เมื่อทั้งคู่ทานอาหารเย็นเสร็จ ไม่นานก็หลับไปอีกครั้ง เนื่องจากฉู่เนี่ยนซียังไม่หายดีนัก เย่เฟยหลีจึงรีบกลับจวนอ๋องแต่เช้าหลังจากตื่นนอน หลังจากนั้นรางวัลจากองค์จักรพรรดิก็มาถึงจวนอ๋องหลี นอกจากเครื่องประดับ เงินทอง เครื่องหัว ผ้าและอื่น ๆ แล้ว องค์จักรพรรดิยังมอบป้ายตราสำนักหมอหลวงซึ่งทำให้นางสามารถเข้าออกจากสำนักหมอหลวงได้อย่างอิสระ แม้ว่านางจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งใดใด แต่ก็จะได้รับประโยชน์จากหมอหลวง เย่เฟยลี่ที่ลงจากรถม้าพอดีพร้อมกับอุ้มฉู่เนี่ยนซีกลับไปที่เรือน ซ่างกวานเยียนเห็นดังนั้น ก็แทบอยากจะกัดฟันของตัวเองให้แตกออกเป็นชิ้น ๆ! นางกำมือแน่น พลางมองด้วยสายตาดุร้าย “ช่วงนี้ฉู่หว่านเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?” เฟยจูที่อยู่ด้านข้างโน้มตัวไปข้างหน้า “เรียนคุณหนู หลังจากที่นางถูกท่านอ๋องเหลียนลงโทษ ก็ถูกส่งกลับไปยังจวนมหาเสนาบดีฉู่ เดิมทีนางจะถูกส่งกลับไปที่บ้านเกิด ตีฟู่ แต่ดูเหมือนว่าฮูหยินฉู่จะใจอ่อน ขอว่าให้ฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงดีก่อนค่อยส่งกลับเจ้าค่ะ!” “ฟื้นฟูร่างกาย? เกรงว่าหากนางหายดีแล้วคงจะไม่เต็มใจกลับไปน่ะสิ” ซ่างกวานเยียนใช้ความคิด สายตาของนางเหม่อมองไปยังเรือนขอ
ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมามองที่ซ่างกวานเยียน และอดไม่ได้ที่จะเย้ยหยันในใจ ‘ต้องมีอะไรบางอย่างร้ายแรงแอบแฝงอยู่แน่ ซ่างกวานเยียนคิดจะทำอะไรถึงได้มาบอกข้าโต้ง ๆ ว่าเย่เฟยหลีรักแต่นาง? อยากให้ข้าหึงรึ?’ “ที่นี่มีเราแค่สองคน เจ้าไม่จำเป็นต้องทำท่าทางอวดดีเช่นนี้ คิดจะทำอะไรก็พูดออกมาเลยดีกว่า!” ฉู่เนี่ยนซีเสียบปิ่นปักผมเข้าไปในผมมวยของตัวเองแล้วพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ “ฮ่าฮ่า...” ซ่างกวานเยียนปิดปากหัวเราะ ทำท่าทางไร้เดียงสาอีกครั้ง “พี่หญิง ท่านกำลังพูดถึงอะไร เยียนเอ๋อร์มาเชิญท่านด้วยความจริงใจ หรือว่าพระชายาเช่นท่านจะกลัวเสียแล้ว?” ฉู่เนี่ยนซีที่มองนางอย่างเรียบเฉย ก็หัวเราะขึ้น “ฮ่าฮ่า...กลัวหรือ? เจ้าหรือเปล่าที่กลัว? ในเมื่อต้องการให้ข้าไปมากนัก หากข้าไม่ทำตามคำขอก็คงจะไม่ได้” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็ลุกขึ้นและเดินนำไปยังประตู เมื่อนางไปถึงประตู นางก็หยุดและหันกลับมาทันที “จริงสิ ในเมื่อเจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นพระชายา เช่นนั้นเจ้าก็ควรรู้สิว่าสถานะปัจจุบันของตัวเองไม่เหมาะกับอาภรณ์ชุดนี้” “เปลี่ยนอาภรณ์เสียเถอะ จะได้ไม่ถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะเอา!” ฉู่เนี่ยนซีกล่าวพลางเดินพ้นจากประตูไป ซ่าง
“วันนี้จวนอ๋องหลีช่างคึกคักจริง ๆ” ทุกคนนั่งลง ฉู่เนี่ยนซีที่ไม่ชอบงานแบบนี้และกำลังจะจากไป ก็มีเสียงของผู้ชายดังมาจากด้านหลัง ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาและเห็นเย่เหลียนเดินมาหานางโดยถือพัดพับอยู่ “ดูจากผิวพรรณของเจ้า เจ้าคงฟื้นตัวดีแล้ว!” เย่เหลียนเดินไปหาฉู่เนี่ยนซี ก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วมองเข้าไปในดวงตาที่เย็นชาของนาง ฉู่เนี่ยนซีรีบถอยหลังไปสองสามก้าวและตีตัวออกห่าง “เสด็จพี่รองนี่เอง! เฟยหลีน่าจะอยู่ที่โถงรับแขกนะเพคะ” ความหมายก็คือแขกส่วนใหญ่อยู่ที่โถงรับแขกและท่านอ๋องไม่ควรพูดคุยกับสตรีที่แต่งงานแล้วอย่างหม่อมฉันที่นี่ พระองค์ควรไปหานายท่านของจวนอ๋องหลีดีกว่านะเพคะ เย่เหลียนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นและยิ้มเต็มริมฝีปาก “ขอบคุณที่แจ้งให้ทราบ! แต่ว่า...” ทันใดนั้นเขาก็เข้ามาใกล้อีกครั้งและพูดว่า “ข้าตั้งใจมาขอโทษแทนจาวอวิ๋น” “ขอโทษ? ไม่จำเป็นหรอกเพคะ! ถึงอย่างไรก็มีการลงโทษไปแล้ว และสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นก็ถูกคลี่คลายเรียบร้อยแล้วด้วย” ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองเขาด้วยสีหน้าที่ไร้ซึ่งความเกรงกลัว จู่ ๆ เย่เหลียนก็ยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของนาง “เนี่ยนซีเป็นคนนิสัยดี
ฉู่เนี่ยนซีมองไปยังท่าทางที่อ่อนแอของนางแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย มหาเสนาบดีฉู่บอกนางไว้ก่อนหน้านี้ว่าฉู่หว่านเอ๋อร์จะถูกส่งกลับจวนเดิมหลังจากที่นางหายจากอาการบาดเจ็บ เท่าที่ดูตอนนี้นางน่าจะเกือบจะหายดีแล้ว แต่ก็ยังไม่รีบเก็บข้าวของ อีกทั้งยังมีกะจิตกะใจมาที่จวนอ๋องหลีอีก เห็นทีเกรงว่าเรื่องราวคงจะไม่จบลงง่าย ๆ เป็นแน่ ฉู่เนี่ยนซีมองไปยังซ่างกวานเยียนที่อยู่ในระยะไกล และเห็นว่านางก็มองมาทางนี้เช่นกัน ซ่างกวานเยียนเห็นฉู่เนี่ยนซีมองมาที่ตัวเองก็ลุกขึ้นและเดินช้า ๆ ไปทางนั้น เมื่อนางเห็นเสื้อผ้าที่เปื้อนชาของฉู่เนี่ยนซี นางก็ทำท่าตกใจและพูดว่า “ตายแล้วพี่หญิง เหตุใดเสื้อผ้าของท่านถึงเปื้อนคราบชาคราบใหญ่ขนาดนี้ รีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเถิดเจ้าค่ะ” “พระชายา หม่อมฉันขออภัยจริง ๆ เพคะ หม่อมฉันแค่คิดถึงสิ่งที่เคยทำผิดไว้และอยากจะมาแสดงความสำนึกผิดก่อนที่จะจากไป หม่อมฉันไม่นึกว่าพระชายาจะหันมากระทันหันเช่นนี้” ท่าทางของฉู่หว่านเอ๋อร์ที่ดูอ่อนแอไร้เดียงสาและเหมือนกำลังจะร้องไห้ ทำให้ทุกคนมองมาที่นาง ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองทั้งสองคนอย่างเย็นชา ริมฝีปากของนางเอ่ยออกมาเบา ๆ “ไม่เป็นไร แค่
“รนหาที่ตายเสียแล้ว!” ก่อนที่ชายร่างใหญ่จะได้จับตัวนาง มือเรียวงามคู่หนึ่งก็บีบข้อมือของเขาไว้แน่น ทำให้เขาตกใจร้องออกมาอย่างเจ็บปวด “เจ็บ! เจ็บเจ็บ...” เขาร้องด้วยความเจ็บปวดและมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยความตกตะลึง “เหตุใดเจ้าถึงไม่เป็นอะไรล่ะ?” เนื่องจากยาปลุกกำหนัดนี้มีฤทธิ์ค่อนข้างแรง เขาจึงกินยาป้องกันไว้ล่วงหน้าทำให้ไม่เป็นอะไร แต่ฉู่เนี่ยนซีที่ไม่ได้เตรียมตัวป้องกันไว้จะไม่เป็นอะไรเลยได้อย่างไร! ฉู่เนี่ยนซียิ้มเยาะ ‘ขันนัก’ ด้วยความสามารถใหม่ของห้วงว่างเปล่า นางไม่จำเป็นต้องกินยาบรรเทาพิษ ก็สามารถต้านพิษได้ กับแค่ยาปลุกกำหนัดแค่นี้จะทำอะไรนางได้อย่างไร? เหตุผลที่เมื่อครู่นางแกล้งทำเป็นถูกหลอกเพราะจะใช้ประโยชน์จากกับดัก เพื่อให้แผนของซ่างกวานเยียนดำเนินต่อไปได้ “เจ้าดูเอาเองก็แล้วกันว่าข้าเป็นอะไรหรือไม่ แต่ตอนนี้เจ้างานเข้าแน่นอน!” ดวงตาของฉู่เนี่ยนซีเย็นชาจนชายร่างใหญ่อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น “กะ...กระหม่อมผิดไปแล้ว! กระหม่อมถูกใครบางคนติดสินบนมาเลยหลงผิดไปครู่หนึ่ง พระชายาหลีโปรดไว้ชีวิตด้วย! กระหม่อมจะไม่ทำอีกต่อไปแล้ว!” ชายร่างใหญ่ถูกฉู่เนี่ยนซีจับไว้ หากเขาเคลื่อนไหว
“เกรงว่าเสด็จพี่รองกำลังเข้าใจผิด ซีเอ๋อร์อยู่ที่นี่คนเดียวตลอดเวลาเพคะ” ฉู่เนี่ยนซียักไหล่อย่างไร้เดียงสา เย่เหลียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าแน่ใจหรือ? ข้าไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าจะใจกล้าอยู่กับบุรุษแปลกหน้าในห้องตามลำพัง! ข้าเกรงว่าหากเรื่องนี้แพร่ออกไป...คงกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวแน่” “อ้อ? จริงหรือเพคะ? ถ้าเช่นนั้นซีเอ๋อร์ก็คงต้องรีบออกไป เพราะเสด็จพี่รองก็ถือเป็นบุรุษแปลกหน้าเช่นเดียวกัน!” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็เมินเฉยต่อสีหน้าจับผิดของเย่เหลียน พลางยิ้มและเดินกำลังจะออกจากห้องไป “จริงสิ เสด็จพี่รองก็รีบออกไปจะดีกว่า หากอยู่ในห้องนี้จะอันตรายมากนะเพคะ!” ฉู่เนี่ยนซีนึกอะไรออกจึงเตือนเขาแล้วจากไป หารู้ไม่ว่าตรงมุมนั้น มีร่างร่างหนึ่งยืนกำหมัดแน่นและกำลังจ้องมองตามหลังนางไปอย่างอาฆาต หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีออกมาจากเรือนของซ่างกวานเยียน นางก็ไม่ได้กลับไปที่สวนท้ายจวน แต่นางกลับมาหาที่สงบ ๆ ขึ้นไปนอนเอนอยู่บนกิ่งไม้แล้วหลับไป ... อีกด้านหนึ่งที่สวนท้ายจวน บนเวทีนั้นคณะละครก็กำลังแสดงเพลงที่เป็นที่นิยมที่สุด ขณะทุกคนที่กำลังรับชมอย่างเพลิดเพลิน ซ่างกวานเยียนก็มองขึ้นไปที่ดวงอาทิตย์และคา
ซ่างกวานเยียนที่เผลอยิ้มอยู่ก็รีบหุบยิ้มอย่างรวดเร็ว จากนั้นสีหน้าของนางก็ถูกแทนที่ด้วยความตื่นตระหนก พลางมองไปทางเย่เฟยหลี “ทะ...ท่านอ๋อง...” เย่เฟยหลีมีสีหน้าที่ผิดปกติ ดวงตาลึกลับของเขาจ้องมองไปยังประตูที่ปิดอยู่ พลางฟังเสียงของชายและหญิงในห้อง ทุกคนมองหน้ากันอย่างคุ้นเคยและอยากจะออกไป แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็มีอยู่มากเช่นกัน “ก่อนหน้านี้พระชายาหลีไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนของชายารองซ่างกวานไม่ใช่หรือ...” “หรือว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็น...” เมื่อได้ยินดังนั้น เย่เฟยหลีก็จ้องมองผู้พูดด้วยสายตาเย็นชา ทำเอาชายคนนั้นที่พูดอยู่รู้สึกว่าลมหายใจของตัวเองติดขัด บรรดาผู้ที่อยากดูด้วยความตื่นเต้นก็พลอยสั่นกลัวไปด้วย เมื่อคิดคำนวณว่าเรื่องซุบซิบหรือชีวิตสำคัญกว่ากัน พวกเขาจึงพากันถอยออกมา เย่เฟยหลีกวาดสายตามองฝูงชนพลางพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ในเมื่อมาถึงแล้วก็ดูให้ชัดก่อนเถอะว่าใครที่อยู่ในห้อง แล้วค่อยเอามาพูด! ภรรยาของข้าไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นแน่!” พูดจบ เย่เฟยหลีก็เปิดประตู คนที่เขินอายก้มหน้าไม่กล้ามอง แต่บางคนก็ยืดคอเพื่อมองเข้าไปข้างใน สายตาของซ่างกวานเยียนฉายแว
“อ๊ะ! พี่หญิง...ท่าน...ท่านทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ?!” ซ่างกวานเยียนแสร้งทำเป็นประหลาดใจ ปิดปากและตะโกนด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ เสียงดังมากจนเกือบจะได้ยินไปทั่วทั้งเรือน ผู้คนด้านนอกที่ได้ยินก็หันไปมองเย่เฟยหลีอย่างระมัดระวัง! หรือว่าคนที่อยู่ในห้องนี้จะเป็น...พระชายาหลี? มิน่าล่ะ นางหายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งนานแล้วก็ยังไม่กลับมา! ท่านอ๋องหลีผู้นี้...ช่างน่าสงสารเหลือเกิน! ทุกคนคิดในขณะที่มองไปยังเย่เฟยหลีด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป มีตั้งแต่ความเห็นอกเห็นใจไปจนถึงความสุขที่เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ “น้องหญิงเรียกใครว่าพี่หญิงรึ?” เสียงเย็นชาดังมาจากลานหน้าเรือน ทุกคนมองไปยังประตูเรือนและเห็นฉู่เนี่ยนซีเดินมาทางนี้อย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้างงงวย “อ้าว? พระชายาหลีนี่! แล้วใคร...อยู่ข้างในนั้นล่ะ?” ผู้คนที่อยู่ในลานเรือนเริ่มอยากรู้อยากเห็น ตอนแรกที่ซ่างกวานเยียนบอกอย่างชัดเจนว่านั่นคือฉู่เนี่ยนซี แต่ตอนนี้ฉู่เนี่ยนซีกลับกำลังยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ซ่างกวานเยียนที่อยู่ตรงประตูก็มีท่าทีเหลือเชื่อเมื่อนางเห็นฉู่เนี่ยนซี ทันใดนั้นรูม่านตาของนางก็ขยายออกและมองไปที่เตียง “สามหาวนัก! เจ้