ฉู่เนี่ยนซีมองไปยังมือที่ยื่นมาของเย่เฟยหลีและกระตุกมุมปาก เขากำลังทำอะไร? แต่การจัดตั้งกลุ่มก็จำเป็นต้องมีคนจำนวนสี่คนและจะดีกว่าถ้าเย่เฟยหลีเข้าร่วมด้วย ฉู่เนี่ยนซีจึงยิ้มและจับมือกับเย่เฟยหลี สัมผัสที่เย็นและนุ่มนวลบนมือของเขาทำให้มุมปากของเย่เฟยหลียกขึ้นเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเย่เหลียนที่อยู่อีกด้านเห็นสิ่งนี้ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นและลุกขึ้นยืนทันที “ข้าขอถามว่าข้าจะเข้าร่วมกลุ่มด้วยได้หรือไม่?!” หลังจากพูดจบ เย่เหลียนก็ยื่นมือมา พร้อมรอยยิ้มที่คิดว่ามีเสน่ห์ และมองตรงไปยังฉู่เนี่ยนซี ฉู่เนี่ยนซีคาดไม่ถึงว่าเขาจะอยากเข้าร่วมกลุ่มของพวกนางด้วย แต่นางก็ไม่กังวลว่าเขาจะวางแผนอะไรมา เพราะท้ายที่สุดแล้วหากเขาแพ้ก็จะไม่ดีต่อชื่อเสียงของเขาเอง และเห็นได้ชัดว่าในตอนนี้นอกจากพวกเขาแล้วก็ไม่มีใครอยากอยู่กลุ่มเดียวกับนาง เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีก็พยักหน้าและกำลังจะพูด เย่เฟยหลีที่อยู่ข้าง ๆ ก็เป็นฝ่ายเอื้อมมือไปจับมือเย่เหลียนแทน จากนั้นเสียงเย็น ๆ ก็ดังขึ้น “ยินดีต้อนรับ!” สีหน้าของเย่เหลียนขรึมขึ้นเล็กน้อย เขาดึงมือกลับ จ้องมองไปยังเย่เฟยหลีด้วยท่าทางรัง
“ยังเพคะ!” เย่เหลียนตะลึง ‘ยังรึ? นางจงใจทำให้เรื่องแย่ลงหรือ?’ นั่นยิ่งทำให้เย่เหลียนขมวดคิ้ว ‘หรือว่านางเคยมีเพียงโอกาสได้ศึกษาแค่ความรู้ด้านการแพทย์? ส่วนความรู้ด้านอื่น ๆ ไม่มีเลย?’ ขณะที่ครุ่นคิด ก็ได้ยินเสียงของฉู่เนี่ยนซีพูดขึ้นอีกครั้ง “หม่อมฉันเป็นหัวหน้ากลุ่ม จะให้พวกท่านตอบคำถามแทนเช่นนั้นหรือ?” “แต่หัวข้อจะยากขึ้นเรื่อย ๆ ฉะนั้นเจ้าควรตอบหัวข้อนี้ก่อน” “ไม่ล่ะเพคะ! หม่อมฉันชอบที่จะทำให้ทุกอย่างจบในคราวเดียว!” หลังจากพูดเช่นนั้น ฉู่เนี่ยนซีก็จิบชาต่อไป เย่เฟยหลีเห็นฉู่เนี่ยนซีที่จิบชาต่ออย่างเป็นธรรมชาติ ก็มีเสียงเย็นชาดังออกมาจากริมฝีปากบางอันเย้ายวนของเขา “ความมืดมิดที่บดบังตาถูกคลายออกด้วยพื้นผิวของทะเลสาบ เผยให้เห็นทองที่ตั้งตระหง่านอยู่ทางต้นทะเลสาบ สิ่งที่คิดว่าเป็นเรื่องจริงที่แท้เป็นเพียงการปิดบังความชั่วร้ายที่อยู่เบื้องหลัง” พูดจบ ทุกคนก็ตกตะลึง บรรดาคนที่คิดออกแล้วและยังคิดไม่ออกต่างก็หยุดเคลื่อนไหวและดื่มด่ำกับแนวความคิดทางศิลปะของบทกวีของเขาอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไรอีก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเย่เฟยหลีชนะในหัวข้อนี้ ซ่างกวานเยียนมองเขาด้วยแววตาชื่น
