ด้านนอก จักรพรรดิและคนอื่น ๆ กำลังรออย่างใจจดใจจ่อ โดยมองเข้าไปในห้องเป็นครั้งคราวไม่รู้ว่านานเท่าใด แต่แล้วในห้องก็มีเสียงเด็กร้องดังขึ้น "อุแว้..." ทุกคนลุกขึ้นยืนทันที จักรพรรดิหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่และเดินไปที่ประตูในห้องนั้น ฉู่เนี่ยนซีกำลังอุ้มเด็กด้วยมือทั้งสองเบา ๆ และมีรอยยิ้มอ่อนโยนที่มุมปาก“ใครก็ได้ มาพาเด็กไปทำความสะอาดที่ด้านนอกที”เมื่อจักรพรรดิได้ยินสิ่งนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา และเขาก็รีบบอกหมอตำแยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ว่า "เร็วเข้า รีบเข้าไปดู"ใบหน้าของหมอตำแยมีความตื่นเต้นเช่นกัน และนางก็รีบเข้าไปด้านในทันทีหมอหลวงที่อยู่ด้านข้างต่างก็เช็ดเหงื่อเย็นออกจากหน้าผาก และมองหน้ากันโดยไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นได้หลังจากนั้นไม่นาน หมอตำแยก็พันตัวเด็กแล้วกลับมาที่ห้องด้านนอก "ทูลจักรพรรดิทูลฮ่องเฮา เป็นองค์ชายเพคะ!"“ดี ดี รีบส่งมาให้ข้าอุ้มเร็วเข้า!” จักรพรรดิดูตื่นเต้นเมื่อฮ่องเฮาที่อยู่ข้างหลังได้ยินว่าเป็นองค์ชาย ก็มีร่องรอยความขุ่นเคืองปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง แต่มันก็ถูกปกปิดไว้อย่างรวดเร็วเย่เฟยหลีเหลือบมองเด็กในอ้อมแขนของจักรพรรดิ และมองไปรอบ ๆ ห
“นี่ น้ำ!” พูดจบ เขาก็ค่อย ๆ ประคองฉู่เนี่ยนซีขึ้น แล้วยื่นแก้วน้ำไปที่ปากของนาง ฉู่เนี่ยนซีจิบน้ำเล็กน้อย ลืมตาขึ้นช้า ๆ และเห็นสายตาที่เป็นกังวลของเย่เฟยหลี “ขอบคุณ!” เย่เฟยหลีขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงแหบห้าวของนาง “ดื่มเพิ่มอีกหน่อย” ฉู่เนี่ยนซีพยักหน้าและจิบน้ำอีกสองสามครั้ง “ข้าจะไปให้คนเตรียมอาหาร!” เย่เฟยหลีให้ฉู่เนี่ยนซีนอนลง และหลังจากสั่งให้ขันทีเตรียมอาหารเสร็จ เขาก็กลับมา “เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่!” ฉู่เนี่ยนซีส่ายหัว ค่อย ๆ เอ่ยปากออกมา “ข้าสบายดี แค่ใช้แรงมากไปก็เลยเหนื่อยนิดหน่อย พวกเราอยู่ที่พระราชวังแล้วหรือ สนมฉิงเป็นอย่างไรบ้าง?” “ทุกอย่างเรียบร้อยดี หมอหลวงได้ตรวจวินิจฉัยแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติ และเนื่องจากนางให้กำเนิดองค์ชาย จึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นพระชายา” เย่เฟยหลีลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “แต่ว่าถุงบรรจุเลือดกับท่อที่เจ้าใช้ที่เรือนของสนมฉิงวันนี้...ของพวกนั้นเจ้าไปเอามาจากที่ใด?” ฉู่เนี่ยนซีตกใจ และความง่วงที่มีก็หายเกือบครึ่ง “อะ...เอ่อ...ก่อนหน้านี้ข้าเอาเข้าไปด้วยน่ะ!” “เอาเข้าไปหรือ เจ้าเอาติดตัวเข้าไปด้วย?” เย่เฟยหลีมองพ
เมื่อทั้งคู่ทานอาหารเย็นเสร็จ ไม่นานก็หลับไปอีกครั้ง เนื่องจากฉู่เนี่ยนซียังไม่หายดีนัก เย่เฟยหลีจึงรีบกลับจวนอ๋องแต่เช้าหลังจากตื่นนอน หลังจากนั้นรางวัลจากองค์จักรพรรดิก็มาถึงจวนอ๋องหลี นอกจากเครื่องประดับ เงินทอง เครื่องหัว ผ้าและอื่น ๆ แล้ว องค์จักรพรรดิยังมอบป้ายตราสำนักหมอหลวงซึ่งทำให้นางสามารถเข้าออกจากสำนักหมอหลวงได้อย่างอิสระ แม้ว่านางจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งใดใด แต่ก็จะได้รับประโยชน์จากหมอหลวง เย่เฟยลี่ที่ลงจากรถม้าพอดีพร้อมกับอุ้มฉู่เนี่ยนซีกลับไปที่เรือน ซ่างกวานเยียนเห็นดังนั้น ก็แทบอยากจะกัดฟันของตัวเองให้แตกออกเป็นชิ้น ๆ! นางกำมือแน่น พลางมองด้วยสายตาดุร้าย “ช่วงนี้ฉู่หว่านเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?” เฟยจูที่อยู่ด้านข้างโน้มตัวไปข้างหน้า “เรียนคุณหนู หลังจากที่นางถูกท่านอ๋องเหลียนลงโทษ ก็ถูกส่งกลับไปยังจวนมหาเสนาบดีฉู่ เดิมทีนางจะถูกส่งกลับไปที่บ้านเกิด ตีฟู่ แต่ดูเหมือนว่าฮูหยินฉู่จะใจอ่อน ขอว่าให้ฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงดีก่อนค่อยส่งกลับเจ้าค่ะ!” “ฟื้นฟูร่างกาย? เกรงว่าหากนางหายดีแล้วคงจะไม่เต็มใจกลับไปน่ะสิ” ซ่างกวานเยียนใช้ความคิด สายตาของนางเหม่อมองไปยังเรือนขอ
ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมามองที่ซ่างกวานเยียน และอดไม่ได้ที่จะเย้ยหยันในใจ ‘ต้องมีอะไรบางอย่างร้ายแรงแอบแฝงอยู่แน่ ซ่างกวานเยียนคิดจะทำอะไรถึงได้มาบอกข้าโต้ง ๆ ว่าเย่เฟยหลีรักแต่นาง? อยากให้ข้าหึงรึ?’ “ที่นี่มีเราแค่สองคน เจ้าไม่จำเป็นต้องทำท่าทางอวดดีเช่นนี้ คิดจะทำอะไรก็พูดออกมาเลยดีกว่า!” ฉู่เนี่ยนซีเสียบปิ่นปักผมเข้าไปในผมมวยของตัวเองแล้วพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ “ฮ่าฮ่า...” ซ่างกวานเยียนปิดปากหัวเราะ ทำท่าทางไร้เดียงสาอีกครั้ง “พี่หญิง ท่านกำลังพูดถึงอะไร เยียนเอ๋อร์มาเชิญท่านด้วยความจริงใจ หรือว่าพระชายาเช่นท่านจะกลัวเสียแล้ว?” ฉู่เนี่ยนซีที่มองนางอย่างเรียบเฉย ก็หัวเราะขึ้น “ฮ่าฮ่า...กลัวหรือ? เจ้าหรือเปล่าที่กลัว? ในเมื่อต้องการให้ข้าไปมากนัก หากข้าไม่ทำตามคำขอก็คงจะไม่ได้” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็ลุกขึ้นและเดินนำไปยังประตู เมื่อนางไปถึงประตู นางก็หยุดและหันกลับมาทันที “จริงสิ ในเมื่อเจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นพระชายา เช่นนั้นเจ้าก็ควรรู้สิว่าสถานะปัจจุบันของตัวเองไม่เหมาะกับอาภรณ์ชุดนี้” “เปลี่ยนอาภรณ์เสียเถอะ จะได้ไม่ถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะเอา!” ฉู่เนี่ยนซีกล่าวพลางเดินพ้นจากประตูไป ซ่าง
“วันนี้จวนอ๋องหลีช่างคึกคักจริง ๆ” ทุกคนนั่งลง ฉู่เนี่ยนซีที่ไม่ชอบงานแบบนี้และกำลังจะจากไป ก็มีเสียงของผู้ชายดังมาจากด้านหลัง ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาและเห็นเย่เหลียนเดินมาหานางโดยถือพัดพับอยู่ “ดูจากผิวพรรณของเจ้า เจ้าคงฟื้นตัวดีแล้ว!” เย่เหลียนเดินไปหาฉู่เนี่ยนซี ก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วมองเข้าไปในดวงตาที่เย็นชาของนาง ฉู่เนี่ยนซีรีบถอยหลังไปสองสามก้าวและตีตัวออกห่าง “เสด็จพี่รองนี่เอง! เฟยหลีน่าจะอยู่ที่โถงรับแขกนะเพคะ” ความหมายก็คือแขกส่วนใหญ่อยู่ที่โถงรับแขกและท่านอ๋องไม่ควรพูดคุยกับสตรีที่แต่งงานแล้วอย่างหม่อมฉันที่นี่ พระองค์ควรไปหานายท่านของจวนอ๋องหลีดีกว่านะเพคะ เย่เหลียนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นและยิ้มเต็มริมฝีปาก “ขอบคุณที่แจ้งให้ทราบ! แต่ว่า...” ทันใดนั้นเขาก็เข้ามาใกล้อีกครั้งและพูดว่า “ข้าตั้งใจมาขอโทษแทนจาวอวิ๋น” “ขอโทษ? ไม่จำเป็นหรอกเพคะ! ถึงอย่างไรก็มีการลงโทษไปแล้ว และสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นก็ถูกคลี่คลายเรียบร้อยแล้วด้วย” ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองเขาด้วยสีหน้าที่ไร้ซึ่งความเกรงกลัว จู่ ๆ เย่เหลียนก็ยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของนาง “เนี่ยนซีเป็นคนนิสัยดี
ฉู่เนี่ยนซีมองไปยังท่าทางที่อ่อนแอของนางแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย มหาเสนาบดีฉู่บอกนางไว้ก่อนหน้านี้ว่าฉู่หว่านเอ๋อร์จะถูกส่งกลับจวนเดิมหลังจากที่นางหายจากอาการบาดเจ็บ เท่าที่ดูตอนนี้นางน่าจะเกือบจะหายดีแล้ว แต่ก็ยังไม่รีบเก็บข้าวของ อีกทั้งยังมีกะจิตกะใจมาที่จวนอ๋องหลีอีก เห็นทีเกรงว่าเรื่องราวคงจะไม่จบลงง่าย ๆ เป็นแน่ ฉู่เนี่ยนซีมองไปยังซ่างกวานเยียนที่อยู่ในระยะไกล และเห็นว่านางก็มองมาทางนี้เช่นกัน ซ่างกวานเยียนเห็นฉู่เนี่ยนซีมองมาที่ตัวเองก็ลุกขึ้นและเดินช้า ๆ ไปทางนั้น เมื่อนางเห็นเสื้อผ้าที่เปื้อนชาของฉู่เนี่ยนซี นางก็ทำท่าตกใจและพูดว่า “ตายแล้วพี่หญิง เหตุใดเสื้อผ้าของท่านถึงเปื้อนคราบชาคราบใหญ่ขนาดนี้ รีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเถิดเจ้าค่ะ” “พระชายา หม่อมฉันขออภัยจริง ๆ เพคะ หม่อมฉันแค่คิดถึงสิ่งที่เคยทำผิดไว้และอยากจะมาแสดงความสำนึกผิดก่อนที่จะจากไป หม่อมฉันไม่นึกว่าพระชายาจะหันมากระทันหันเช่นนี้” ท่าทางของฉู่หว่านเอ๋อร์ที่ดูอ่อนแอไร้เดียงสาและเหมือนกำลังจะร้องไห้ ทำให้ทุกคนมองมาที่นาง ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองทั้งสองคนอย่างเย็นชา ริมฝีปากของนางเอ่ยออกมาเบา ๆ “ไม่เป็นไร แค่
“รนหาที่ตายเสียแล้ว!” ก่อนที่ชายร่างใหญ่จะได้จับตัวนาง มือเรียวงามคู่หนึ่งก็บีบข้อมือของเขาไว้แน่น ทำให้เขาตกใจร้องออกมาอย่างเจ็บปวด “เจ็บ! เจ็บเจ็บ...” เขาร้องด้วยความเจ็บปวดและมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยความตกตะลึง “เหตุใดเจ้าถึงไม่เป็นอะไรล่ะ?” เนื่องจากยาปลุกกำหนัดนี้มีฤทธิ์ค่อนข้างแรง เขาจึงกินยาป้องกันไว้ล่วงหน้าทำให้ไม่เป็นอะไร แต่ฉู่เนี่ยนซีที่ไม่ได้เตรียมตัวป้องกันไว้จะไม่เป็นอะไรเลยได้อย่างไร! ฉู่เนี่ยนซียิ้มเยาะ ‘ขันนัก’ ด้วยความสามารถใหม่ของห้วงว่างเปล่า นางไม่จำเป็นต้องกินยาบรรเทาพิษ ก็สามารถต้านพิษได้ กับแค่ยาปลุกกำหนัดแค่นี้จะทำอะไรนางได้อย่างไร? เหตุผลที่เมื่อครู่นางแกล้งทำเป็นถูกหลอกเพราะจะใช้ประโยชน์จากกับดัก เพื่อให้แผนของซ่างกวานเยียนดำเนินต่อไปได้ “เจ้าดูเอาเองก็แล้วกันว่าข้าเป็นอะไรหรือไม่ แต่ตอนนี้เจ้างานเข้าแน่นอน!” ดวงตาของฉู่เนี่ยนซีเย็นชาจนชายร่างใหญ่อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น “กะ...กระหม่อมผิดไปแล้ว! กระหม่อมถูกใครบางคนติดสินบนมาเลยหลงผิดไปครู่หนึ่ง พระชายาหลีโปรดไว้ชีวิตด้วย! กระหม่อมจะไม่ทำอีกต่อไปแล้ว!” ชายร่างใหญ่ถูกฉู่เนี่ยนซีจับไว้ หากเขาเคลื่อนไหว
“เกรงว่าเสด็จพี่รองกำลังเข้าใจผิด ซีเอ๋อร์อยู่ที่นี่คนเดียวตลอดเวลาเพคะ” ฉู่เนี่ยนซียักไหล่อย่างไร้เดียงสา เย่เหลียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าแน่ใจหรือ? ข้าไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าจะใจกล้าอยู่กับบุรุษแปลกหน้าในห้องตามลำพัง! ข้าเกรงว่าหากเรื่องนี้แพร่ออกไป...คงกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวแน่” “อ้อ? จริงหรือเพคะ? ถ้าเช่นนั้นซีเอ๋อร์ก็คงต้องรีบออกไป เพราะเสด็จพี่รองก็ถือเป็นบุรุษแปลกหน้าเช่นเดียวกัน!” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็เมินเฉยต่อสีหน้าจับผิดของเย่เหลียน พลางยิ้มและเดินกำลังจะออกจากห้องไป “จริงสิ เสด็จพี่รองก็รีบออกไปจะดีกว่า หากอยู่ในห้องนี้จะอันตรายมากนะเพคะ!” ฉู่เนี่ยนซีนึกอะไรออกจึงเตือนเขาแล้วจากไป หารู้ไม่ว่าตรงมุมนั้น มีร่างร่างหนึ่งยืนกำหมัดแน่นและกำลังจ้องมองตามหลังนางไปอย่างอาฆาต หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีออกมาจากเรือนของซ่างกวานเยียน นางก็ไม่ได้กลับไปที่สวนท้ายจวน แต่นางกลับมาหาที่สงบ ๆ ขึ้นไปนอนเอนอยู่บนกิ่งไม้แล้วหลับไป ... อีกด้านหนึ่งที่สวนท้ายจวน บนเวทีนั้นคณะละครก็กำลังแสดงเพลงที่เป็นที่นิยมที่สุด ขณะทุกคนที่กำลังรับชมอย่างเพลิดเพลิน ซ่างกวานเยียนก็มองขึ้นไปที่ดวงอาทิตย์และคา