ทุกคนช่วยกันเรียก แต่ก็ไม่มีการตอบสนอง ฉู่เนี่ยนซีก้าวไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเฉยเมยและจิ้มเข็มเงินสองสามเข็มลงไปตรงจุดฝังเข็มของนาง จู่ ๆ ฉู่หว่านเอ๋อร์ก็ไอและสำลักน้ำออกมา เมื่อเห็นว่าฉู่หว่านเออร์ตื่นแล้ว เย่เหลียนที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นว่า “พาคุณหนูหว่านเอ๋อร์ไปพักผ่อนที่ห้องข้าง ๆ โถงใหญ่ เรือเทียบท่าแล้วค่อยว่ากันอีกที!” สายตาของฉู่หว่านเอ๋อร์เจ็บปวดเมื่อเห็นผู้ชายที่นางโหยหาไม่ตามดูแล แต่ก็ยังขอให้ใครสักคนพานางไปพักผ่อน นี่เขาชอบนางหรือไม่? เมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงถูกพาไปที่ห้องด้านข้างด้วยความสุขใจ เมื่อฉู่หว่านเอ๋อร์ออกจากฉากไปแล้ว ทุกคนก็อ่านบทกวีของฉูนี่ยนซีต่อ พลางชื่นชมและพูดคุยกันอย่างจริงใจ แต่ฉู่เนี่ยนซีกลับไม่รู้สึกดีกับคำสรรเสริญเยินยอเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย เอาแต่ทำสีหน้าเรียบเฉย ซึ่งทำให้ทุกคนนางในทางที่สูงส่งมากขึ้น มีเพียงฉู่เนี่ยนซีเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองเพิ่งยืมบทกวีของหลี่ไป๋มาใช้ แต่ถึงจะอธิบายไปก็กลัวคนจะคิดว่าตัวเองบ้า “เจ้าไม่จำเป็นต้องชมข้าหรอก ฉู่หว่านเอ๋อร์บอกว่าข้าลอกผลงานมา ซึ่งนางก็พูดถูก เพราะนี่เป็นบทกวีของปรมาจารย์จริง ๆ เราพบกันในความฝัน
ผู้คนรอบ ๆ ที่เห็นไม่อาจละสายตาแห่งความอิจฉาไปได้ พวกเขาไม่ได้วิจารณ์เรื่องรสนิยมประหลาด ของอ๋องหลีอีกต่อไป แต่กลับยกย่องความรักของอ๋องหลีที่มีต่อภรรยาด้วยความประหลาดใจ ฉู่เนี่ยนซีตระหนักได้ว่าบางทีเย่เฟยหลีอาจจะแค่พยายามอวด อย่างไรก็ตาม นางขี้คร้านเกินกว่าจะสนใจซ่างกวานเยียน ดังนั้นมันก็คงจะดีกว่าที่ครั้งนี้พวกนางไม่ได้กลับด้วยกัน คิดได้เช่นนั้น นางก็ผ่อนคลายร่างกายที่ตึงเครียดของตัวเอง ซึ่งทำให้เย่เฟยหลียิ้มมุมปาก จากนั้นจึงส่งเสียงเร่งม้าแล้วควบไปข้างหน้า ซ่างกวานเยียนกัดฟันแน่น เล็บของนางจิกเข้าเนื้อ พลางจ้องมองคนทั้งคู่ที่เริ่มห่างไกลออกไป และเหม่อลอยอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน จนกระทั่งมีเสียงบุรุษดังมาจากด้านหลัง “เจ้าบอกว่าเย่เฟยหลีชอบเจ้าไม่ใช่หรือ? ดูเหมือนวันนี้จะไม่เป็นเช่นนั้นนะ” ซ่างกวานเยียนหันกลับมามองดวงตาเย้าแหย่ของเย่เหลียน คิ้วขมวดมุ่น “ท่านอ๋องเหลียนเองก็เกลียดฉู่เนี่ยนซีไม่ใช่หรือ? วันนี้ดูท่าจะไม่เป็นเช่นนั้นนะเพคะ!” คิงเหลียนหยุดยิ้มในทันใดและเปลี่ยนเป็นสีหน้าเย็นชา พลางเอามือบีบคอของนางแน่น “ใครให้เจ้าบังอาจมาพูดกับข้าเช่นนี้?” ซ่างกวานเยียนรู้สึกว่
