทำมือคำนับด้วยความเคารพ ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองเขา “ตอนนี้เจ้าควรอยู่ที่โรงพนันหุยหุนสิ!” “กระหม่อมมาที่นี่เพื่อแจ้งนายหญิงว่ากระหม่อมได้พบกับเจ้าของโรงพนันหุยหุนคนก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ฉู่เนี่ยนซีที่ได้ยินก็ดีใจ พลางถามต่อ “อ้อ เป็นอย่างไรบ้าง? เขายินดีที่จะขายโรงเต้นรำหรือไม่?” อวี๋เป่ยส่ายหน้า สีหน้าของเขาอึดอัดเล็กน้อย “เขาบอกว่าโรงเต้นรำถูกขายให้กับคนอื่นไปแล้ว! เรามาช้าไปพ่ะย่ะค่ะ!” “ขายให้ใคร?” “ยังหาไม่พบพ่ะย่ะค่ะ!” ฉู่เนี่ยนซีขมวดคิ้ว โรงเต้นรำเชื่อมต่อกับโรงพนันหุยหุนและทางเข้าทางหนึ่งก็ถูกสร้างขึ้นในโรงเต้นรำ แม้ว่าทางเข้าอื่นจะเปิดมานานแล้ว แต่ทางเข้าของโรงเต้นรำก็ยังคงไม่ถูกละทิ้ง เนื่องจากเจ้าของเดิมของโรงเต้นรำและโรงพนันหุยหุนเป็นคนคนเดียวกัน ทางเข้าจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเขา ดังนั้นนางจึงไม่รีบร้อนที่จะซื้อโรงเต้นรำเพื่อการหมุนเวียนเงินทุน แต่ตอนนี้โรงเต้นรำตกไปอยู่ในมือของคนอื่นเสียแล้ว ทว่าก็ยังไม่แน่นอนเสมอไป เราต้องหาให้เจอว่าใครเป็นเจ้าของคนใหม่! “เจ้าเจอเถ้าแก่คนเก
ฉู่เนี่ยนซีรินชาให้ตัวเองด้วยท่าทีเรียบเฉยและดื่มอย่างเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร ดวงตาของเถ้าแก่เคร่งขรึม จากนั้นก็มีความชื่นชมปรากฎขึ้นในดวงตา และเขาก็ฝ่ายพูดก่อนว่า “คุณหนูจะไม่ถามหรือว่าเหตุใดข้าน้อยถึงได้เรียกท่านมาที่นี่?” ฉู่เนี่ยนซีค่อย ๆ จิบชาหยดสุดท้ายในถ้วยเข้าไปในปากแล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านก็สามารถบอกความต้องการของตัวเองได้โดยที่ข้าไม่ต้องถาม แล้วเหตุใดข้าจะต้องเสียเวลาถามด้วยเล่า?” "..." “ฮ่าฮ่า...เอาล่ะ ไม่เลวเลย เช่นนั้นข้าน้อยจะไม่อ้อมค้อม” เถ้าแก่พูดพร้อมกับรินชาให้ฉู่เนี่ยนซีด้วยตัวเอง แล้วค่อย ๆ พูดออกมา “ข้าอยากจะขอให้คุณหนูรักษาอาการป่วยให้!” ฉู่เนี่ยนซีหยดชะงักขณะถือถ้วยชา มองชายตรงหน้าผ่านผ้าคลุม และขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว หรือเขาจะรู้ว่านางคือซีซานเซิงผู้เป็นเจ้าของหอการแพทย์...? แต่รูปร่างหน้าตาของนางในชุดผู้ชายคงไม่มีใครมองออกหรอก! นางสงบลง วางถ้วยชาเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ดูเหมือนท่านจะขอผิดคนแล้ว” ฉู่เนี่ยนซีมองเขาแล้วพูดอีกครั้ง “หอการแพทย์อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ หากท่านต้องการพบหมอ ที่นั่นถึงจะมีคนที่ท่านต้องการ” ท่าทางของเถ้าแก่ดูไม่รีบร้
