เมื่อนายบ่าวเห็นดังนั้น สีหน้าของพวกนางก็ฉายแววภูมิใจ และขณะที่พวกเขากำลังจะพูดต่อ ก็ได้ยินเสียงเย็นชาของเย่เฟยหลีพูดขึ้นมา “ข้าไม่อาจเอาใจสนมแล้วละเลยพระชายาของตัวเองได้หรอก!” กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อ๋องผู้นี้ไม่เคยรักซ่างกวานเยียน! คำพูดเหล่านี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง แต่ดูเหมือนคนต้นเรื่องจะยังไม่รู้ตัวและยังคงมองฉู่เนี่ยนซีต่อไป ทุกสายตาจับจ้องไปที่นาง หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีประหลาดใจ ความอบอุ่นก็แทรกซึมเข้ามาในใจของนาง จากนั้นนางก็มองเฟยจูอย่างเย็นชาด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า ริมฝีปากของนางก็เอ่ยออกมาเล็กน้อย “อย่างไรเล่า คงได้ยินแล้วสินะ เจ้าคิดว่าพระชายาเช่นข้าต้องอิจฉาซ่างกวานเยียนอีกหรือ?” “ท่าน...ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พระชายาก็คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเคยพบกับผู้ชายคนนี้ที่ห้องโถงใหญ่มาก่อนหรอกเพคะ!” ดวงตาของเฟยจูแดงก่ำพลางมองนางด้วยความโกรธ ฉู่เนี่ยนซียิ้มอีกครั้งและพูดเบา ๆ “เจ้าก็รู้ใช่หรือไม่ว่าข้าคือพระชายา? เช่นนั้น ข้าจึงเป็นผู้ดูแลจวนแห่งนี้ หากต้องการสัญญาทาสก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย ในเมื่อได้สัญญาทาสมาอยู่ในมือแล้ว เหตุใดข้าต้องเปลืองเงินเปลืองแรงหาคนมาทำให้เจ้ามีมลทินด้วยเล่า
“พี่หญิงเข้าใจผิดแล้ว! เยียนเอ๋อร์แค่คิดว่าไม่จำเป็นต้องฟังคำตลบแตลงของคนประเภทนี้ที่เข้ามาในจวนเพื่อทำเรื่องเช่นนี้” ซ่างกวานเยียนกำนิ้วมือแน่นใต้แขนเสื้อ แต่นางกลับมีสีหน้าสงบ ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองนางด้วยสีหน้ารังเกียจ "สาวใช้ของเจ้ากล่าวหาข้าด้วยความเท็จ และข้าก็เป็นคนยุติธรรมและเข้มงวดมาก อีกทั้งท่านอ๋องเหลียนก็อยู่ที่นี่ด้วย โดยปกติแล้วก็ต้องพิสูจน์ให้มั่นใจก่อน แต่หากเจ้าฆ่าเขาไป เช่นนั้นข้าก็จะถูกตัดสินไปในทางไม่ดีแล้วน่ะสิ!” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็มองไปที่ชายร่างใหญ่อีกครั้ง “เจ้า พูดต่อ!” “ปะ...เป็นนางพ่ะย่ะค่ะ!” ชายร่างใหญ่ตัวสั่นเทาชี้ไปที่เฟยจูแล้วพูดว่า “เป็นฝีมือของนางพ่ะย่ะค่ะ เรารู้จักกันมานานแล้ว นางบอกว่าวันนี้มีงานเลี้ยงที่จวน และน่าจะวุ่นวายมาก คงไม่มีใครสนใจเราสองคน…ฉะนั้นอยากจะทำอะไรก็…” ชายร่างใหญ่ไม่ได้พูดออกมาหมด แต่ทุกคนก็เข้าใจความหมาย ก็เป็นแค่การที่คนสองคนแอบมามีสัมพันธ์กันโดยไม่มีใครสนใจเท่านั้นเอง เฟยจูมองเขาอย่างเหลื่อเชื่อและโมโหขึ้นมา “เจ้าพูดไร้สาระ ข้าเรียกเจ้ามาตอนไหน?...เช่นนี้นี่เอง! อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว นางคงติดสินบนเจ้าสินะ!” “เฟยจู!” ซ่างกว
“ดี หลังจากวันนี้เจ้าก็ออกไปอยู่กับเขาเถอะ” ฉู่เนี่ยนซียืดตัวตรง แล้วพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แต่ถึงอย่างไร เฟยจูก็ถูกจับได้ว่ากำลังพลอดรักกับผู้ชายในระหว่างงานเลี้ยง และทำให้พระชายาเดือดร้อน ข้าจะสั่งเฆี่ยนเจ้าสามสิบครั้งเพื่อเตือนไม่ให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง!” “ชายารองซ่างกวาน เพื่อเป็นการสั่งสอน เจ้าถูกลงโทษโดยการกักบริเวณให้สำนึกผิดอยู่ในเรือน และห้ามออกไปข้างนอกเว้นเสียแต่จะได้รับอนุญาต” ฉู่เนี่ยนซีพูดพลางมองไปที่เย่เฟยหลี “ท่านอ๋องทรงคิดเห็นอย่างไรเพคะ?” “ดีมาก!” เย่เฟยหลีพูดเบา ๆ มองฉู่เนี่ยนซีด้วยดวงตาที่เต็มไปประกายวาว! เช่นนั้น เฟยจูที่กำลังคร่ำครวญก็ถูกพาตัวไป ซ่างกวานเยียนมองฉู่เนี่ยนซีด้วยสีหน้าขรึม ใจคิดอยากจะสาดคำพูดที่เลวร้ายที่สุดในโลกใส่นาง ฉู่เนี่ยนซีที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดก็กำลังมองเย่เหลียนที่ดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ เย่เฟยหลีสังเกตเห็นท่าทางของนางแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงมองเย่เหลียนด้วยสายตาเย็นชา “ข้าคิดว่าที่นี่คงไม่มีอะไรให้ท่านทำแล้ว ท่านกลับไปหารือเรื่องของฉู่หว่านเอ๋อร์กับพี่สะใภ้รองจะดีหรือไม่?” เมื่อได้ยินดังนั้น เขาก็มีสีหน้าที
ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองเย่ฉงเฉิง คิ้วของนางเลิกขึ้นเล็กน้อย “ท่านอ๋องเฉิงหลงตัวเองเช่นนี้ไม่ดีเลยนะเพคะ คนที่เขาหัวเราะนี่ล้วนหมายความว่ากำลังหัวเราะเยาะพระองค์หรือเพคะ? หม่อมฉันว่าท่านอ๋องใส่ใจความคิดของผู้อื่นมากเกินไปหน่อยนะเพคะ!” “เจ้า...ปากคอเราะร้ายนัก ข้าคงเถียงสู้เจ้าไม่ได้หรอก!” เย่ฉงเฉิงมองไปทางอื่นด้วยความโกรธ และบังเอิญเห็นใบหน้าที่ไร้เลือดและซีดเซียวของซ่างกวานเยียน เขาก็ตกใจขึ้นมา “ชายารองซ่างกวานเป็นอะไรไป! เหตุใดถึงหน้าซีดเช่นนี้?” เมื่อซ่างกวานเยียนได้ยินคำถามของเย่ฉงเฉิง ก็มีประกายแสงวาบผ่านดวงตาของนางเร็วเกินกว่าที่ใครจะจับได้ จากนั้นนางก็มองไปยังฉู่เนี่ยนซีด้วยท่าทีที่ระมัดระวังมากขึ้น ราวกับว่านางได้รับความคับข้องใจอย่างมาก แต่กลับไม่กล้าพูดอะไร เห็นดังนั้น เย่ฉงเฉิงก็เข้าใจทันทีว่าซ่างกวานเยียนต้องการจะสื่ออะไร และมองไปที่ฉู่เนี่ยนซีด้วยความโกรธ “นี่เป็นเพราะสตรีชั่วร้ายเช่นเจ้าอีกแล้วรึ เจ้ารังแกคนที่อ่อนแออยู่ตลอด หากเจ้ามีความสามารถนักก็มารังแกข้าสิ!” ฉู่เนี่ยนซีมองเย่ฉงเฉิงผู้ชอบธรรมด้วยสีหน้าเย็นชา และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหัว ดวงตาของนางเต็มไปด้วยควา
“จริงสิพี่สาม ท่านว่าอย่างไรหากข้าจะไปหางานทำที่หอการแพทย์? ไม่แน่ว่าข้าอาจจะได้เป็นศิษย์ของเขา ทั้งยังได้รับการรักษาจากท่านหมอเทวดาด้วย!” “พี่สาม...ท่านฟังข้าอยู่หรือเปล่า?” เย่เฟยหลีหยุดชะงักและมองไปยังฉู่เนี่ยนซี ฉู่เนี่ยนซีตกใจ พูดถึงหมอเทวดาซานเซิงกันอยู่นี่ แล้วเหตุใดเขาถึงมองนางเช่นนี้? หรือนางจะถูกจับได้แล้วว่าตัวเองคือซีซานเซิง... นางเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเขาพูดเนิบ ๆ ว่า “เขียนเทียบยาให้เขาหน่อย เสียงดังเอะอะมากเลย!” เมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยินดังนั้น นางก็ตะลึงและหัวเราะออกมา นี่คือพี่ชายแท้ ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ถึงได้มีท่าทีรำคาญและขอให้นางทำให้เขาพูดไม่ได้! จู่ ๆ สีหน้าของเย่ฉงเฉิงก็หม่นลง “พี่สาม ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ข้าเป็นน้องชายแท้ ๆ ของท่านนะ!” “ตอนนี้ข้าก็ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้ว!” เย่เฟยหลีพูดและเดินต่อไป ฉู่เนี่ยนซีถึงกับหัวเราะออกมา นี่เย่เฟยหลีกำลังเล่นมุกหรือ? แต่ถึงอย่างไรบุคลิกของคนสองคนนี้ก็ง่ายต่อการเข้าใจผิด! “ฮ่าฮ่าฮ่า! ท่านอ๋องภูมิใจในตัวเองเถอะ!” เมื่อเห็นว่าเย่เฟยหลีไม่สนใจเขา เย่ฉงเฉิงก็มองไปยังฉู่เนี่ยนซีที่กำลังยิ้ม
ทันทีที่ฉู่เนี่ยนซีกลับมาถึงเรือน อวี๋เป่ยก็ปรากฏตัวต่อหน้านาง “นายหญิง!” อวี๋เป่ยทำมือคำนับด้วยความเคารพ ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองเขา “ตอนนี้เจ้าควรอยู่ที่โรงพนันหุยหุนสิ!” “กระหม่อมมาที่นี่เพื่อแจ้งนายหญิงว่ากระหม่อมได้พบกับเจ้าของโรงพนันหุยหุนคนก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ฉู่เนี่ยนซีที่ได้ยินก็ดีใจ พลางถามต่อ “อ้อ เป็นอย่างไรบ้าง? เขายินดีที่จะขายโรงเต้นรำหรือไม่?” อวี๋เป่ยส่ายหน้า สีหน้าของเขาอึดอัดเล็กน้อย “เขาบอกว่าโรงเต้นรำถูกขายให้กับคนอื่นไปแล้ว! เรามาช้าไปพ่ะย่ะค่ะ!” “ขายให้ใคร?” “ยังหาไม่พบพ่ะย่ะค่ะ!” ฉู่เนี่ยนซีขมวดคิ้ว โรงเต้นรำเชื่อมต่อกับโรงพนันหุยหุนและทางเข้าทางหนึ่งก็ถูกสร้างขึ้นในโรงเต้นรำ แม้ว่าทางเข้าอื่นจะเปิดมานานแล้ว แต่ทางเข้าของโรงเต้นรำก็ยังคงไม่ถูกละทิ้ง เนื่องจากเจ้าของเดิมของโรงเต้นรำและโรงพนันหุยหุนเป็นคนคนเดียวกัน ทางเข้าจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเขา ดังนั้นนางจึงไม่รีบร้อนที่จะซื้อโรงเต้นรำเพื่อการหมุนเวียนเงินทุน แต่ตอนนี้โรงเต้นรำตกไปอยู่ในมือของคนอื่นเสียแล้ว ทว่าก็ยังไม่แน่นอนเสมอไป เราต้องหาให้เจอว่าใครเป็นเจ้าของคนใหม่! “เจ้าเจอเถ้าแก่คนเก
ฉู่เนี่ยนซีรินชาให้ตัวเองด้วยท่าทีเรียบเฉยและดื่มอย่างเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร ดวงตาของเถ้าแก่เคร่งขรึม จากนั้นก็มีความชื่นชมปรากฎขึ้นในดวงตา และเขาก็ฝ่ายพูดก่อนว่า “คุณหนูจะไม่ถามหรือว่าเหตุใดข้าน้อยถึงได้เรียกท่านมาที่นี่?” ฉู่เนี่ยนซีค่อย ๆ จิบชาหยดสุดท้ายในถ้วยเข้าไปในปากแล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านก็สามารถบอกความต้องการของตัวเองได้โดยที่ข้าไม่ต้องถาม แล้วเหตุใดข้าจะต้องเสียเวลาถามด้วยเล่า?” "..." “ฮ่าฮ่า...เอาล่ะ ไม่เลวเลย เช่นนั้นข้าน้อยจะไม่อ้อมค้อม” เถ้าแก่พูดพร้อมกับรินชาให้ฉู่เนี่ยนซีด้วยตัวเอง แล้วค่อย ๆ พูดออกมา “ข้าอยากจะขอให้คุณหนูรักษาอาการป่วยให้!” ฉู่เนี่ยนซีหยดชะงักขณะถือถ้วยชา มองชายตรงหน้าผ่านผ้าคลุม และขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว หรือเขาจะรู้ว่านางคือซีซานเซิงผู้เป็นเจ้าของหอการแพทย์...? แต่รูปร่างหน้าตาของนางในชุดผู้ชายคงไม่มีใครมองออกหรอก! นางสงบลง วางถ้วยชาเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ดูเหมือนท่านจะขอผิดคนแล้ว” ฉู่เนี่ยนซีมองเขาแล้วพูดอีกครั้ง “หอการแพทย์อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ หากท่านต้องการพบหมอ ที่นั่นถึงจะมีคนที่ท่านต้องการ” ท่าทางของเถ้าแก่ดูไม่รีบร้
“ไม่ว่าสิ่งที่ท่านพูดจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ตอนนี้ข้าก็ไม่สนใจแล้ว! เชิญตามสบายเถอะ!” ฉู่เนี่ยนซีกล่าวเป็นเชิงไล่ เถ้าแก่เห็นสีหน้าเย็นชาของฉู่เนี่ยนก็ดูเหมือนจะคิดอะไรออก เขาลุกขึ้นยืนทันทีและพูดว่า "ในเมื่อคุณหนูไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าน้อยพูด เช่นนั้นเราก็มาทำข้อตกลงกันเถอะ!” “ท่านกับข้าไม่มีข้อตกลงอะไรที่ต้องทำร่วมกันแล้ว หากท่านต้องการเล่นพนันกรุณาเชิญไปเล่นด้านนอก” ฉู่เนี่ยนซีผายมือไปทางประตูเพื่อเชิญให้เขาออกไป เถ้าแก่ไม่ได้มีท่าทีโกรธพลางยกมุมปากเบา ๆ “คุณหนูไม่ต้องห่วง ข้าน้อยไม่ได้ประสงค์ร้ายจริง ๆ! หากท่านช่วยรักษาคน ข้าน้อยจะจ่ายเงินให้ท่านแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีหญ้าไป๋หลิงที่ข้าน้อยจะใช้เป็นค่ามัดจำ! อีกทั้งหากท่านยินดี ข้าก็เต็มใจที่จะแจ้งข่าวทางโรงเต้นรำให้ด้วย หญ้าไป๋หลิง? ตามบันทึกโบราณ หญ้าไป๋หลิงเป็นยาอายุวัฒนะที่มีค่าอย่างยิ่ง และระดับความหายากก็ไม่น้อยไปกว่าผลทุกข์ระทมเลย เหยียนตั่วได้มอบเมล็ดพันธุ์ผลทุกข์ระทมให้กับฉู่เนี่ยนซีมาก่อนหน้านี้ แต่นางไม่รู้ว่ามันเป็นของจริงหรือไม่ แต่สิ่งที่เถ้าพูดถึงหญ้าไป๋หลิงนั้นไม่สามารถปลอมแปลงได้ หญ้าแห่งจิตวิญญาณ