เย่เฟยหลีตบฉู่เนี่ยนซีเบา ๆ เพื่อเรียกนาง ฉู่เนี่ยนซีลืมตาขึ้นช้า ๆ “อืม...ถึงแล้วหรือ?” พูดจบ นางก็บิดขี้เกียจและกำลังจะลงจากรถม้า แต่เมื่อเห็นป้ายหน้าประตูนางก็ถึงกับตะลึง จากนั้นเสียงของเย่เฟยหลีก็ดังขึ้น “ท่านพ่อตาไม่สบาย ข้าก็เลยพาเจ้าตรงมาที่นี่เลย” ฉู่เนี่ยนซีเพิกเฉยต่อเสียงเรียกของเย่เฟยหลี เมื่อนางได้ยินว่ามหาเสนาบดีฉู่ป่วย และรีบกระโดดลงจากรถม้าทันที ตามด้วยเย่เฟยหลีที่ตามมาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถานะของฉู่เนี่ยนซี ระหว่างทางจึงไม่มีใครหยุดนาง ทั้งสองถามหามหาเสนาบดีฉู่ จากนั้นจึงรีบเดินไปยังที่หมายโดยเร็ว ก่อนจะเข้าไปในห้อง ก็ได้ยินเสียงของฉู่เจี้ยนอี้ดังมาจากข้างใน “ท่านพ่อ เหตุใดถึงไม่ให้น้องหญิงมาดูหน่อยล่ะขอรับ?” “นั่นสิ เมื่อตอนบ่ายเราไปหาท่านหมอเทวดาซานเซิงที่หอการแพทย์แต่เขาก็บอกว่าเดือนนี้รักษาไปสามคนแล้ว ขอไม่รับคนไข้เพิ่ม แต่ฝีมือของน้องหญิงก็ไม่เป็นสองรองใครนะ อย่าดูถูกนางเชียว” แต่สะใภ้ใหญ่จ้าวม่อเหยียนที่อยู่อีกฝั่งก็โน้มน้าวอย่างอดทนเช่นกัน “ข้ารู้จักร่างกายของท่านพ่อดีที่สุด ท่านแค่เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้นเอง เหตุใดต้องถ่อไปหาหมอเทวดาซานเซิงห
ยิ่งฉู่เนี่ยนซีพูดก็ยิ่งรู้สึกโมโห แม้ใบหน้าของเขาจะซีดเซียวเพียงใด แต่ปากก็ยังบอกว่าไม่เป็นไร เพียงเพื่อให้นางวางใจ ทันใดนั้นความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ก็เกิดขึ้นในใจของนาง พูดจบ ความรู้สึกที่ว่าก็คือความปวดใจที่แล่นเข้ามาถาโถมใส่ พลันทำให้ขอบตานางเริ่มแดงโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนเห็นท่าทางเช่นนี้ของฉู่เนี่ยนซี หลังจากที่นางออกเรือนไป แม้แต่ตอนที่ไทเฮาทำพิธีเซ่นไหว้ครั้งก่อน ขนาดกำลังจะถูกโยนเข้าเตาไฟอยู่รอมร่อ นางก็ยังไม่มีท่าทางเช่นนี้ นั่นจึงทำให้ทุกคนในห้องตื่นตระหนก เย่เฟยหลีขมวดคิ้วและตบหลังนางเบา ๆ ปลอบใจนางอย่างเงียบ ๆ เมื่อมหาเสนาบดีฉู่เห็นท่าทางของลูกสาว เขาก็ทำท่าเหมือนเด็กที่ทำผิดทันที “พ่อผิดไปแล้ว! แค่ก แค่ก...พ่อไม่ควรปิดบังเจ้าเลย! แค่ก แค่ก...ครั้งหน้าพ่อจะไม่ทำอีกแล้ว!” ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าขึ้น หายใจเข้าลึก ๆ แล้วมองไปที่มหาเสนาบดีฉู่อีกครั้ง “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ข้าเป็นลูกสาวของท่าน ไม่ใช่แค่ตอนที่ท่านร่ำรวยมีอำนาจเท่านั้น แม้ท่านจะตกอยู่ในอันตราย ข้าก็ยังคงเป็นลูกของท่าน” “ดังนั้นถ้าเกิดเรื่องไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ต้องบอกข้า!” “ได้! ไ
มหาเสนาบดีฉู่และฮูหยินฉู่มองเขาอย่างเหลือเชื่อ หลังจากนั้นพวกเขาก็ตอบตกลงด้วยความปลาบปลื้มใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า! ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีด้วยท่าทีที่ตื่นเต้นและมีความสุข อีกทั้งยังรู้สึกซาบซึ้งใจ ไม่ว่ามันจะเป็นจริงหรือไม่ แต่เย่เฟยหลีก็ช่วยรักษาหน้านางได้มากพอแล้ว! และทำให้พ่อแม่ของนางวางใจได้อีกด้วย “ท่านแม่ ให้ข้าไปดีกว่า” ฉู่เนี่ยนซีจับมือฮูหยินฉู่แล้วพูดต่อ “จากสถานการณ์ของท่านพ่อในตอนนี้ ท่านคงไม่รู้ว่าอาหารอะไรที่ท่านพ่อกินได้บ้าง! การทำอาหารเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว ท่านวางใจเถอะ” จากนั้นฉู่เนี่ยนซีก็หันหลังก้าวออกจากห้องโดยไม่อยู่รอคำตอบ เย่เฟยหลีมองตามหลังนางไป รู้ว่าที่นี่คือจวนมหาเสนาบดีฉู่ คงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงไม่ตามนางไป เพียงแต่อยู่ร่วมวงสนทนากับมหาเสนาบดีฉู่ต่อ “เมื่อครู่ คนของท่านอ๋องเหลียนพาฉู่หว่านเอ๋อร์กลับมา! กระหม่อมเองก็ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นบนเรือแล้ว” ต้องขอบคุณการรักษาของฉู่เนี่ยนซีที่ทำให้สีหน้าของมหาเสนาบดีฉู่ดีขึ้น จนเขามีแรงพอที่จะพูดคุย เขาลุกขึ้นนั่งและทำมือคำนับเย่เฟยหลี “ตาแก่คนนี้ขอขอบคุณท่านอ๋องหลีที่ปกป้องลูกสาวของกระหม่อม!”
หลังจากนั้นไม่นาน อาหารก็ถูกส่งไปยังห้องของมหาเสนาบดีฉู่พร้อมกันกับที่ฉู่เจี้ยนอี้ที่กลับมาได้สักพักแล้ว ทุกคนตื่นตะลึงเมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะ ก่อนหน้านี้ตอนที่ได้ยินว่านางจะทำอาหาร ก็นึกว่านางแค่แสดงออกถึงความพยายาม และมหาเสนาบดีฉู่กับภรรยาก็ไม่ได้ห้ามปรามนางเพราะความกตัญญูที่นางแสดงออกมา แต่ตอนนี้ดู ๆ แล้วเหมือนว่านางจะทำอาหารเป็นจริง ๆ ฉู่เนี่ยนซีมองสีหน้าสับสนของพวกเขา กลัวว่าพวกเขาจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ นางจึงรีบหยิบตะเกียบคีบอาหารให้พวกเขา “ท่านพ่อกิน ท่านแม่กิน” “ท่านพี่กับพี่สะใภ้ลองชิมดูสิ!” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็หยิบปลาอีกชิ้นมาใส่ชามของเย่เฟยหลีอย่างเงียบ ๆ นางสัมผัสได้ถึงการปกป้องและความน่าเชื่อถือของเขาในวันนี้ รวมไปถึงพฤติกรรมของเขาต่อหน้าบิดามารดาของนาง ล้วนทำให้นางประทับใจ ปลาชิ้นนี้ก็ถือว่าแทนคำขอบคุณ เย่เฟยหลีมองปลาในชามอย่างยิ้มแย้ม เขาคีบมันใส่ปาก “อร่อยนี่!” เมื่อเห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง คนอื่น ๆ ก็พลอยมีความสุขไปด้วย และต่างก็เริ่มจับตะเกียบ ไม่ลองไม่รู้ หากได้กินแล้วคงจะหยุดไม่ได้ ผ่านไปครู่หนึ่งบนโต๊ะก็มีแต่เสียงรับประทานอาหาร และในเวลาไม่นานอาหา
“ยามเฉินกว่า ๆ แล้วเพคะ”‘เกือบจะเก้าโมงแล้ว?’ ฉู่เนี่ยนซีตกใจและลุกจากเตียงอย่างรวดเร็ว “เหตุใดถึงไม่ปลุกข้า?!” “ท่านอ๋องหลีสั่งไว้ในตอนเช้าว่าควรให้ท่านนอนนานกว่านี้อีกหน่อย และขอให้คนรับใช้ไม่ต้องปลุกเพคะ” ฉู่เนี่ยนซีร้องอ๋อเบา ๆ ไม่คิดว่าเย่เฟยหลีจะใส่ใจขนาดนี้ “รีบมาทำผมให้ข้าเถอะ” ไม่นาน ฉู่เนี่ยนซีก็เก็บข้าวของและไปที่เรือนนอนของมหาเสนาบดีฉู่ เนื่องจากอาการของมหาเสนาบดีฉู่เริ่มทรงตัวแล้ว หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีมาถึง เขาจึงขอให้คนอื่น ๆ ไปพักผ่อน ขณะนั้นเหลือเพียงบิดาและลูกสาวอยู่ในห้องเพียงลำพังเท่านั้น มหาเสนาบดีฉู่มองนางอย่างครุ่นคิด “เหตุใดท่านพ่อถึงมองเช่นนั้นเล่า?” มหาเสนาบดีฉู่กลับมามีสติอีกครั้งและชี้ไปยังใบหน้าของนาง “หน้าของเจ้า...” ฉู่เนี่ยนซีแตะที่แผลเป็นแล้วพยักหน้า “ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ!” “พ่อขอดูหน่อย...ได้หรือไม่?” มหาเสนาบดีฉู่ดูเหมือนจะรู้เรื่องนี้แล้วเลยไม่แปลกใจ แต่เขาก็ลังเลก่อนจะพูดออกมา ฉู่เนี่ยนซีหยิบยาขวดเล็กออกมาโดยปราศจากความลังเลแล้วทาลงบนแผลเป็น มหาเสนาบดีมองการกระทำของนางโดยไม่กระพริบตา เขากำมือแน่น รู้สึกไม่สบายใจ ผิวหนังปลอม
แม้ว่าจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่อุทยานแห่งวังหลวงก็ยังคงดูเหมือนฤดูใบไม้ผลิ ยังมีดอกไม้และพืชนานาชนิดบานสะพรั่ง ดอกเบญจมาศอันล้ำค่าหลากสีสันเรียงกันตามลำดับ ฉู่เนี่ยนซีเดินชื่นชมมาตลอดทางจนกระทั่งมาถึงศาลาจัดเลี้ยง ในหมู่พวกนางมีสตรีสูงศักดิ์หลายคนที่สังกัดอยู่ในพระราชวัง อีกทั้งนางสนมที่สังกัดในวังหลังล้วนกำลังยืนไม่ก็นั่งอยู่ในศาลากันอยู่แล้ว สาวงามมากมาย พูดคุยหัวเราะช่างเป็นภาพที่น่าดู ฉู่กุ้ยเฟยดีใจกับการตั้งครรภ์มากจึงไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยง ส่วนฮองเฮานั้นอ้างว่าป่วยจึงไม่ได้มาเช่นกัน นั่นทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ฉู่เนี่ยนซีสวมชุดสีอ่อนแล้วเดินมาอย่างเชื่องช้า เห็นดังนั้นทุกคนจึงหยุดหัวเราะ “นั่นใครกัน?” “จะเป็นใครไปได้อีกล่ะ? ในเมืองรัตติกาลนี้ คนผู้เดียวที่มีรูปลักษณ์อันน่ายกย่องเช่นนี้ก็คือบุตรสาวของมหาเสนาบดีฉู่ พระชายาหลีอย่างไรเล่า” “พระชายาหลี? ไทเฮาเชิญนางมาด้วยหรือ?” “คนอื่นเขาเป็นชายาของเชื้อพระวงศ์อย่างเป็นทางการ ดังนั้นก็ย่อมมาได้อยู่แล้ว แต่สนมลี่ เจ้านี่สิ ก่อนหน้านี้เจ้าถูกสั่งกักบริเวณนี่ หากจะไม่มาก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” เมื่อผู้พูดพูดจบ ก็