“ไม่ว่าสิ่งที่ท่านพูดจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ตอนนี้ข้าก็ไม่สนใจแล้ว! เชิญตามสบายเถอะ!” ฉู่เนี่ยนซีกล่าวเป็นเชิงไล่ เถ้าแก่เห็นสีหน้าเย็นชาของฉู่เนี่ยนก็ดูเหมือนจะคิดอะไรออก เขาลุกขึ้นยืนทันทีและพูดว่า "ในเมื่อคุณหนูไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าน้อยพูด เช่นนั้นเราก็มาทำข้อตกลงกันเถอะ!” “ท่านกับข้าไม่มีข้อตกลงอะไรที่ต้องทำร่วมกันแล้ว หากท่านต้องการเล่นพนันกรุณาเชิญไปเล่นด้านนอก” ฉู่เนี่ยนซีผายมือไปทางประตูเพื่อเชิญให้เขาออกไป เถ้าแก่ไม่ได้มีท่าทีโกรธพลางยกมุมปากเบา ๆ “คุณหนูไม่ต้องห่วง ข้าน้อยไม่ได้ประสงค์ร้ายจริง ๆ! หากท่านช่วยรักษาคน ข้าน้อยจะจ่ายเงินให้ท่านแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีหญ้าไป๋หลิงที่ข้าน้อยจะใช้เป็นค่ามัดจำ! อีกทั้งหากท่านยินดี ข้าก็เต็มใจที่จะแจ้งข่าวทางโรงเต้นรำให้ด้วย หญ้าไป๋หลิง? ตามบันทึกโบราณ หญ้าไป๋หลิงเป็นยาอายุวัฒนะที่มีค่าอย่างยิ่ง และระดับความหายากก็ไม่น้อยไปกว่าผลทุกข์ระทมเลย เหยียนตั่วได้มอบเมล็ดพันธุ์ผลทุกข์ระทมให้กับฉู่เนี่ยนซีมาก่อนหน้านี้ แต่นางไม่รู้ว่ามันเป็นของจริงหรือไม่ แต่สิ่งที่เถ้าพูดถึงหญ้าไป๋หลิงนั้นไม่สามารถปลอมแปลงได้ หญ้าแห่งจิตวิญญาณ
“เอาล่ะ รถม้ารออยู่ด้านนอกแล้ว แต่เมื่อลงจากรถม้า คงต้องขอให้ท่านและน้องชายคนนี้ปิดตาไว้ด้วย”ฉู่เนี่ยนซีชะงักไปชั่วคราวก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น แต่นางก็ไม่สังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ เพราะที่หอการแพทย์ของนางมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนหรือที่อยู่ของตนเอง ก็จะทำแบบนี้เช่นเดียวกันอย่างไรก็ตาม นางอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าใต้เท้าเป่ยถู ผู้นี้อาศัยอยู่ที่ใด?แต่...ก็ไม่รีบร้อน เพราะแค่ผ้าผืนเดียวที่ปิดตาอยู่ไม่อาจหยุดนางไว้ได้นางมีห้วงว่างเปล่าอยู่ข้างกาย นางสามารถขยายขอบเขตการรับรู้ต่อโลกภายนอกของนางได้ไม่รู้จบหากต้องการ ตราบใดที่มีลม ต้นไม้ ใบหญ้า สายน้ำ และสิ่งมีชีวิตรอบตัว นางก็สามารถหาตำแหน่งใหม่ได้อีกครั้งผ่านการคำนวณ!ฉู่เนี่ยนซีครุ่นคิด ดวงตาของนางประกายความมีไหวพริบ แต่เสียงของนางยังคงนิ่งสงบอย่างน่าประหลาดใจ "ตกลง!"เมื่อฉู่เนี่ยนซีพูดเช่นนี้ เป่ยถูก็ยิ้มและยื่นมือออกมาเหมือนสุภาพบุรุษ "เชิญคุณหนูตามลงมาได้เลย"พวกเขาทั้งสามเดินออกจากโรงพนันหุยหุนผ่านทางประตูด้านข้าง และก้าวขึ้นไปบนรถม้าที่เตรียมไว้รถม้าขับไปโดยไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วก่อนจะค่อย ๆ หยุดลงเป่ยถูหยิ
ฉู่เนี่ยนซีเดินเข้าไปหาชายคนนั้นช้า ๆ ก่อนจะตรวจชีพจรให้เขาแล้วถามขึ้นว่า "เขามีอาการนี้มานานแค่ไหนแล้ว?"“เจ็ดวันแล้ว!”“ชีพจรของเขาคงที่ราวกับกำลังหลับอยู่ อะไรทำให้เขาเกิดอาการเช่นนี้กัน?”“ชายผู้นี้เป็นสหายของกระหม่อม ชื่อเฉินเกอ เขาออกไปทำธุรกิจเมื่อเจ็ดวันก่อน พอกลับมาคืนนั้นเขาก็ดูเจ็บปวดสาหัสและรู้สึกร้อนวูบวาบ วันรุ่งขึ้นเขาก็หลับไป มันเป็นแบบนี้มาตลอดเจ็ดวัน ตอนกลางวันนอนหลับ ตอนกลางคืนเป็นไข้!"เป่ยถูกล่าว ใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึมเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉู่เหนียนซีเห็นว่าไม่มีรอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาฉู่เนี่ยนซีครุ่นคิด และพบว่ามันแปลกเล็กน้อย ไม่มีบาดแผล แต่กลับล้มป่วยกระทันหันแถมยังมีอาการที่แปลกมากซึ่งทำให้ฉู่เนี่ยนซีอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว“อาการของเขาไม่เหมือนโรคร้าย แต่ดูเหมือนถูกพิษมากกว่า! เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นพิษชนิดใด!”“กระหม่อมก็เคยคิดว่าเป็นเพราะถูกพิษเช่นกัน แต่หากถูกพิษเหตุใดจึงไม่มีบาดแผล หรือหากสูดดมเข้าไปทางปากหรือจมูกพิษก็จะต้องออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว อีกอย่างอาการรุนแรงเช่นนี้มันไม่น่ากลัวเกินไปหน่อยหรือ! "ดวงตาของเป่ยถูเย็นชาเล็กน้อย ภายในใจรู้ส
แม้ว่าปัจจุบันหอการแพทย์จะเป็นเพียงศูนย์การแพทย์ที่รักษาโรคและจำหน่ายยา แต่เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างซีซานเซิงและเฮ่อหลานหมอมหัศจรรย์ ที่นั่นจึงได้รับการคุ้มครองโดยกองกำลังเกือบทั่วทุกทิศ และกองกำลังหลักหลายแห่งก็ได้รับการรักษามาจากหอการแพทย์อีกด้วยแม้ว่าแพทย์จะไม่ได้มีพละกำลังมากนัก แต่มีน้อยคนที่กล้ารุกรานพวกเขา เพราะใครบ้างล่ะที่จะไม่เจ็บไม่ป่วยเพียงแต่...เป่ยถูอดไม่ได้ที่จะมองดูชายที่นอนอยู่บนเตียง คิ้วของเขาขมวดแน่นขึ้นถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขา...ก็...เป่ยถูคิดก่อนจะส่ายหัวไม่หยุด เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน“คุณหนูมีวิธีรักษาหรือไม่?”ฉู่เนี่ยนซีไม่ตอบคำถามของเขา และยังคงจดจ่ออยู่กับการตรวจสอบสภาพของผู้ป่วยบนเตียงจากนั้นนางก็มองไปที่ศีรษะของเฉินเกอ ดวงตาของนางค่อย ๆ แน่วแน่นางหยิบเข็มเงินขึ้นมาแล้วสอดเข้าไปที่ขมับของเขาอย่างรวดเร็วทันใดนั้นเฉินเกอที่นอนราบอยู่บนเตียงก็ลืมตาขึ้นมา!พวกเขาทั้งสามอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีดีใจ แต่เพียงครู่เดียวเฉินเกอก็ค่อย ๆ หลับตาลงอีกครั้ง“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดจึงหลับไปอีกแล้ว?” เป่ยถูถามอย่างเป็นกังวลฉันเห็นฉู่เนี่ยนซีดึงเข็มออก แล้
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย