ฉู่เนี่ยนซีเริ่มร้อนรนเสียความมั่นใจ แต่หลังจากเห็นชายร่างใหญ่ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น นางก็รู้สึกมั่นใจอีกครั้ง “จากสิ่งที่พี่หญิงพูดมา เยียนเอ๋อร์ไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน และเขาก็ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนด้วย วันนี้ที่พี่หญิงไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วจู่ ๆ ชายคนนี้ก็ปรากฏตัวขึ้น ย่อมต้องเป็นพี่หญิงที่รู้เรื่องทั้งหมดสิเจ้าคะ” ทันใดนั้นฉู่เนี่ยนซีก็ยิ้มและมองนางอย่างเย็นชา “นี่เจ้าหมายความว่ายังไงกัน? เจ้ากำลังบอกว่าพระชายาเช่นข้าลักพาตัวใครมา หรือว่าข้าวางยาท่านอ๋องเหลียน หรือจะบอกว่า...ข้าพาคนมาทำให้สาวใช้ของเจ้ามีมลทิน?” ยิ่งฉู่เนี่ยนซีพูด ดวงตาของนางก็ยิ่งเย็นชามากขึ้น รัศมีความกดดันที่แผ่ออกมาจากทั่วทั้งร่าง พลอยทำให้ผู้คนรอบข้างหายใจไม่ออก นางพยายามอย่างมากเพื่อทำให้จิตใจอันไม่มั่นคงสงบลงและพูดเย้ยหยัน “ก็พี่หญิงพูดเองนี่เจ้าคะ สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนผิดปกติ คนที่ควรจะอยู่ที่นี่กลับไม่อยู่ ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้พี่หญิงทำอะไรอยู่?” “ข้าไม่ชอบความวุ่นวายมาแต่ไหนแต่ไร หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ข้าก็ไปหาสถานที่เงียบสงบเพื่อพักผ่อน” ฉู่เนี่ยนซีพูดอย่างนิ่งเฉย “ทำไมล่ะ จากที่ฟังน้องหญิง
เย่เหลียนดึงฉู่หว่านเอ๋อร์เข้ามาในอ้อมแขนของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่ฉู่หว่านเอ๋อร์ได้สัมผัสถึงความอบอุ่นจากอ้อมอกของเขาอย่างชัดเจน ซึ่งทำให้นางมุ่งมั่นมากขึ้นในการทำเช่นนี้ต่อไป “ท่านอ๋องเหลียน ได้โปรดปล่อยหว่านเอ๋อร์ไปเถิดเพคะ! ขอแค่หม่อมฉันตาย ทุกอย่างก็จะคลี่คลาย!” ตาที่แดงและบวมของฉู่หว่านเอ๋อร์มองไปยังเย่เหลียน นั่นทำให้เขารู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย อีกทั้งในวันนี้ก็มีคนมากมายที่เห็นเหตุการณ์ หากฉู่หว่านเอ๋อร์ตายเกรงว่าหายนะจะพากันมาเกิดขึ้นกับเขาคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ บางทีเรื่องนี้อาจไม่เกี่ยวข้องกับนาง เกรงว่าซ่างกวานเยียนคงจะใช้กลอุบายชั่วร้ายเพื่อจัดการฉู่เนี่ยนซี! ‘ซ่างกวานเยียน นังคนโง่!’ “เอาล่ะ ในเมื่อเรื่องก็เกิดขึ้นไปแล้ว หากเจ้าตาย เกรงว่าจะมีคนกล่าวหาว่าข้าเป็นผู้ชายที่รังแกผู้หญิง วางใจเถอะ เดี๋ยวข้าจะไปเลือกวันที่จะรับเจ้าเข้าจวน!” หลังจากที่เย่เหลียนพูดจบ เขาก็ปล่อยฉู่หว่านเอ๋อร์ไป ด้วยคำพูดของเย่เหลียน ฉู่หว่านเอ๋อร์จึงหยุดสร้างปัญหา ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่านางร้องไห้เยอะหรือเหนื่อยมากเกินจึงเป็นลมล้มพับไปเสียก่อน ฉู่เนี่ยนซีเหลือบ
