“วันนี้จวนอ๋องหลีช่างคึกคักจริง ๆ” ทุกคนนั่งลง ฉู่เนี่ยนซีที่ไม่ชอบงานแบบนี้และกำลังจะจากไป ก็มีเสียงของผู้ชายดังมาจากด้านหลัง ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาและเห็นเย่เหลียนเดินมาหานางโดยถือพัดพับอยู่ “ดูจากผิวพรรณของเจ้า เจ้าคงฟื้นตัวดีแล้ว!” เย่เหลียนเดินไปหาฉู่เนี่ยนซี ก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วมองเข้าไปในดวงตาที่เย็นชาของนาง ฉู่เนี่ยนซีรีบถอยหลังไปสองสามก้าวและตีตัวออกห่าง “เสด็จพี่รองนี่เอง! เฟยหลีน่าจะอยู่ที่โถงรับแขกนะเพคะ” ความหมายก็คือแขกส่วนใหญ่อยู่ที่โถงรับแขกและท่านอ๋องไม่ควรพูดคุยกับสตรีที่แต่งงานแล้วอย่างหม่อมฉันที่นี่ พระองค์ควรไปหานายท่านของจวนอ๋องหลีดีกว่านะเพคะ เย่เหลียนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นและยิ้มเต็มริมฝีปาก “ขอบคุณที่แจ้งให้ทราบ! แต่ว่า...” ทันใดนั้นเขาก็เข้ามาใกล้อีกครั้งและพูดว่า “ข้าตั้งใจมาขอโทษแทนจาวอวิ๋น” “ขอโทษ? ไม่จำเป็นหรอกเพคะ! ถึงอย่างไรก็มีการลงโทษไปแล้ว และสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นก็ถูกคลี่คลายเรียบร้อยแล้วด้วย” ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองเขาด้วยสีหน้าที่ไร้ซึ่งความเกรงกลัว จู่ ๆ เย่เหลียนก็ยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของนาง “เนี่ยนซีเป็นคนนิสัยดี
ฉู่เนี่ยนซีมองไปยังท่าทางที่อ่อนแอของนางแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย มหาเสนาบดีฉู่บอกนางไว้ก่อนหน้านี้ว่าฉู่หว่านเอ๋อร์จะถูกส่งกลับจวนเดิมหลังจากที่นางหายจากอาการบาดเจ็บ เท่าที่ดูตอนนี้นางน่าจะเกือบจะหายดีแล้ว แต่ก็ยังไม่รีบเก็บข้าวของ อีกทั้งยังมีกะจิตกะใจมาที่จวนอ๋องหลีอีก เห็นทีเกรงว่าเรื่องราวคงจะไม่จบลงง่าย ๆ เป็นแน่ ฉู่เนี่ยนซีมองไปยังซ่างกวานเยียนที่อยู่ในระยะไกล และเห็นว่านางก็มองมาทางนี้เช่นกัน ซ่างกวานเยียนเห็นฉู่เนี่ยนซีมองมาที่ตัวเองก็ลุกขึ้นและเดินช้า ๆ ไปทางนั้น เมื่อนางเห็นเสื้อผ้าที่เปื้อนชาของฉู่เนี่ยนซี นางก็ทำท่าตกใจและพูดว่า “ตายแล้วพี่หญิง เหตุใดเสื้อผ้าของท่านถึงเปื้อนคราบชาคราบใหญ่ขนาดนี้ รีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเถิดเจ้าค่ะ” “พระชายา หม่อมฉันขออภัยจริง ๆ เพคะ หม่อมฉันแค่คิดถึงสิ่งที่เคยทำผิดไว้และอยากจะมาแสดงความสำนึกผิดก่อนที่จะจากไป หม่อมฉันไม่นึกว่าพระชายาจะหันมากระทันหันเช่นนี้” ท่าทางของฉู่หว่านเอ๋อร์ที่ดูอ่อนแอไร้เดียงสาและเหมือนกำลังจะร้องไห้ ทำให้ทุกคนมองมาที่นาง ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองทั้งสองคนอย่างเย็นชา ริมฝีปากของนางเอ่ยออกมาเบา ๆ “ไม่เป็นไร แค่
“รนหาที่ตายเสียแล้ว!” ก่อนที่ชายร่างใหญ่จะได้จับตัวนาง มือเรียวงามคู่หนึ่งก็บีบข้อมือของเขาไว้แน่น ทำให้เขาตกใจร้องออกมาอย่างเจ็บปวด “เจ็บ! เจ็บเจ็บ...” เขาร้องด้วยความเจ็บปวดและมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยความตกตะลึง “เหตุใดเจ้าถึงไม่เป็นอะไรล่ะ?” เนื่องจากยาปลุกกำหนัดนี้มีฤทธิ์ค่อนข้างแรง เขาจึงกินยาป้องกันไว้ล่วงหน้าทำให้ไม่เป็นอะไร แต่ฉู่เนี่ยนซีที่ไม่ได้เตรียมตัวป้องกันไว้จะไม่เป็นอะไรเลยได้อย่างไร! ฉู่เนี่ยนซียิ้มเยาะ ‘ขันนัก’ ด้วยความสามารถใหม่ของห้วงว่างเปล่า นางไม่จำเป็นต้องกินยาบรรเทาพิษ ก็สามารถต้านพิษได้ กับแค่ยาปลุกกำหนัดแค่นี้จะทำอะไรนางได้อย่างไร? เหตุผลที่เมื่อครู่นางแกล้งทำเป็นถูกหลอกเพราะจะใช้ประโยชน์จากกับดัก เพื่อให้แผนของซ่างกวานเยียนดำเนินต่อไปได้ “เจ้าดูเอาเองก็แล้วกันว่าข้าเป็นอะไรหรือไม่ แต่ตอนนี้เจ้างานเข้าแน่นอน!” ดวงตาของฉู่เนี่ยนซีเย็นชาจนชายร่างใหญ่อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น “กะ...กระหม่อมผิดไปแล้ว! กระหม่อมถูกใครบางคนติดสินบนมาเลยหลงผิดไปครู่หนึ่ง พระชายาหลีโปรดไว้ชีวิตด้วย! กระหม่อมจะไม่ทำอีกต่อไปแล้ว!” ชายร่างใหญ่ถูกฉู่เนี่ยนซีจับไว้ หากเขาเคลื่อนไหว
“เกรงว่าเสด็จพี่รองกำลังเข้าใจผิด ซีเอ๋อร์อยู่ที่นี่คนเดียวตลอดเวลาเพคะ” ฉู่เนี่ยนซียักไหล่อย่างไร้เดียงสา เย่เหลียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าแน่ใจหรือ? ข้าไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าจะใจกล้าอยู่กับบุรุษแปลกหน้าในห้องตามลำพัง! ข้าเกรงว่าหากเรื่องนี้แพร่ออกไป...คงกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวแน่” “อ้อ? จริงหรือเพคะ? ถ้าเช่นนั้นซีเอ๋อร์ก็คงต้องรีบออกไป เพราะเสด็จพี่รองก็ถือเป็นบุรุษแปลกหน้าเช่นเดียวกัน!” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็เมินเฉยต่อสีหน้าจับผิดของเย่เหลียน พลางยิ้มและเดินกำลังจะออกจากห้องไป “จริงสิ เสด็จพี่รองก็รีบออกไปจะดีกว่า หากอยู่ในห้องนี้จะอันตรายมากนะเพคะ!” ฉู่เนี่ยนซีนึกอะไรออกจึงเตือนเขาแล้วจากไป หารู้ไม่ว่าตรงมุมนั้น มีร่างร่างหนึ่งยืนกำหมัดแน่นและกำลังจ้องมองตามหลังนางไปอย่างอาฆาต หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีออกมาจากเรือนของซ่างกวานเยียน นางก็ไม่ได้กลับไปที่สวนท้ายจวน แต่นางกลับมาหาที่สงบ ๆ ขึ้นไปนอนเอนอยู่บนกิ่งไม้แล้วหลับไป ... อีกด้านหนึ่งที่สวนท้ายจวน บนเวทีนั้นคณะละครก็กำลังแสดงเพลงที่เป็นที่นิยมที่สุด ขณะทุกคนที่กำลังรับชมอย่างเพลิดเพลิน ซ่างกวานเยียนก็มองขึ้นไปที่ดวงอาทิตย์และคา
ซ่างกวานเยียนที่เผลอยิ้มอยู่ก็รีบหุบยิ้มอย่างรวดเร็ว จากนั้นสีหน้าของนางก็ถูกแทนที่ด้วยความตื่นตระหนก พลางมองไปทางเย่เฟยหลี “ทะ...ท่านอ๋อง...” เย่เฟยหลีมีสีหน้าที่ผิดปกติ ดวงตาลึกลับของเขาจ้องมองไปยังประตูที่ปิดอยู่ พลางฟังเสียงของชายและหญิงในห้อง ทุกคนมองหน้ากันอย่างคุ้นเคยและอยากจะออกไป แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็มีอยู่มากเช่นกัน “ก่อนหน้านี้พระชายาหลีไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนของชายารองซ่างกวานไม่ใช่หรือ...” “หรือว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็น...” เมื่อได้ยินดังนั้น เย่เฟยหลีก็จ้องมองผู้พูดด้วยสายตาเย็นชา ทำเอาชายคนนั้นที่พูดอยู่รู้สึกว่าลมหายใจของตัวเองติดขัด บรรดาผู้ที่อยากดูด้วยความตื่นเต้นก็พลอยสั่นกลัวไปด้วย เมื่อคิดคำนวณว่าเรื่องซุบซิบหรือชีวิตสำคัญกว่ากัน พวกเขาจึงพากันถอยออกมา เย่เฟยหลีกวาดสายตามองฝูงชนพลางพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ในเมื่อมาถึงแล้วก็ดูให้ชัดก่อนเถอะว่าใครที่อยู่ในห้อง แล้วค่อยเอามาพูด! ภรรยาของข้าไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นแน่!” พูดจบ เย่เฟยหลีก็เปิดประตู คนที่เขินอายก้มหน้าไม่กล้ามอง แต่บางคนก็ยืดคอเพื่อมองเข้าไปข้างใน สายตาของซ่างกวานเยียนฉายแว
“อ๊ะ! พี่หญิง...ท่าน...ท่านทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ?!” ซ่างกวานเยียนแสร้งทำเป็นประหลาดใจ ปิดปากและตะโกนด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ เสียงดังมากจนเกือบจะได้ยินไปทั่วทั้งเรือน ผู้คนด้านนอกที่ได้ยินก็หันไปมองเย่เฟยหลีอย่างระมัดระวัง! หรือว่าคนที่อยู่ในห้องนี้จะเป็น...พระชายาหลี? มิน่าล่ะ นางหายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งนานแล้วก็ยังไม่กลับมา! ท่านอ๋องหลีผู้นี้...ช่างน่าสงสารเหลือเกิน! ทุกคนคิดในขณะที่มองไปยังเย่เฟยหลีด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป มีตั้งแต่ความเห็นอกเห็นใจไปจนถึงความสุขที่เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ “น้องหญิงเรียกใครว่าพี่หญิงรึ?” เสียงเย็นชาดังมาจากลานหน้าเรือน ทุกคนมองไปยังประตูเรือนและเห็นฉู่เนี่ยนซีเดินมาทางนี้อย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้างงงวย “อ้าว? พระชายาหลีนี่! แล้วใคร...อยู่ข้างในนั้นล่ะ?” ผู้คนที่อยู่ในลานเรือนเริ่มอยากรู้อยากเห็น ตอนแรกที่ซ่างกวานเยียนบอกอย่างชัดเจนว่านั่นคือฉู่เนี่ยนซี แต่ตอนนี้ฉู่เนี่ยนซีกลับกำลังยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ซ่างกวานเยียนที่อยู่ตรงประตูก็มีท่าทีเหลือเชื่อเมื่อนางเห็นฉู่เนี่ยนซี ทันใดนั้นรูม่านตาของนางก็ขยายออกและมองไปที่เตียง “สามหาวนัก! เจ้
เมื่อฉู่เนี่ยนซีฟังคำพูดของพวกเขาก็ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนที่นางออกมาจากเรือนของซ่างกวานเยียน เย่เหลียนเป็นคนเดียวที่อยู่ที่นั่น กลิ่นของยาปลุกกำหนัดยังคงอยู่ในห้อง และนางก็เตือนให้เขาออกไปโดยเร็วที่สุดแล้ว หากเย่เหลียนตามออกมาหลังจากที่นางจากไป ก็คงไม่มีทางที่เขาจะถูกวางยาพิษอย่างแน่นอน และเขาที่เป็นถึงท่านอ๋องก็คงจะไม่มีวันอยู่ในห้องของซ่างกวานเยียนด้วย เว้นเสียแต่ว่า... นางมองไปยังฉู่หว่านเอ๋อร์ หากเย่เหลียนจะถูกใครสักคนรั้งไว้ เช่นนั้นก็ต้องเป็นฉู่หว่านเอ๋อร์ที่อาจอยู่ข้างนอกในเวลานั้น! ดูเหมือนว่าฉู่หว่านเอ๋อร์จะไม่ได้แสดงความตื่นตระหนกออกมา! ที่แท้นางก็ใช้วิธีนี้เพื่อให้ได้อยู่ในเมืองรัตติกาลแห่งนี้ต่อ อีกทั้งยังสามารถเข้าไปคนของจวนอ๋องเหลียนได้สำเร็จ ครานี้...ซ่างกวานเยียนตัดชุดแต่งงานให้คนอื่นนี่เอง! สายตาของฉู่เนี่ยนซีที่มองมาทำเอาฉู่หว่านเอ๋อร์เสียวสันหลัง แต่นางยังคงแสร้งทำเป็นนิ่งเฉย จากนั้นก็ทำท่าเศร้าโศกและพูดว่า “ท่านอ๋องหลี ไม่ใช่อย่างที่พระองค์คิดนะเพคะ ตอนนั้นหม่อมฉันแค่อยากจะมาดูว่าพระชายาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จหรือยัง แต่พอเข้ามาก็เจอแต่ท่านอ๋องเหลียน เลยพู
ฉู่เนี่ยนซีเริ่มร้อนรนเสียความมั่นใจ แต่หลังจากเห็นชายร่างใหญ่ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น นางก็รู้สึกมั่นใจอีกครั้ง “จากสิ่งที่พี่หญิงพูดมา เยียนเอ๋อร์ไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน และเขาก็ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนด้วย วันนี้ที่พี่หญิงไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วจู่ ๆ ชายคนนี้ก็ปรากฏตัวขึ้น ย่อมต้องเป็นพี่หญิงที่รู้เรื่องทั้งหมดสิเจ้าคะ” ทันใดนั้นฉู่เนี่ยนซีก็ยิ้มและมองนางอย่างเย็นชา “นี่เจ้าหมายความว่ายังไงกัน? เจ้ากำลังบอกว่าพระชายาเช่นข้าลักพาตัวใครมา หรือว่าข้าวางยาท่านอ๋องเหลียน หรือจะบอกว่า...ข้าพาคนมาทำให้สาวใช้ของเจ้ามีมลทิน?” ยิ่งฉู่เนี่ยนซีพูด ดวงตาของนางก็ยิ่งเย็นชามากขึ้น รัศมีความกดดันที่แผ่ออกมาจากทั่วทั้งร่าง พลอยทำให้ผู้คนรอบข้างหายใจไม่ออก นางพยายามอย่างมากเพื่อทำให้จิตใจอันไม่มั่นคงสงบลงและพูดเย้ยหยัน “ก็พี่หญิงพูดเองนี่เจ้าคะ สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนผิดปกติ คนที่ควรจะอยู่ที่นี่กลับไม่อยู่ ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้พี่หญิงทำอะไรอยู่?” “ข้าไม่ชอบความวุ่นวายมาแต่ไหนแต่ไร หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ข้าก็ไปหาสถานที่เงียบสงบเพื่อพักผ่อน” ฉู่เนี่ยนซีพูดอย่างนิ่งเฉย “ทำไมล่ะ จากที่ฟังน้องหญิง