ฉู่เนี่ยนซีไม่รู้ว่าเย่เฟยหลีมีความรู้สึกเกี่ยวกับบทกวีที่นางยืมมาเช่นนั้น เย่เหลียนที่อยู่ข้าง ๆ ก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน และเมื่อรู้สึกตัว เขาก็ปรบมือขึ้นสองสามครั้ง ตามด้วยเสียงปรบมือของคนอื่น ๆ บนเรือ คนรับใช้ที่รับผิดชอบในการบันทึกที่อยู่ด้านข้างก็รีบถอดความออกมา “นี่มันพรสวรรค์ชัด ๆ” “แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าพระชายาหลีจะเก่งด้านบทกวี นี่นางถ่อมตัวปิดบังความสามารถไว้จริง ๆ หรือ?” “แต่ข้าไม่คิดอย่างนั้น หากนางมีความรู้ขนาดนี้ จะยอมโดนดูถูกมานานหลายปีโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร บางทีบทกวีนี้อาจจะมีคนอื่นเขียนให้ในตอนเช้าตรู่” “เจ้าหมายถึงท่านอ๋องหลี…” “ชู่...หยุดพูดได้แล้ว” แม้ว่าทุกคนตั้งใจลดเสียงลง แต่ฉู่เนี่ยนซีก็ยังได้ยินชัดเจน นางไม่รีบปฏิเสธ เพราะความแข็งแกร่งคือคำอธิบายที่ดีที่สุด “กลุ่มที่สามเริ่มเถอะ!” ฉู่เนี่ยนซีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหัวข้อต่อ ๆ ไปก็เป็นฉู่เนี่ยนซีคนแรกที่ตอบ นั่นทำให้ทุกคนที่เอ่ยคำครหาในตอนแรกกลายเป็นพูดไม่ออก แม้ว่าซ่างกวานเยียนจะจงใจให้หัวข้อที่ยาก แต่นางก็ตอบได้อย่างคล่องแคล่ว จึงทำให้นางอิจฉาและโกรธอย่างหนัก!
“ใช่ คุณหนูหว่านเอ๋อร์บอกว่านางเคยเห็นมันในห้องทำงานของท่านมหาเสนาบดีฉู่ นั่นไม่ใช่บทกวีที่นางแต่งเอง นางไปลอกมาต่างหาก!” เย่เฟยหลีมองไปยังฉู่หว่านเอ๋อร์ด้วยดวงตาคมกริบ ขณะที่เขากำลังจะพูด ฉู่เนี่ยนซีก็จับมือของเขาไว้ จากนั้นนางก็ยืนขึ้นและเดินไปหาฉู่หว่านเอ๋อร์ “เจ้าหมายความว่าเคยเห็นบทกวีเหล่านี้ในห้องทำงานของพ่อข้าหรือ?” ฉู่หว่านเอ๋อร์มองเข้าไปในดวงตาคมปราดของนาง จู่ ๆ ความกดดันก็เกิดขึ้นภายในใจ นางบีบต้นขาตัวเองไว้ พยายามข่มใจไม่ให้กลัว “หว่านเอ๋อร์เคยเห็น...” “เจ้าต้องคิดให้ถี่ถ้วน! หากเจ้าใส่ร้ายพระชายาด้วยเหตุผลนี้ เจ้าจะต้องถูกโบย” ไม่ทันที่ฉู่หว่านเอ๋อร์จะพูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง ฉู่หว่านเอ๋อร์ตัวสั่นและพยายามครุ่นคิด ซ่างกวานเยียนเห็นดังนั้น นางก็รีบเอาตัวเข้ามาบังทันทีและพูดว่า "พี่หญิง เหตุใดต้องพูดจารุนแรงขนาดนี้? น้องหว่านเอ๋อร์เป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง หากท่านทำเช่นนี้ เกรงว่านางคงจะไม่กล้าพูดอะไรต่อแล้ว” ซ่างกวานเยียนไม่ได้พูดตรง ๆ แต่บอกทุกคนด้วยคำพูดเป็นนัย ๆ ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังบังคับให้ฉู่หว่านเอ๋อร์โกหกเพื่อปกปิดความผิดให้ตัวเอง นั
พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็หันหลังและเดินไปหาบุคคลที่รับผิดชอบในการจดบันทึก “เจ้าหลีกไปทีสิ!”ได้ยินเช่นนั้น แม้คนรับใช้ก็มีความคิดเห็นบางอย่างเกี่ยวกับพระชายาที่ลอกผลงานคนอื่นด้วยเหมือนกัน แต่พวกเขาไม่สามารถตำหนินางเหมือนคุณชายคุณหนูคนอื่น ๆ ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงลุกออกไปอย่างว่าง่าย ฉู่เนี่ยนซีนั่งตรงที่นั่งของเขา จับปากกาขีดเขียนบางอย่างบนกระดาษ หลังจากนั้นไม่นาน นางก็วางปากกาและถือกระดาษแผ่นนั้นไว้ในมือ เมื่อเห็นดังนั้น ทุกคนก็ก้าวไปข้างหน้าทีละคน และเห็นว่าลายมือบนกระดาษสีขาวนั้นดูทรงพลัง หากไม่ใช่เพราะฉู่เนี่ยนซีเป็นคนเขียน คงคิดว่าสิ่งนี้เขียนโดยนักเขียนตัวอักษรผู้ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน บทกวีนี้ทำให้ผู้คนประหลาดใจ แต่เมื่อพวกเขานึกถึงการลอกผลงานของฉู่เนี่ยนซีต่างก็ส่ายหน้า ไม่ว่าลายมือจะดีเพียงใด แต่ขาดศีลธรรมเช่นนี้ทุกอย่างก็เสียเปล่า! ในขณะที่ทุกคนกำลังถอนหายใจ เสียงของฉู่เนี่ยนซีก็ดังขึ้น “บทกวีเช่นนี้เจ้าก็เคยเห็นรึ?!” ฉู่หว่านเอ๋อร์เดินไปอ่านบทกวีสี่ท่อนที่เขียนไว้บนกระดาษสีขาว “เห็นดวงจันทร์บนนภา รู้สึกสงสัยเจ้ามีมาแต่คราใด จึงต้องวางจอกสุราแล้วถามไถ่ อยากปีน
ไม่ว่าอย่างไร นางก็ยังยืนกรานที่จะบดขยี้อีกฝ่ายให้ได้! นางถูกเอาอกเอาใจอยู่เสมอและมีฐานะโดดเด่นมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งนางก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลฉู่ เหตุใดถึงต้องระเห็จไปอยู่กับมารดาในสถานที่ที่ไกลจากบ้านเกิดของตัวเองโดยอาศัยอยู่ใต้ชายคาของคนอื่นด้วยเล่ส?! ดังนั้น ต้องทำให้ชื่อเสียงของฉู่เนี่ยนซีป่นปี้ไปตลอดชีวิตให้ได้! “แม้ว่าหว่านเอ๋อจะจิตใจไม่เข้มแข็งนัก แต่ก็ทนเห็นทุกคนหน้ามืดตามัวอยู่เช่นนั้นไม่ได้ หม่อมฉันหวังว่าพี่หญิงจะยกโทษให้!” ฉู่หว่านเอ๋อร์พูดด้วยใบหน้าที่ใจดีและโค้งคำนับให้ฉู่เนี่ยนซี และยังพูดต่อว่า “นี่คือบทกวีที่หม่อมฉันเห็นตอนนั้น เมื่อครู่หม่อมฉันจำไม่ได้ว่ามีกี่บท แต่ตอนนี้หม่อมฉันจำได้อย่างแม่นยำเลยทีเดียวเพคะ” “ลองดูให้ละเอียดกว่านี้ เอาให้แน่ใจว่าเป็นบทกวีเดียวกันกับที่เจ้าเคยเห็น ไม่ผิดเพี้ยนไปเลยสักตัวอักษรเดียวรึ!” เมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยินสิ่งที่ฉู่หว่านเอ๋อร์พูด เสียงที่ตื่นตัวของนางก็ดังขึ้นทันที ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธ เห็นได้ชัดว่าดูเหมือนกำลังถูกเร่งเร้า เห็นเช่นนั้น เย่เฟยหลีก็รู้สึกกังวล เขาไม่เคยเห็นฉู่เนี่ยนซีหงุดหงิดขนาดนี้มาก่อน!
ใบหน้าของฉู่หว่านเอ๋อร์แดงก่ำและตื่นตระหนก แต่นางก็ไม่มีทางปฏิเสธได้ เหตุการณ์ที่พลิกผันนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ฉู่หว่านเอ๋อร์หน้าแดง แต่ยังทำให้คนที่เพิ่งกังขาในตัวกับฉู่เนี่ยนซีต้องก้มหน้าด้วยความอับอาย แต่เมื่อพวกเขาคิดได้ว่าหากไม่ใช่เป็นเพราะฉู่หว่านเอ๋อร์ ตัวเองคงไม่ดูถูกฉู่เนี่ยนซีเช่นก่อนหน้านี้ พวกเขาจึงมองนางด้วยสายตาที่โกรธแค้น ตอนนี้ความจริงก็ถูกเปิดเผยแล้วว่าฉู่หว่านเอ๋อร์เป็นคนโกหก “สตรีเช่นนี้ไม่มีจิตสำนึกเอาเสียเลย คาดไม่ถึงว่านางจะกล้าใส่ร้ายพี่สาวของตัวเอง!” “หากพระชายาหลีไม่ฉลาดขนาดนี้ แม้จะกระโดดลงแม่น้ำฮวงโหก็คงไม่อาจล้างมลทินได้!” “พระชายาหลีช่างจิตใจดีจริง ๆ มิน่าล่ะ ถึงถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเคยเห็นบทกวีเหล่านี้จริง ๆ หรือไม่ นั่นคงเป็นการมอบโอกาสให้นางได้กลับใจ!” “นั่นสิ ตอนนั้นที่ฉู่หว่านเอ๋อร์พูดดูมีเหตุผลมาก แต่ตอนนี้กลับเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ! คนเช่นนี้ควรได้รับการลงโทษที่เด็ดขาด!” “ใช่! นำตัวไปโบยเสียเดี๋ยวนี้เลยจะดีกว่า...” ทุกคนตะโกนราวกับว่าพวกเขาเป็นคนที่ถูกใส่ร้ายเสียเอง ทำราวกับไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็คงไม่อาจบรรเทาความโกรธของพวกเขาได้ ฉู่หว่า
ทุกคนช่วยกันเรียก แต่ก็ไม่มีการตอบสนอง ฉู่เนี่ยนซีก้าวไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเฉยเมยและจิ้มเข็มเงินสองสามเข็มลงไปตรงจุดฝังเข็มของนาง จู่ ๆ ฉู่หว่านเอ๋อร์ก็ไอและสำลักน้ำออกมา เมื่อเห็นว่าฉู่หว่านเออร์ตื่นแล้ว เย่เหลียนที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นว่า “พาคุณหนูหว่านเอ๋อร์ไปพักผ่อนที่ห้องข้าง ๆ โถงใหญ่ เรือเทียบท่าแล้วค่อยว่ากันอีกที!” สายตาของฉู่หว่านเอ๋อร์เจ็บปวดเมื่อเห็นผู้ชายที่นางโหยหาไม่ตามดูแล แต่ก็ยังขอให้ใครสักคนพานางไปพักผ่อน นี่เขาชอบนางหรือไม่? เมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงถูกพาไปที่ห้องด้านข้างด้วยความสุขใจ เมื่อฉู่หว่านเอ๋อร์ออกจากฉากไปแล้ว ทุกคนก็อ่านบทกวีของฉูนี่ยนซีต่อ พลางชื่นชมและพูดคุยกันอย่างจริงใจ แต่ฉู่เนี่ยนซีกลับไม่รู้สึกดีกับคำสรรเสริญเยินยอเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย เอาแต่ทำสีหน้าเรียบเฉย ซึ่งทำให้ทุกคนนางในทางที่สูงส่งมากขึ้น มีเพียงฉู่เนี่ยนซีเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองเพิ่งยืมบทกวีของหลี่ไป๋มาใช้ แต่ถึงจะอธิบายไปก็กลัวคนจะคิดว่าตัวเองบ้า “เจ้าไม่จำเป็นต้องชมข้าหรอก ฉู่หว่านเอ๋อร์บอกว่าข้าลอกผลงานมา ซึ่งนางก็พูดถูก เพราะนี่เป็นบทกวีของปรมาจารย์จริง ๆ เราพบกันในความฝัน