ตอนที่จักรพรรดิองค์ก่อนมีพระชนมายุมากกว่าห้าสิบพรรษา พระองค์มีองค์หญิงเพียงองค์เดียวนั่นก็คือเย่หลิงเอ๋อร์ เมื่อพระองค์ขึ้นสู่อำนาจทุกคนต่างก็เทิดทูนหลังจากที่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์ก็ให้ความสำคัญกับน้องสาวเพียงคนเดียวคนนี้ โดยหาทุกสิ่งมาให้ตามที่นางต้องการการได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิทั้งสองพระองค์นั้นคือการดำรงอยู่ของการได้รับความรักจากคนนับพันไทเฮาที่อยู่ด้านข้างมองการกระทำของเย่หลิงเอ๋อร์ และอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ "หลิงเอ๋อร์เจ้าไปรู้จักกับเด็กผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่เมื่อใด?"เย่หลิงเอ๋อร์มองไทเฮาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า "ความลับเพคะ นี่เป็นความลับระหว่างลูกและเสี่ยวซีเอ๋อร์ที่ไม่อาจบอกได้เพคะ"ขณะที่พูด นางก็ขยิบตาอย่างขี้เล่นให้กับฉู่เนี่ยนซีเมื่อเห็นท่าทางขี้เล่นของนาง ฉู่เนี่ยนซีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตลก และลูบหัวนางอย่างไม่รู้ตัวทุกคนรอบข้างกลั้นหายใจและมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความตกตะลึงนางช่างกล้าจริง ๆ นางปฏิบัติต่อองค์หญิงฉางเล่อราวกับพระองค์เป็นเด็กและลูบหัวนางอย่างนั้นหรือ?เย่หลิงเอ๋อร์เองก็ตกตะลึงเล็กน้อยเช่นกัน เมื่อเห็นดวงตาที่ยิ้มแย้มของฉู่เนี่
"เจ้า..." เจี่ยงจาวอวิ๋นชี้ไปที่นาง และทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าไทเฮาทันที "เสด็จย่า อวิ๋นเอ๋อร์เพียงแค่ล้อเล่น อวิ๋นเอ๋อร์ไม่อยากถูกโบยเพคะ"ไทเฮาทนไม่ได้เมื่อเห็นเจี่ยงจาวอวิ๋นร้องไห้อย่างน่าสงสาร บวกกับที่นางไม่ชอบฉู่เนี่ยนซีตั้งแต่แรก หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว นางจึงพูดขึ้นว่า "ก็แค่เรื่องล้อเล่นกันเท่านั้น ข้าว่าลืมสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ไปเถอะ”“ล้อเล่นหรือเพคะ?” ฉู่เนี่ยนซีอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “หากคนที่ถูกโบยคือหม่อมฉัน ไทเฮาจะคิดว่าเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นอยู่ไหม? แล้วจะละเว้นโทษเช่นนี้ไหมเพคะ?”คำถามของฉู่เนี่ยนซีทำให้ทุกคนสูดหายใจลึก ฉู่เนี่ยนซีเป็นคนแรกที่กล้าสบตาไทเฮาและตั้งคำถามเช่นนี้ใบหน้าของไทเฮายังมีความโกรธ และเสียงของนางก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ "นี่เจ้ากำลังกังขาถึงความยุติธรรมกับข้าอย่างนั้นหรือ?"“กังขาหรือเพคะ? ซีเอ๋อร์มิกล้า หม่อมฉันเพียงแค่สงสัยเท่านั้นเพคะ”“ได้! ได้ ในเมื่อเจ้าสงสัย งั้นข้าก็จะบอกเจ้าให้ หากคนที่ถูกโบยคือเจ้า ข้าก็จะคิดว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่นและละเว้นโทษแบบนี้เช่นกัน!” ไทเฮาจ้องนางอย่างไม่หลบสายตา โดยไม่มีทีท่าร
