“อ๊ะ! พี่หญิง...ท่าน...ท่านทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ?!” ซ่างกวานเยียนแสร้งทำเป็นประหลาดใจ ปิดปากและตะโกนด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ เสียงดังมากจนเกือบจะได้ยินไปทั่วทั้งเรือน ผู้คนด้านนอกที่ได้ยินก็หันไปมองเย่เฟยหลีอย่างระมัดระวัง! หรือว่าคนที่อยู่ในห้องนี้จะเป็น...พระชายาหลี? มิน่าล่ะ นางหายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งนานแล้วก็ยังไม่กลับมา! ท่านอ๋องหลีผู้นี้...ช่างน่าสงสารเหลือเกิน! ทุกคนคิดในขณะที่มองไปยังเย่เฟยหลีด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป มีตั้งแต่ความเห็นอกเห็นใจไปจนถึงความสุขที่เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ “น้องหญิงเรียกใครว่าพี่หญิงรึ?” เสียงเย็นชาดังมาจากลานหน้าเรือน ทุกคนมองไปยังประตูเรือนและเห็นฉู่เนี่ยนซีเดินมาทางนี้อย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้างงงวย “อ้าว? พระชายาหลีนี่! แล้วใคร...อยู่ข้างในนั้นล่ะ?” ผู้คนที่อยู่ในลานเรือนเริ่มอยากรู้อยากเห็น ตอนแรกที่ซ่างกวานเยียนบอกอย่างชัดเจนว่านั่นคือฉู่เนี่ยนซี แต่ตอนนี้ฉู่เนี่ยนซีกลับกำลังยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ซ่างกวานเยียนที่อยู่ตรงประตูก็มีท่าทีเหลือเชื่อเมื่อนางเห็นฉู่เนี่ยนซี ทันใดนั้นรูม่านตาของนางก็ขยายออกและมองไปที่เตียง “สามหาวนัก! เจ้
เมื่อฉู่เนี่ยนซีฟังคำพูดของพวกเขาก็ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนที่นางออกมาจากเรือนของซ่างกวานเยียน เย่เหลียนเป็นคนเดียวที่อยู่ที่นั่น กลิ่นของยาปลุกกำหนัดยังคงอยู่ในห้อง และนางก็เตือนให้เขาออกไปโดยเร็วที่สุดแล้ว หากเย่เหลียนตามออกมาหลังจากที่นางจากไป ก็คงไม่มีทางที่เขาจะถูกวางยาพิษอย่างแน่นอน และเขาที่เป็นถึงท่านอ๋องก็คงจะไม่มีวันอยู่ในห้องของซ่างกวานเยียนด้วย เว้นเสียแต่ว่า... นางมองไปยังฉู่หว่านเอ๋อร์ หากเย่เหลียนจะถูกใครสักคนรั้งไว้ เช่นนั้นก็ต้องเป็นฉู่หว่านเอ๋อร์ที่อาจอยู่ข้างนอกในเวลานั้น! ดูเหมือนว่าฉู่หว่านเอ๋อร์จะไม่ได้แสดงความตื่นตระหนกออกมา! ที่แท้นางก็ใช้วิธีนี้เพื่อให้ได้อยู่ในเมืองรัตติกาลแห่งนี้ต่อ อีกทั้งยังสามารถเข้าไปคนของจวนอ๋องเหลียนได้สำเร็จ ครานี้...ซ่างกวานเยียนตัดชุดแต่งงานให้คนอื่นนี่เอง! สายตาของฉู่เนี่ยนซีที่มองมาทำเอาฉู่หว่านเอ๋อร์เสียวสันหลัง แต่นางยังคงแสร้งทำเป็นนิ่งเฉย จากนั้นก็ทำท่าเศร้าโศกและพูดว่า “ท่านอ๋องหลี ไม่ใช่อย่างที่พระองค์คิดนะเพคะ ตอนนั้นหม่อมฉันแค่อยากจะมาดูว่าพระชายาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จหรือยัง แต่พอเข้ามาก็เจอแต่ท่านอ๋องเหลียน เลยพู
ฉู่เนี่ยนซีเริ่มร้อนรนเสียความมั่นใจ แต่หลังจากเห็นชายร่างใหญ่ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น นางก็รู้สึกมั่นใจอีกครั้ง “จากสิ่งที่พี่หญิงพูดมา เยียนเอ๋อร์ไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน และเขาก็ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนด้วย วันนี้ที่พี่หญิงไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วจู่ ๆ ชายคนนี้ก็ปรากฏตัวขึ้น ย่อมต้องเป็นพี่หญิงที่รู้เรื่องทั้งหมดสิเจ้าคะ” ทันใดนั้นฉู่เนี่ยนซีก็ยิ้มและมองนางอย่างเย็นชา “นี่เจ้าหมายความว่ายังไงกัน? เจ้ากำลังบอกว่าพระชายาเช่นข้าลักพาตัวใครมา หรือว่าข้าวางยาท่านอ๋องเหลียน หรือจะบอกว่า...ข้าพาคนมาทำให้สาวใช้ของเจ้ามีมลทิน?” ยิ่งฉู่เนี่ยนซีพูด ดวงตาของนางก็ยิ่งเย็นชามากขึ้น รัศมีความกดดันที่แผ่ออกมาจากทั่วทั้งร่าง พลอยทำให้ผู้คนรอบข้างหายใจไม่ออก นางพยายามอย่างมากเพื่อทำให้จิตใจอันไม่มั่นคงสงบลงและพูดเย้ยหยัน “ก็พี่หญิงพูดเองนี่เจ้าคะ สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนผิดปกติ คนที่ควรจะอยู่ที่นี่กลับไม่อยู่ ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้พี่หญิงทำอะไรอยู่?” “ข้าไม่ชอบความวุ่นวายมาแต่ไหนแต่ไร หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ข้าก็ไปหาสถานที่เงียบสงบเพื่อพักผ่อน” ฉู่เนี่ยนซีพูดอย่างนิ่งเฉย “ทำไมล่ะ จากที่ฟังน้องหญิง
เย่เหลียนดึงฉู่หว่านเอ๋อร์เข้ามาในอ้อมแขนของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่ฉู่หว่านเอ๋อร์ได้สัมผัสถึงความอบอุ่นจากอ้อมอกของเขาอย่างชัดเจน ซึ่งทำให้นางมุ่งมั่นมากขึ้นในการทำเช่นนี้ต่อไป “ท่านอ๋องเหลียน ได้โปรดปล่อยหว่านเอ๋อร์ไปเถิดเพคะ! ขอแค่หม่อมฉันตาย ทุกอย่างก็จะคลี่คลาย!” ตาที่แดงและบวมของฉู่หว่านเอ๋อร์มองไปยังเย่เหลียน นั่นทำให้เขารู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย อีกทั้งในวันนี้ก็มีคนมากมายที่เห็นเหตุการณ์ หากฉู่หว่านเอ๋อร์ตายเกรงว่าหายนะจะพากันมาเกิดขึ้นกับเขาคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ บางทีเรื่องนี้อาจไม่เกี่ยวข้องกับนาง เกรงว่าซ่างกวานเยียนคงจะใช้กลอุบายชั่วร้ายเพื่อจัดการฉู่เนี่ยนซี! ‘ซ่างกวานเยียน นังคนโง่!’ “เอาล่ะ ในเมื่อเรื่องก็เกิดขึ้นไปแล้ว หากเจ้าตาย เกรงว่าจะมีคนกล่าวหาว่าข้าเป็นผู้ชายที่รังแกผู้หญิง วางใจเถอะ เดี๋ยวข้าจะไปเลือกวันที่จะรับเจ้าเข้าจวน!” หลังจากที่เย่เหลียนพูดจบ เขาก็ปล่อยฉู่หว่านเอ๋อร์ไป ด้วยคำพูดของเย่เหลียน ฉู่หว่านเอ๋อร์จึงหยุดสร้างปัญหา ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่านางร้องไห้เยอะหรือเหนื่อยมากเกินจึงเป็นลมล้มพับไปเสียก่อน ฉู่เนี่ยนซีเหลือบ
เมื่อนายบ่าวเห็นดังนั้น สีหน้าของพวกนางก็ฉายแววภูมิใจ และขณะที่พวกเขากำลังจะพูดต่อ ก็ได้ยินเสียงเย็นชาของเย่เฟยหลีพูดขึ้นมา “ข้าไม่อาจเอาใจสนมแล้วละเลยพระชายาของตัวเองได้หรอก!” กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อ๋องผู้นี้ไม่เคยรักซ่างกวานเยียน! คำพูดเหล่านี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง แต่ดูเหมือนคนต้นเรื่องจะยังไม่รู้ตัวและยังคงมองฉู่เนี่ยนซีต่อไป ทุกสายตาจับจ้องไปที่นาง หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีประหลาดใจ ความอบอุ่นก็แทรกซึมเข้ามาในใจของนาง จากนั้นนางก็มองเฟยจูอย่างเย็นชาด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า ริมฝีปากของนางก็เอ่ยออกมาเล็กน้อย “อย่างไรเล่า คงได้ยินแล้วสินะ เจ้าคิดว่าพระชายาเช่นข้าต้องอิจฉาซ่างกวานเยียนอีกหรือ?” “ท่าน...ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พระชายาก็คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเคยพบกับผู้ชายคนนี้ที่ห้องโถงใหญ่มาก่อนหรอกเพคะ!” ดวงตาของเฟยจูแดงก่ำพลางมองนางด้วยความโกรธ ฉู่เนี่ยนซียิ้มอีกครั้งและพูดเบา ๆ “เจ้าก็รู้ใช่หรือไม่ว่าข้าคือพระชายา? เช่นนั้น ข้าจึงเป็นผู้ดูแลจวนแห่งนี้ หากต้องการสัญญาทาสก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย ในเมื่อได้สัญญาทาสมาอยู่ในมือแล้ว เหตุใดข้าต้องเปลืองเงินเปลืองแรงหาคนมาทำให้เจ้ามีมลทินด้วยเล่า
“พี่หญิงเข้าใจผิดแล้ว! เยียนเอ๋อร์แค่คิดว่าไม่จำเป็นต้องฟังคำตลบแตลงของคนประเภทนี้ที่เข้ามาในจวนเพื่อทำเรื่องเช่นนี้” ซ่างกวานเยียนกำนิ้วมือแน่นใต้แขนเสื้อ แต่นางกลับมีสีหน้าสงบ ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองนางด้วยสีหน้ารังเกียจ "สาวใช้ของเจ้ากล่าวหาข้าด้วยความเท็จ และข้าก็เป็นคนยุติธรรมและเข้มงวดมาก อีกทั้งท่านอ๋องเหลียนก็อยู่ที่นี่ด้วย โดยปกติแล้วก็ต้องพิสูจน์ให้มั่นใจก่อน แต่หากเจ้าฆ่าเขาไป เช่นนั้นข้าก็จะถูกตัดสินไปในทางไม่ดีแล้วน่ะสิ!” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็มองไปที่ชายร่างใหญ่อีกครั้ง “เจ้า พูดต่อ!” “ปะ...เป็นนางพ่ะย่ะค่ะ!” ชายร่างใหญ่ตัวสั่นเทาชี้ไปที่เฟยจูแล้วพูดว่า “เป็นฝีมือของนางพ่ะย่ะค่ะ เรารู้จักกันมานานแล้ว นางบอกว่าวันนี้มีงานเลี้ยงที่จวน และน่าจะวุ่นวายมาก คงไม่มีใครสนใจเราสองคน…ฉะนั้นอยากจะทำอะไรก็…” ชายร่างใหญ่ไม่ได้พูดออกมาหมด แต่ทุกคนก็เข้าใจความหมาย ก็เป็นแค่การที่คนสองคนแอบมามีสัมพันธ์กันโดยไม่มีใครสนใจเท่านั้นเอง เฟยจูมองเขาอย่างเหลื่อเชื่อและโมโหขึ้นมา “เจ้าพูดไร้สาระ ข้าเรียกเจ้ามาตอนไหน?...เช่นนี้นี่เอง! อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว นางคงติดสินบนเจ้าสินะ!” “เฟยจู!” ซ่างกว