เมื่อนายบ่าวเห็นดังนั้น สีหน้าของพวกนางก็ฉายแววภูมิใจ และขณะที่พวกเขากำลังจะพูดต่อ ก็ได้ยินเสียงเย็นชาของเย่เฟยหลีพูดขึ้นมา “ข้าไม่อาจเอาใจสนมแล้วละเลยพระชายาของตัวเองได้หรอก!” กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อ๋องผู้นี้ไม่เคยรักซ่างกวานเยียน! คำพูดเหล่านี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง แต่ดูเหมือนคนต้นเรื่องจะยังไม่รู้ตัวและยังคงมองฉู่เนี่ยนซีต่อไป ทุกสายตาจับจ้องไปที่นาง หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีประหลาดใจ ความอบอุ่นก็แทรกซึมเข้ามาในใจของนาง จากนั้นนางก็มองเฟยจูอย่างเย็นชาด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า ริมฝีปากของนางก็เอ่ยออกมาเล็กน้อย “อย่างไรเล่า คงได้ยินแล้วสินะ เจ้าคิดว่าพระชายาเช่นข้าต้องอิจฉาซ่างกวานเยียนอีกหรือ?” “ท่าน...ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พระชายาก็คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเคยพบกับผู้ชายคนนี้ที่ห้องโถงใหญ่มาก่อนหรอกเพคะ!” ดวงตาของเฟยจูแดงก่ำพลางมองนางด้วยความโกรธ ฉู่เนี่ยนซียิ้มอีกครั้งและพูดเบา ๆ “เจ้าก็รู้ใช่หรือไม่ว่าข้าคือพระชายา? เช่นนั้น ข้าจึงเป็นผู้ดูแลจวนแห่งนี้ หากต้องการสัญญาทาสก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย ในเมื่อได้สัญญาทาสมาอยู่ในมือแล้ว เหตุใดข้าต้องเปลืองเงินเปลืองแรงหาคนมาทำให้เจ้ามีมลทินด้วยเล่า
“พี่หญิงเข้าใจผิดแล้ว! เยียนเอ๋อร์แค่คิดว่าไม่จำเป็นต้องฟังคำตลบแตลงของคนประเภทนี้ที่เข้ามาในจวนเพื่อทำเรื่องเช่นนี้” ซ่างกวานเยียนกำนิ้วมือแน่นใต้แขนเสื้อ แต่นางกลับมีสีหน้าสงบ ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองนางด้วยสีหน้ารังเกียจ "สาวใช้ของเจ้ากล่าวหาข้าด้วยความเท็จ และข้าก็เป็นคนยุติธรรมและเข้มงวดมาก อีกทั้งท่านอ๋องเหลียนก็อยู่ที่นี่ด้วย โดยปกติแล้วก็ต้องพิสูจน์ให้มั่นใจก่อน แต่หากเจ้าฆ่าเขาไป เช่นนั้นข้าก็จะถูกตัดสินไปในทางไม่ดีแล้วน่ะสิ!” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็มองไปที่ชายร่างใหญ่อีกครั้ง “เจ้า พูดต่อ!” “ปะ...เป็นนางพ่ะย่ะค่ะ!” ชายร่างใหญ่ตัวสั่นเทาชี้ไปที่เฟยจูแล้วพูดว่า “เป็นฝีมือของนางพ่ะย่ะค่ะ เรารู้จักกันมานานแล้ว นางบอกว่าวันนี้มีงานเลี้ยงที่จวน และน่าจะวุ่นวายมาก คงไม่มีใครสนใจเราสองคน…ฉะนั้นอยากจะทำอะไรก็…” ชายร่างใหญ่ไม่ได้พูดออกมาหมด แต่ทุกคนก็เข้าใจความหมาย ก็เป็นแค่การที่คนสองคนแอบมามีสัมพันธ์กันโดยไม่มีใครสนใจเท่านั้นเอง เฟยจูมองเขาอย่างเหลื่อเชื่อและโมโหขึ้นมา “เจ้าพูดไร้สาระ ข้าเรียกเจ้ามาตอนไหน?...เช่นนี้นี่เอง! อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว นางคงติดสินบนเจ้าสินะ!” “เฟยจู!” ซ่างกว
“ดี หลังจากวันนี้เจ้าก็ออกไปอยู่กับเขาเถอะ” ฉู่เนี่ยนซียืดตัวตรง แล้วพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แต่ถึงอย่างไร เฟยจูก็ถูกจับได้ว่ากำลังพลอดรักกับผู้ชายในระหว่างงานเลี้ยง และทำให้พระชายาเดือดร้อน ข้าจะสั่งเฆี่ยนเจ้าสามสิบครั้งเพื่อเตือนไม่ให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง!” “ชายารองซ่างกวาน เพื่อเป็นการสั่งสอน เจ้าถูกลงโทษโดยการกักบริเวณให้สำนึกผิดอยู่ในเรือน และห้ามออกไปข้างนอกเว้นเสียแต่จะได้รับอนุญาต” ฉู่เนี่ยนซีพูดพลางมองไปที่เย่เฟยหลี “ท่านอ๋องทรงคิดเห็นอย่างไรเพคะ?” “ดีมาก!” เย่เฟยหลีพูดเบา ๆ มองฉู่เนี่ยนซีด้วยดวงตาที่เต็มไปประกายวาว! เช่นนั้น เฟยจูที่กำลังคร่ำครวญก็ถูกพาตัวไป ซ่างกวานเยียนมองฉู่เนี่ยนซีด้วยสีหน้าขรึม ใจคิดอยากจะสาดคำพูดที่เลวร้ายที่สุดในโลกใส่นาง ฉู่เนี่ยนซีที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดก็กำลังมองเย่เหลียนที่ดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ เย่เฟยหลีสังเกตเห็นท่าทางของนางแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงมองเย่เหลียนด้วยสายตาเย็นชา “ข้าคิดว่าที่นี่คงไม่มีอะไรให้ท่านทำแล้ว ท่านกลับไปหารือเรื่องของฉู่หว่านเอ๋อร์กับพี่สะใภ้รองจะดีหรือไม่?” เมื่อได้ยินดังนั้น เขาก็มีสีหน้าที
ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองเย่ฉงเฉิง คิ้วของนางเลิกขึ้นเล็กน้อย “ท่านอ๋องเฉิงหลงตัวเองเช่นนี้ไม่ดีเลยนะเพคะ คนที่เขาหัวเราะนี่ล้วนหมายความว่ากำลังหัวเราะเยาะพระองค์หรือเพคะ? หม่อมฉันว่าท่านอ๋องใส่ใจความคิดของผู้อื่นมากเกินไปหน่อยนะเพคะ!” “เจ้า...ปากคอเราะร้ายนัก ข้าคงเถียงสู้เจ้าไม่ได้หรอก!” เย่ฉงเฉิงมองไปทางอื่นด้วยความโกรธ และบังเอิญเห็นใบหน้าที่ไร้เลือดและซีดเซียวของซ่างกวานเยียน เขาก็ตกใจขึ้นมา “ชายารองซ่างกวานเป็นอะไรไป! เหตุใดถึงหน้าซีดเช่นนี้?” เมื่อซ่างกวานเยียนได้ยินคำถามของเย่ฉงเฉิง ก็มีประกายแสงวาบผ่านดวงตาของนางเร็วเกินกว่าที่ใครจะจับได้ จากนั้นนางก็มองไปยังฉู่เนี่ยนซีด้วยท่าทีที่ระมัดระวังมากขึ้น ราวกับว่านางได้รับความคับข้องใจอย่างมาก แต่กลับไม่กล้าพูดอะไร เห็นดังนั้น เย่ฉงเฉิงก็เข้าใจทันทีว่าซ่างกวานเยียนต้องการจะสื่ออะไร และมองไปที่ฉู่เนี่ยนซีด้วยความโกรธ “นี่เป็นเพราะสตรีชั่วร้ายเช่นเจ้าอีกแล้วรึ เจ้ารังแกคนที่อ่อนแออยู่ตลอด หากเจ้ามีความสามารถนักก็มารังแกข้าสิ!” ฉู่เนี่ยนซีมองเย่ฉงเฉิงผู้ชอบธรรมด้วยสีหน้าเย็นชา และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหัว ดวงตาของนางเต็มไปด้วยควา
“จริงสิพี่สาม ท่านว่าอย่างไรหากข้าจะไปหางานทำที่หอการแพทย์? ไม่แน่ว่าข้าอาจจะได้เป็นศิษย์ของเขา ทั้งยังได้รับการรักษาจากท่านหมอเทวดาด้วย!” “พี่สาม...ท่านฟังข้าอยู่หรือเปล่า?” เย่เฟยหลีหยุดชะงักและมองไปยังฉู่เนี่ยนซี ฉู่เนี่ยนซีตกใจ พูดถึงหมอเทวดาซานเซิงกันอยู่นี่ แล้วเหตุใดเขาถึงมองนางเช่นนี้? หรือนางจะถูกจับได้แล้วว่าตัวเองคือซีซานเซิง... นางเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเขาพูดเนิบ ๆ ว่า “เขียนเทียบยาให้เขาหน่อย เสียงดังเอะอะมากเลย!” เมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยินดังนั้น นางก็ตะลึงและหัวเราะออกมา นี่คือพี่ชายแท้ ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ถึงได้มีท่าทีรำคาญและขอให้นางทำให้เขาพูดไม่ได้! จู่ ๆ สีหน้าของเย่ฉงเฉิงก็หม่นลง “พี่สาม ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ข้าเป็นน้องชายแท้ ๆ ของท่านนะ!” “ตอนนี้ข้าก็ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้ว!” เย่เฟยหลีพูดและเดินต่อไป ฉู่เนี่ยนซีถึงกับหัวเราะออกมา นี่เย่เฟยหลีกำลังเล่นมุกหรือ? แต่ถึงอย่างไรบุคลิกของคนสองคนนี้ก็ง่ายต่อการเข้าใจผิด! “ฮ่าฮ่าฮ่า! ท่านอ๋องภูมิใจในตัวเองเถอะ!” เมื่อเห็นว่าเย่เฟยหลีไม่สนใจเขา เย่ฉงเฉิงก็มองไปยังฉู่เนี่ยนซีที่กำลังยิ้ม
ทันทีที่ฉู่เนี่ยนซีกลับมาถึงเรือน อวี๋เป่ยก็ปรากฏตัวต่อหน้านาง “นายหญิง!” อวี๋เป่ยทำมือคำนับด้วยความเคารพ ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองเขา “ตอนนี้เจ้าควรอยู่ที่โรงพนันหุยหุนสิ!” “กระหม่อมมาที่นี่เพื่อแจ้งนายหญิงว่ากระหม่อมได้พบกับเจ้าของโรงพนันหุยหุนคนก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ฉู่เนี่ยนซีที่ได้ยินก็ดีใจ พลางถามต่อ “อ้อ เป็นอย่างไรบ้าง? เขายินดีที่จะขายโรงเต้นรำหรือไม่?” อวี๋เป่ยส่ายหน้า สีหน้าของเขาอึดอัดเล็กน้อย “เขาบอกว่าโรงเต้นรำถูกขายให้กับคนอื่นไปแล้ว! เรามาช้าไปพ่ะย่ะค่ะ!” “ขายให้ใคร?” “ยังหาไม่พบพ่ะย่ะค่ะ!” ฉู่เนี่ยนซีขมวดคิ้ว โรงเต้นรำเชื่อมต่อกับโรงพนันหุยหุนและทางเข้าทางหนึ่งก็ถูกสร้างขึ้นในโรงเต้นรำ แม้ว่าทางเข้าอื่นจะเปิดมานานแล้ว แต่ทางเข้าของโรงเต้นรำก็ยังคงไม่ถูกละทิ้ง เนื่องจากเจ้าของเดิมของโรงเต้นรำและโรงพนันหุยหุนเป็นคนคนเดียวกัน ทางเข้าจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเขา ดังนั้นนางจึงไม่รีบร้อนที่จะซื้อโรงเต้นรำเพื่อการหมุนเวียนเงินทุน แต่ตอนนี้โรงเต้นรำตกไปอยู่ในมือของคนอื่นเสียแล้ว ทว่าก็ยังไม่แน่นอนเสมอไป เราต้องหาให้เจอว่าใครเป็นเจ้าของคนใหม่! “เจ้าเจอเถ้าแก่คนเก