ฉู่เนี่ยนซีเดินไปหาจักรพรรดิและกำลังจะทำความเคารพ แต่จักรพรรดิก็ยกมือขึ้นห้ามนางไว้ "ไม่จำเป็นต้องมากพิธี รีบเข้าไปดูสนมฉิงเถิด"ฉู่เนี่ยนซีพยักหน้า และในขณะที่กำลังจะเดินเข้าไป สนมลี่และขันทีหนุ่มอีกสองนายก็มาถึง ขันทีหนุ่มคนหนึ่งกระซิบบางอย่างกับเย่เหลียน และเย่เหลียนก็มองมาที่ฉู่เนี่ยนซีด้วยดวงตามืดมน และใบหน้าที่ไม่อาจคาดเดาได้ฉู่เนี่ยนซีเพิกเฉยและเดินตรงเข้าไปด้านในห้องทันทีที่เข้ามาด้านในกลิ่นคาวเลือดก็ลอยแตะจมูก ฉู่เนี่ยนซีมองไปที่สตรีที่นอนอยู่บนเตียง เห็นว่าใบหน้าของนางซีดเผือดและหน้าผากก็เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ส่วนหมอตำแยที่อยู่ด้านข้างก็ตะโกนบอกให้นางออกแรงอย่างสุดกำลัง นางดูอ่อนแรงมากจนไม่มีแรงเหลือ ดังนั้นจึงได้แต่นอนหอบหายใจฉู่เนี่ยนซีก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อหมอตำแยกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ฉู่เนี่ยนซีก็ชิงพูดขึ้นก่อน "องค์จักรพรรดิขอให้ข้ามาช่วยสนมฉิง พวกเจ้าฟังข้าก็พอ"พูดจบ นางก็หันไปตรวจอาการของสนมฉิงก่อนจะขมวดคิ้ว จากนั้นจึงป้อนยาเม็ดสีม่วงเข้าปากของนางอย่างรวดเร็ว“สิ่งนี้จะสามารถช่วยให้ท่านฟื้นฟูกำลังได้ แม้ว่าทารกในครรภ์จะอายุเพียงแปดเดือนและยังไม่ถึ
เมื่อจักรพรรดิได้ยินดังนั้น ก็รีบคว้าจี้หยกในมือก่อนที่จะได้พูดอะไร ก็ได้ยินเสียงของฮ่องเฮาตวาดขึ้น "ผ่าคลอด? ชายาหลี เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? นั่นเป็นการลงโทษสำหรับอาชญากรนะ"ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย "ที่นี่หม่อมฉันคือหมอ และบอกวิธีที่ดีที่สุดให้กับพวกท่านเท่านั้น ส่วนการผ่าคลอดที่ทุกคนบอกว่าเป็นการลงโทษ ที่นี่เป็นเพียงขั้นตอนการรักษาเท่านั้นเพคะ! เช่นเดียวกับการฟังเข็ม และการสั่งยา มันคือหลักการเดียวกัน!”“ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร ก็ไม่มีเหตุผลที่จะผ่าคลอดพระสนม!” ฮ่องเฮาพูดอย่างชอบธรรม แต่มีอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้แวบขึ้นมาในดวงตาของนางฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองนางอย่างเย็นชาแล้วหันไปมองจักรพรรดิ “หวังว่าเสด็ตพ่อจะทรง คิดทบทวน บนเตียงนี้มีสองชีวิต คนหนึ่งคือพระสนมของท่าน ส่วนอีกคนในท้องคือองค์ชายของพระองค์ หากไม่ผ่าคลอดอาจจะเสียทั้งสองชีวิตไปเพคะ!”“องค์ชาย?” จักรพรรดิอดไม่ได้ที่จะถาม“ถูกต้องเพคะ! ชีพจรของพระสนมฉิงนั้นดูเหมือนกำลังตั้งท้ององค์ชายเพคะ”จักรพรรดิขมวดคิ้วและดูลังเล“ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากจะเชื่อใจชายาหลีเพคะ! หม่อมฉันยินดีแลกชีวิตเพื่อลูกในท้อง!”เสียงอันอ่อนแรงของพระสนม
ด้านนอก จักรพรรดิและคนอื่น ๆ กำลังรออย่างใจจดใจจ่อ โดยมองเข้าไปในห้องเป็นครั้งคราวไม่รู้ว่านานเท่าใด แต่แล้วในห้องก็มีเสียงเด็กร้องดังขึ้น "อุแว้..." ทุกคนลุกขึ้นยืนทันที จักรพรรดิหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่และเดินไปที่ประตูในห้องนั้น ฉู่เนี่ยนซีกำลังอุ้มเด็กด้วยมือทั้งสองเบา ๆ และมีรอยยิ้มอ่อนโยนที่มุมปาก“ใครก็ได้ มาพาเด็กไปทำความสะอาดที่ด้านนอกที”เมื่อจักรพรรดิได้ยินสิ่งนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา และเขาก็รีบบอกหมอตำแยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ว่า "เร็วเข้า รีบเข้าไปดู"ใบหน้าของหมอตำแยมีความตื่นเต้นเช่นกัน และนางก็รีบเข้าไปด้านในทันทีหมอหลวงที่อยู่ด้านข้างต่างก็เช็ดเหงื่อเย็นออกจากหน้าผาก และมองหน้ากันโดยไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นได้หลังจากนั้นไม่นาน หมอตำแยก็พันตัวเด็กแล้วกลับมาที่ห้องด้านนอก "ทูลจักรพรรดิทูลฮ่องเฮา เป็นองค์ชายเพคะ!"“ดี ดี รีบส่งมาให้ข้าอุ้มเร็วเข้า!” จักรพรรดิดูตื่นเต้นเมื่อฮ่องเฮาที่อยู่ข้างหลังได้ยินว่าเป็นองค์ชาย ก็มีร่องรอยความขุ่นเคืองปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง แต่มันก็ถูกปกปิดไว้อย่างรวดเร็วเย่เฟยหลีเหลือบมองเด็กในอ้อมแขนของจักรพรรดิ และมองไปรอบ ๆ ห
“นี่ น้ำ!” พูดจบ เขาก็ค่อย ๆ ประคองฉู่เนี่ยนซีขึ้น แล้วยื่นแก้วน้ำไปที่ปากของนาง ฉู่เนี่ยนซีจิบน้ำเล็กน้อย ลืมตาขึ้นช้า ๆ และเห็นสายตาที่เป็นกังวลของเย่เฟยหลี “ขอบคุณ!” เย่เฟยหลีขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงแหบห้าวของนาง “ดื่มเพิ่มอีกหน่อย” ฉู่เนี่ยนซีพยักหน้าและจิบน้ำอีกสองสามครั้ง “ข้าจะไปให้คนเตรียมอาหาร!” เย่เฟยหลีให้ฉู่เนี่ยนซีนอนลง และหลังจากสั่งให้ขันทีเตรียมอาหารเสร็จ เขาก็กลับมา “เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่!” ฉู่เนี่ยนซีส่ายหัว ค่อย ๆ เอ่ยปากออกมา “ข้าสบายดี แค่ใช้แรงมากไปก็เลยเหนื่อยนิดหน่อย พวกเราอยู่ที่พระราชวังแล้วหรือ สนมฉิงเป็นอย่างไรบ้าง?” “ทุกอย่างเรียบร้อยดี หมอหลวงได้ตรวจวินิจฉัยแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติ และเนื่องจากนางให้กำเนิดองค์ชาย จึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นพระชายา” เย่เฟยหลีลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “แต่ว่าถุงบรรจุเลือดกับท่อที่เจ้าใช้ที่เรือนของสนมฉิงวันนี้...ของพวกนั้นเจ้าไปเอามาจากที่ใด?” ฉู่เนี่ยนซีตกใจ และความง่วงที่มีก็หายเกือบครึ่ง “อะ...เอ่อ...ก่อนหน้านี้ข้าเอาเข้าไปด้วยน่ะ!” “เอาเข้าไปหรือ เจ้าเอาติดตัวเข้าไปด้วย?” เย่เฟยหลีมองพ
เมื่อทั้งคู่ทานอาหารเย็นเสร็จ ไม่นานก็หลับไปอีกครั้ง เนื่องจากฉู่เนี่ยนซียังไม่หายดีนัก เย่เฟยหลีจึงรีบกลับจวนอ๋องแต่เช้าหลังจากตื่นนอน หลังจากนั้นรางวัลจากองค์จักรพรรดิก็มาถึงจวนอ๋องหลี นอกจากเครื่องประดับ เงินทอง เครื่องหัว ผ้าและอื่น ๆ แล้ว องค์จักรพรรดิยังมอบป้ายตราสำนักหมอหลวงซึ่งทำให้นางสามารถเข้าออกจากสำนักหมอหลวงได้อย่างอิสระ แม้ว่านางจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งใดใด แต่ก็จะได้รับประโยชน์จากหมอหลวง เย่เฟยลี่ที่ลงจากรถม้าพอดีพร้อมกับอุ้มฉู่เนี่ยนซีกลับไปที่เรือน ซ่างกวานเยียนเห็นดังนั้น ก็แทบอยากจะกัดฟันของตัวเองให้แตกออกเป็นชิ้น ๆ! นางกำมือแน่น พลางมองด้วยสายตาดุร้าย “ช่วงนี้ฉู่หว่านเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?” เฟยจูที่อยู่ด้านข้างโน้มตัวไปข้างหน้า “เรียนคุณหนู หลังจากที่นางถูกท่านอ๋องเหลียนลงโทษ ก็ถูกส่งกลับไปยังจวนมหาเสนาบดีฉู่ เดิมทีนางจะถูกส่งกลับไปที่บ้านเกิด ตีฟู่ แต่ดูเหมือนว่าฮูหยินฉู่จะใจอ่อน ขอว่าให้ฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงดีก่อนค่อยส่งกลับเจ้าค่ะ!” “ฟื้นฟูร่างกาย? เกรงว่าหากนางหายดีแล้วคงจะไม่เต็มใจกลับไปน่ะสิ” ซ่างกวานเยียนใช้ความคิด สายตาของนางเหม่อมองไปยังเรือนขอ
ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมามองที่ซ่างกวานเยียน และอดไม่ได้ที่จะเย้ยหยันในใจ ‘ต้องมีอะไรบางอย่างร้ายแรงแอบแฝงอยู่แน่ ซ่างกวานเยียนคิดจะทำอะไรถึงได้มาบอกข้าโต้ง ๆ ว่าเย่เฟยหลีรักแต่นาง? อยากให้ข้าหึงรึ?’ “ที่นี่มีเราแค่สองคน เจ้าไม่จำเป็นต้องทำท่าทางอวดดีเช่นนี้ คิดจะทำอะไรก็พูดออกมาเลยดีกว่า!” ฉู่เนี่ยนซีเสียบปิ่นปักผมเข้าไปในผมมวยของตัวเองแล้วพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ “ฮ่าฮ่า...” ซ่างกวานเยียนปิดปากหัวเราะ ทำท่าทางไร้เดียงสาอีกครั้ง “พี่หญิง ท่านกำลังพูดถึงอะไร เยียนเอ๋อร์มาเชิญท่านด้วยความจริงใจ หรือว่าพระชายาเช่นท่านจะกลัวเสียแล้ว?” ฉู่เนี่ยนซีที่มองนางอย่างเรียบเฉย ก็หัวเราะขึ้น “ฮ่าฮ่า...กลัวหรือ? เจ้าหรือเปล่าที่กลัว? ในเมื่อต้องการให้ข้าไปมากนัก หากข้าไม่ทำตามคำขอก็คงจะไม่ได้” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็ลุกขึ้นและเดินนำไปยังประตู เมื่อนางไปถึงประตู นางก็หยุดและหันกลับมาทันที “จริงสิ ในเมื่อเจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นพระชายา เช่นนั้นเจ้าก็ควรรู้สิว่าสถานะปัจจุบันของตัวเองไม่เหมาะกับอาภรณ์ชุดนี้” “เปลี่ยนอาภรณ์เสียเถอะ จะได้ไม่ถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะเอา!” ฉู่เนี่ยนซีกล่าวพลางเดินพ้นจากประตูไป ซ่าง