“ดี หลังจากวันนี้เจ้าก็ออกไปอยู่กับเขาเถอะ” ฉู่เนี่ยนซียืดตัวตรง แล้วพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แต่ถึงอย่างไร เฟยจูก็ถูกจับได้ว่ากำลังพลอดรักกับผู้ชายในระหว่างงานเลี้ยง และทำให้พระชายาเดือดร้อน ข้าจะสั่งเฆี่ยนเจ้าสามสิบครั้งเพื่อเตือนไม่ให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง!” “ชายารองซ่างกวาน เพื่อเป็นการสั่งสอน เจ้าถูกลงโทษโดยการกักบริเวณให้สำนึกผิดอยู่ในเรือน และห้ามออกไปข้างนอกเว้นเสียแต่จะได้รับอนุญาต” ฉู่เนี่ยนซีพูดพลางมองไปที่เย่เฟยหลี “ท่านอ๋องทรงคิดเห็นอย่างไรเพคะ?” “ดีมาก!” เย่เฟยหลีพูดเบา ๆ มองฉู่เนี่ยนซีด้วยดวงตาที่เต็มไปประกายวาว! เช่นนั้น เฟยจูที่กำลังคร่ำครวญก็ถูกพาตัวไป ซ่างกวานเยียนมองฉู่เนี่ยนซีด้วยสีหน้าขรึม ใจคิดอยากจะสาดคำพูดที่เลวร้ายที่สุดในโลกใส่นาง ฉู่เนี่ยนซีที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดก็กำลังมองเย่เหลียนที่ดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ เย่เฟยหลีสังเกตเห็นท่าทางของนางแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงมองเย่เหลียนด้วยสายตาเย็นชา “ข้าคิดว่าที่นี่คงไม่มีอะไรให้ท่านทำแล้ว ท่านกลับไปหารือเรื่องของฉู่หว่านเอ๋อร์กับพี่สะใภ้รองจะดีหรือไม่?” เมื่อได้ยินดังนั้น เขาก็มีสีหน้าที
ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองเย่ฉงเฉิง คิ้วของนางเลิกขึ้นเล็กน้อย “ท่านอ๋องเฉิงหลงตัวเองเช่นนี้ไม่ดีเลยนะเพคะ คนที่เขาหัวเราะนี่ล้วนหมายความว่ากำลังหัวเราะเยาะพระองค์หรือเพคะ? หม่อมฉันว่าท่านอ๋องใส่ใจความคิดของผู้อื่นมากเกินไปหน่อยนะเพคะ!” “เจ้า...ปากคอเราะร้ายนัก ข้าคงเถียงสู้เจ้าไม่ได้หรอก!” เย่ฉงเฉิงมองไปทางอื่นด้วยความโกรธ และบังเอิญเห็นใบหน้าที่ไร้เลือดและซีดเซียวของซ่างกวานเยียน เขาก็ตกใจขึ้นมา “ชายารองซ่างกวานเป็นอะไรไป! เหตุใดถึงหน้าซีดเช่นนี้?” เมื่อซ่างกวานเยียนได้ยินคำถามของเย่ฉงเฉิง ก็มีประกายแสงวาบผ่านดวงตาของนางเร็วเกินกว่าที่ใครจะจับได้ จากนั้นนางก็มองไปยังฉู่เนี่ยนซีด้วยท่าทีที่ระมัดระวังมากขึ้น ราวกับว่านางได้รับความคับข้องใจอย่างมาก แต่กลับไม่กล้าพูดอะไร เห็นดังนั้น เย่ฉงเฉิงก็เข้าใจทันทีว่าซ่างกวานเยียนต้องการจะสื่ออะไร และมองไปที่ฉู่เนี่ยนซีด้วยความโกรธ “นี่เป็นเพราะสตรีชั่วร้ายเช่นเจ้าอีกแล้วรึ เจ้ารังแกคนที่อ่อนแออยู่ตลอด หากเจ้ามีความสามารถนักก็มารังแกข้าสิ!” ฉู่เนี่ยนซีมองเย่ฉงเฉิงผู้ชอบธรรมด้วยสีหน้าเย็นชา และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหัว ดวงตาของนางเต็มไปด้วยควา
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย