ฉู่เนี่ยนซีมองไปยังมือที่ยื่นมาของเย่เฟยหลีและกระตุกมุมปาก เขากำลังทำอะไร? แต่การจัดตั้งกลุ่มก็จำเป็นต้องมีคนจำนวนสี่คนและจะดีกว่าถ้าเย่เฟยหลีเข้าร่วมด้วย ฉู่เนี่ยนซีจึงยิ้มและจับมือกับเย่เฟยหลี สัมผัสที่เย็นและนุ่มนวลบนมือของเขาทำให้มุมปากของเย่เฟยหลียกขึ้นเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเย่เหลียนที่อยู่อีกด้านเห็นสิ่งนี้ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นและลุกขึ้นยืนทันที “ข้าขอถามว่าข้าจะเข้าร่วมกลุ่มด้วยได้หรือไม่?!” หลังจากพูดจบ เย่เหลียนก็ยื่นมือมา พร้อมรอยยิ้มที่คิดว่ามีเสน่ห์ และมองตรงไปยังฉู่เนี่ยนซี ฉู่เนี่ยนซีคาดไม่ถึงว่าเขาจะอยากเข้าร่วมกลุ่มของพวกนางด้วย แต่นางก็ไม่กังวลว่าเขาจะวางแผนอะไรมา เพราะท้ายที่สุดแล้วหากเขาแพ้ก็จะไม่ดีต่อชื่อเสียงของเขาเอง และเห็นได้ชัดว่าในตอนนี้นอกจากพวกเขาแล้วก็ไม่มีใครอยากอยู่กลุ่มเดียวกับนาง เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีก็พยักหน้าและกำลังจะพูด เย่เฟยหลีที่อยู่ข้าง ๆ ก็เป็นฝ่ายเอื้อมมือไปจับมือเย่เหลียนแทน จากนั้นเสียงเย็น ๆ ก็ดังขึ้น “ยินดีต้อนรับ!” สีหน้าของเย่เหลียนขรึมขึ้นเล็กน้อย เขาดึงมือกลับ จ้องมองไปยังเย่เฟยหลีด้วยท่าทางรัง
“ยังเพคะ!” เย่เหลียนตะลึง ‘ยังรึ? นางจงใจทำให้เรื่องแย่ลงหรือ?’ นั่นยิ่งทำให้เย่เหลียนขมวดคิ้ว ‘หรือว่านางเคยมีเพียงโอกาสได้ศึกษาแค่ความรู้ด้านการแพทย์? ส่วนความรู้ด้านอื่น ๆ ไม่มีเลย?’ ขณะที่ครุ่นคิด ก็ได้ยินเสียงของฉู่เนี่ยนซีพูดขึ้นอีกครั้ง “หม่อมฉันเป็นหัวหน้ากลุ่ม จะให้พวกท่านตอบคำถามแทนเช่นนั้นหรือ?” “แต่หัวข้อจะยากขึ้นเรื่อย ๆ ฉะนั้นเจ้าควรตอบหัวข้อนี้ก่อน” “ไม่ล่ะเพคะ! หม่อมฉันชอบที่จะทำให้ทุกอย่างจบในคราวเดียว!” หลังจากพูดเช่นนั้น ฉู่เนี่ยนซีก็จิบชาต่อไป เย่เฟยหลีเห็นฉู่เนี่ยนซีที่จิบชาต่ออย่างเป็นธรรมชาติ ก็มีเสียงเย็นชาดังออกมาจากริมฝีปากบางอันเย้ายวนของเขา “ความมืดมิดที่บดบังตาถูกคลายออกด้วยพื้นผิวของทะเลสาบ เผยให้เห็นทองที่ตั้งตระหง่านอยู่ทางต้นทะเลสาบ สิ่งที่คิดว่าเป็นเรื่องจริงที่แท้เป็นเพียงการปิดบังความชั่วร้ายที่อยู่เบื้องหลัง” พูดจบ ทุกคนก็ตกตะลึง บรรดาคนที่คิดออกแล้วและยังคิดไม่ออกต่างก็หยุดเคลื่อนไหวและดื่มด่ำกับแนวความคิดทางศิลปะของบทกวีของเขาอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไรอีก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเย่เฟยหลีชนะในหัวข้อนี้ ซ่างกวานเยียนมองเขาด้วยแววตาชื่น
ฉู่เนี่ยนซีไม่รู้ว่าเย่เฟยหลีมีความรู้สึกเกี่ยวกับบทกวีที่นางยืมมาเช่นนั้น เย่เหลียนที่อยู่ข้าง ๆ ก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน และเมื่อรู้สึกตัว เขาก็ปรบมือขึ้นสองสามครั้ง ตามด้วยเสียงปรบมือของคนอื่น ๆ บนเรือ คนรับใช้ที่รับผิดชอบในการบันทึกที่อยู่ด้านข้างก็รีบถอดความออกมา “นี่มันพรสวรรค์ชัด ๆ” “แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าพระชายาหลีจะเก่งด้านบทกวี นี่นางถ่อมตัวปิดบังความสามารถไว้จริง ๆ หรือ?” “แต่ข้าไม่คิดอย่างนั้น หากนางมีความรู้ขนาดนี้ จะยอมโดนดูถูกมานานหลายปีโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร บางทีบทกวีนี้อาจจะมีคนอื่นเขียนให้ในตอนเช้าตรู่” “เจ้าหมายถึงท่านอ๋องหลี…” “ชู่...หยุดพูดได้แล้ว” แม้ว่าทุกคนตั้งใจลดเสียงลง แต่ฉู่เนี่ยนซีก็ยังได้ยินชัดเจน นางไม่รีบปฏิเสธ เพราะความแข็งแกร่งคือคำอธิบายที่ดีที่สุด “กลุ่มที่สามเริ่มเถอะ!” ฉู่เนี่ยนซีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหัวข้อต่อ ๆ ไปก็เป็นฉู่เนี่ยนซีคนแรกที่ตอบ นั่นทำให้ทุกคนที่เอ่ยคำครหาในตอนแรกกลายเป็นพูดไม่ออก แม้ว่าซ่างกวานเยียนจะจงใจให้หัวข้อที่ยาก แต่นางก็ตอบได้อย่างคล่องแคล่ว จึงทำให้นางอิจฉาและโกรธอย่างหนัก!
“ใช่ คุณหนูหว่านเอ๋อร์บอกว่านางเคยเห็นมันในห้องทำงานของท่านมหาเสนาบดีฉู่ นั่นไม่ใช่บทกวีที่นางแต่งเอง นางไปลอกมาต่างหาก!” เย่เฟยหลีมองไปยังฉู่หว่านเอ๋อร์ด้วยดวงตาคมกริบ ขณะที่เขากำลังจะพูด ฉู่เนี่ยนซีก็จับมือของเขาไว้ จากนั้นนางก็ยืนขึ้นและเดินไปหาฉู่หว่านเอ๋อร์ “เจ้าหมายความว่าเคยเห็นบทกวีเหล่านี้ในห้องทำงานของพ่อข้าหรือ?” ฉู่หว่านเอ๋อร์มองเข้าไปในดวงตาคมปราดของนาง จู่ ๆ ความกดดันก็เกิดขึ้นภายในใจ นางบีบต้นขาตัวเองไว้ พยายามข่มใจไม่ให้กลัว “หว่านเอ๋อร์เคยเห็น...” “เจ้าต้องคิดให้ถี่ถ้วน! หากเจ้าใส่ร้ายพระชายาด้วยเหตุผลนี้ เจ้าจะต้องถูกโบย” ไม่ทันที่ฉู่หว่านเอ๋อร์จะพูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง ฉู่หว่านเอ๋อร์ตัวสั่นและพยายามครุ่นคิด ซ่างกวานเยียนเห็นดังนั้น นางก็รีบเอาตัวเข้ามาบังทันทีและพูดว่า "พี่หญิง เหตุใดต้องพูดจารุนแรงขนาดนี้? น้องหว่านเอ๋อร์เป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง หากท่านทำเช่นนี้ เกรงว่านางคงจะไม่กล้าพูดอะไรต่อแล้ว” ซ่างกวานเยียนไม่ได้พูดตรง ๆ แต่บอกทุกคนด้วยคำพูดเป็นนัย ๆ ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังบังคับให้ฉู่หว่านเอ๋อร์โกหกเพื่อปกปิดความผิดให้ตัวเอง นั
พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็หันหลังและเดินไปหาบุคคลที่รับผิดชอบในการจดบันทึก “เจ้าหลีกไปทีสิ!”ได้ยินเช่นนั้น แม้คนรับใช้ก็มีความคิดเห็นบางอย่างเกี่ยวกับพระชายาที่ลอกผลงานคนอื่นด้วยเหมือนกัน แต่พวกเขาไม่สามารถตำหนินางเหมือนคุณชายคุณหนูคนอื่น ๆ ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงลุกออกไปอย่างว่าง่าย ฉู่เนี่ยนซีนั่งตรงที่นั่งของเขา จับปากกาขีดเขียนบางอย่างบนกระดาษ หลังจากนั้นไม่นาน นางก็วางปากกาและถือกระดาษแผ่นนั้นไว้ในมือ เมื่อเห็นดังนั้น ทุกคนก็ก้าวไปข้างหน้าทีละคน และเห็นว่าลายมือบนกระดาษสีขาวนั้นดูทรงพลัง หากไม่ใช่เพราะฉู่เนี่ยนซีเป็นคนเขียน คงคิดว่าสิ่งนี้เขียนโดยนักเขียนตัวอักษรผู้ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน บทกวีนี้ทำให้ผู้คนประหลาดใจ แต่เมื่อพวกเขานึกถึงการลอกผลงานของฉู่เนี่ยนซีต่างก็ส่ายหน้า ไม่ว่าลายมือจะดีเพียงใด แต่ขาดศีลธรรมเช่นนี้ทุกอย่างก็เสียเปล่า! ในขณะที่ทุกคนกำลังถอนหายใจ เสียงของฉู่เนี่ยนซีก็ดังขึ้น “บทกวีเช่นนี้เจ้าก็เคยเห็นรึ?!” ฉู่หว่านเอ๋อร์เดินไปอ่านบทกวีสี่ท่อนที่เขียนไว้บนกระดาษสีขาว “เห็นดวงจันทร์บนนภา รู้สึกสงสัยเจ้ามีมาแต่คราใด จึงต้องวางจอกสุราแล้วถามไถ่ อยากปีน
ไม่ว่าอย่างไร นางก็ยังยืนกรานที่จะบดขยี้อีกฝ่ายให้ได้! นางถูกเอาอกเอาใจอยู่เสมอและมีฐานะโดดเด่นมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งนางก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลฉู่ เหตุใดถึงต้องระเห็จไปอยู่กับมารดาในสถานที่ที่ไกลจากบ้านเกิดของตัวเองโดยอาศัยอยู่ใต้ชายคาของคนอื่นด้วยเล่ส?! ดังนั้น ต้องทำให้ชื่อเสียงของฉู่เนี่ยนซีป่นปี้ไปตลอดชีวิตให้ได้! “แม้ว่าหว่านเอ๋อจะจิตใจไม่เข้มแข็งนัก แต่ก็ทนเห็นทุกคนหน้ามืดตามัวอยู่เช่นนั้นไม่ได้ หม่อมฉันหวังว่าพี่หญิงจะยกโทษให้!” ฉู่หว่านเอ๋อร์พูดด้วยใบหน้าที่ใจดีและโค้งคำนับให้ฉู่เนี่ยนซี และยังพูดต่อว่า “นี่คือบทกวีที่หม่อมฉันเห็นตอนนั้น เมื่อครู่หม่อมฉันจำไม่ได้ว่ามีกี่บท แต่ตอนนี้หม่อมฉันจำได้อย่างแม่นยำเลยทีเดียวเพคะ” “ลองดูให้ละเอียดกว่านี้ เอาให้แน่ใจว่าเป็นบทกวีเดียวกันกับที่เจ้าเคยเห็น ไม่ผิดเพี้ยนไปเลยสักตัวอักษรเดียวรึ!” เมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยินสิ่งที่ฉู่หว่านเอ๋อร์พูด เสียงที่ตื่นตัวของนางก็ดังขึ้นทันที ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธ เห็นได้ชัดว่าดูเหมือนกำลังถูกเร่งเร้า เห็นเช่นนั้น เย่เฟยหลีก็รู้สึกกังวล เขาไม่เคยเห็นฉู่เนี่ยนซีหงุดหงิดขนาดนี้มาก่อน!
ใบหน้าของฉู่หว่านเอ๋อร์แดงก่ำและตื่นตระหนก แต่นางก็ไม่มีทางปฏิเสธได้ เหตุการณ์ที่พลิกผันนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ฉู่หว่านเอ๋อร์หน้าแดง แต่ยังทำให้คนที่เพิ่งกังขาในตัวกับฉู่เนี่ยนซีต้องก้มหน้าด้วยความอับอาย แต่เมื่อพวกเขาคิดได้ว่าหากไม่ใช่เป็นเพราะฉู่หว่านเอ๋อร์ ตัวเองคงไม่ดูถูกฉู่เนี่ยนซีเช่นก่อนหน้านี้ พวกเขาจึงมองนางด้วยสายตาที่โกรธแค้น ตอนนี้ความจริงก็ถูกเปิดเผยแล้วว่าฉู่หว่านเอ๋อร์เป็นคนโกหก “สตรีเช่นนี้ไม่มีจิตสำนึกเอาเสียเลย คาดไม่ถึงว่านางจะกล้าใส่ร้ายพี่สาวของตัวเอง!” “หากพระชายาหลีไม่ฉลาดขนาดนี้ แม้จะกระโดดลงแม่น้ำฮวงโหก็คงไม่อาจล้างมลทินได้!” “พระชายาหลีช่างจิตใจดีจริง ๆ มิน่าล่ะ ถึงถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเคยเห็นบทกวีเหล่านี้จริง ๆ หรือไม่ นั่นคงเป็นการมอบโอกาสให้นางได้กลับใจ!” “นั่นสิ ตอนนั้นที่ฉู่หว่านเอ๋อร์พูดดูมีเหตุผลมาก แต่ตอนนี้กลับเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ! คนเช่นนี้ควรได้รับการลงโทษที่เด็ดขาด!” “ใช่! นำตัวไปโบยเสียเดี๋ยวนี้เลยจะดีกว่า...” ทุกคนตะโกนราวกับว่าพวกเขาเป็นคนที่ถูกใส่ร้ายเสียเอง ทำราวกับไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็คงไม่อาจบรรเทาความโกรธของพวกเขาได้ ฉู่หว่า
ทุกคนช่วยกันเรียก แต่ก็ไม่มีการตอบสนอง ฉู่เนี่ยนซีก้าวไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเฉยเมยและจิ้มเข็มเงินสองสามเข็มลงไปตรงจุดฝังเข็มของนาง จู่ ๆ ฉู่หว่านเอ๋อร์ก็ไอและสำลักน้ำออกมา เมื่อเห็นว่าฉู่หว่านเออร์ตื่นแล้ว เย่เหลียนที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นว่า “พาคุณหนูหว่านเอ๋อร์ไปพักผ่อนที่ห้องข้าง ๆ โถงใหญ่ เรือเทียบท่าแล้วค่อยว่ากันอีกที!” สายตาของฉู่หว่านเอ๋อร์เจ็บปวดเมื่อเห็นผู้ชายที่นางโหยหาไม่ตามดูแล แต่ก็ยังขอให้ใครสักคนพานางไปพักผ่อน นี่เขาชอบนางหรือไม่? เมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงถูกพาไปที่ห้องด้านข้างด้วยความสุขใจ เมื่อฉู่หว่านเอ๋อร์ออกจากฉากไปแล้ว ทุกคนก็อ่านบทกวีของฉูนี่ยนซีต่อ พลางชื่นชมและพูดคุยกันอย่างจริงใจ แต่ฉู่เนี่ยนซีกลับไม่รู้สึกดีกับคำสรรเสริญเยินยอเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย เอาแต่ทำสีหน้าเรียบเฉย ซึ่งทำให้ทุกคนนางในทางที่สูงส่งมากขึ้น มีเพียงฉู่เนี่ยนซีเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองเพิ่งยืมบทกวีของหลี่ไป๋มาใช้ แต่ถึงจะอธิบายไปก็กลัวคนจะคิดว่าตัวเองบ้า “เจ้าไม่จำเป็นต้องชมข้าหรอก ฉู่หว่านเอ๋อร์บอกว่าข้าลอกผลงานมา ซึ่งนางก็พูดถูก เพราะนี่เป็นบทกวีของปรมาจารย์จริง ๆ เราพบกันในความฝัน
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย