หลังจากนั้นไม่นาน อาหารก็ถูกส่งไปยังห้องของมหาเสนาบดีฉู่พร้อมกันกับที่ฉู่เจี้ยนอี้ที่กลับมาได้สักพักแล้ว ทุกคนตื่นตะลึงเมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะ ก่อนหน้านี้ตอนที่ได้ยินว่านางจะทำอาหาร ก็นึกว่านางแค่แสดงออกถึงความพยายาม และมหาเสนาบดีฉู่กับภรรยาก็ไม่ได้ห้ามปรามนางเพราะความกตัญญูที่นางแสดงออกมา แต่ตอนนี้ดู ๆ แล้วเหมือนว่านางจะทำอาหารเป็นจริง ๆ ฉู่เนี่ยนซีมองสีหน้าสับสนของพวกเขา กลัวว่าพวกเขาจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ นางจึงรีบหยิบตะเกียบคีบอาหารให้พวกเขา “ท่านพ่อกิน ท่านแม่กิน” “ท่านพี่กับพี่สะใภ้ลองชิมดูสิ!” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็หยิบปลาอีกชิ้นมาใส่ชามของเย่เฟยหลีอย่างเงียบ ๆ นางสัมผัสได้ถึงการปกป้องและความน่าเชื่อถือของเขาในวันนี้ รวมไปถึงพฤติกรรมของเขาต่อหน้าบิดามารดาของนาง ล้วนทำให้นางประทับใจ ปลาชิ้นนี้ก็ถือว่าแทนคำขอบคุณ เย่เฟยหลีมองปลาในชามอย่างยิ้มแย้ม เขาคีบมันใส่ปาก “อร่อยนี่!” เมื่อเห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง คนอื่น ๆ ก็พลอยมีความสุขไปด้วย และต่างก็เริ่มจับตะเกียบ ไม่ลองไม่รู้ หากได้กินแล้วคงจะหยุดไม่ได้ ผ่านไปครู่หนึ่งบนโต๊ะก็มีแต่เสียงรับประทานอาหาร และในเวลาไม่นานอาหา
“ยามเฉินกว่า ๆ แล้วเพคะ”‘เกือบจะเก้าโมงแล้ว?’ ฉู่เนี่ยนซีตกใจและลุกจากเตียงอย่างรวดเร็ว “เหตุใดถึงไม่ปลุกข้า?!” “ท่านอ๋องหลีสั่งไว้ในตอนเช้าว่าควรให้ท่านนอนนานกว่านี้อีกหน่อย และขอให้คนรับใช้ไม่ต้องปลุกเพคะ” ฉู่เนี่ยนซีร้องอ๋อเบา ๆ ไม่คิดว่าเย่เฟยหลีจะใส่ใจขนาดนี้ “รีบมาทำผมให้ข้าเถอะ” ไม่นาน ฉู่เนี่ยนซีก็เก็บข้าวของและไปที่เรือนนอนของมหาเสนาบดีฉู่ เนื่องจากอาการของมหาเสนาบดีฉู่เริ่มทรงตัวแล้ว หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีมาถึง เขาจึงขอให้คนอื่น ๆ ไปพักผ่อน ขณะนั้นเหลือเพียงบิดาและลูกสาวอยู่ในห้องเพียงลำพังเท่านั้น มหาเสนาบดีฉู่มองนางอย่างครุ่นคิด “เหตุใดท่านพ่อถึงมองเช่นนั้นเล่า?” มหาเสนาบดีฉู่กลับมามีสติอีกครั้งและชี้ไปยังใบหน้าของนาง “หน้าของเจ้า...” ฉู่เนี่ยนซีแตะที่แผลเป็นแล้วพยักหน้า “ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ!” “พ่อขอดูหน่อย...ได้หรือไม่?” มหาเสนาบดีฉู่ดูเหมือนจะรู้เรื่องนี้แล้วเลยไม่แปลกใจ แต่เขาก็ลังเลก่อนจะพูดออกมา ฉู่เนี่ยนซีหยิบยาขวดเล็กออกมาโดยปราศจากความลังเลแล้วทาลงบนแผลเป็น มหาเสนาบดีมองการกระทำของนางโดยไม่กระพริบตา เขากำมือแน่น รู้สึกไม่สบายใจ ผิวหนังปลอม
แม้ว่าจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่อุทยานแห่งวังหลวงก็ยังคงดูเหมือนฤดูใบไม้ผลิ ยังมีดอกไม้และพืชนานาชนิดบานสะพรั่ง ดอกเบญจมาศอันล้ำค่าหลากสีสันเรียงกันตามลำดับ ฉู่เนี่ยนซีเดินชื่นชมมาตลอดทางจนกระทั่งมาถึงศาลาจัดเลี้ยง ในหมู่พวกนางมีสตรีสูงศักดิ์หลายคนที่สังกัดอยู่ในพระราชวัง อีกทั้งนางสนมที่สังกัดในวังหลังล้วนกำลังยืนไม่ก็นั่งอยู่ในศาลากันอยู่แล้ว สาวงามมากมาย พูดคุยหัวเราะช่างเป็นภาพที่น่าดู ฉู่กุ้ยเฟยดีใจกับการตั้งครรภ์มากจึงไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยง ส่วนฮองเฮานั้นอ้างว่าป่วยจึงไม่ได้มาเช่นกัน นั่นทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ฉู่เนี่ยนซีสวมชุดสีอ่อนแล้วเดินมาอย่างเชื่องช้า เห็นดังนั้นทุกคนจึงหยุดหัวเราะ “นั่นใครกัน?” “จะเป็นใครไปได้อีกล่ะ? ในเมืองรัตติกาลนี้ คนผู้เดียวที่มีรูปลักษณ์อันน่ายกย่องเช่นนี้ก็คือบุตรสาวของมหาเสนาบดีฉู่ พระชายาหลีอย่างไรเล่า” “พระชายาหลี? ไทเฮาเชิญนางมาด้วยหรือ?” “คนอื่นเขาเป็นชายาของเชื้อพระวงศ์อย่างเป็นทางการ ดังนั้นก็ย่อมมาได้อยู่แล้ว แต่สนมลี่ เจ้านี่สิ ก่อนหน้านี้เจ้าถูกสั่งกักบริเวณนี่ หากจะไม่มาก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” เมื่อผู้พูดพูดจบ ก็
“จะ...เจ้าพูดอะไรไร้สาระ! ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย” จู่ ๆ เจี่ยงจาวอวิ๋นก็ตื่นตระหนก หลังจากได้ยินคำพูดของฉู่เนี่ยนซีและสัมผัสได้ถึงรัศมีรอบตัวนาง แต่สุดท้ายก็ยังพูดออกไปอย่างกล้าหาญ ทันใดนั้นฉู่เนี่ยนซีก็ยิ้มและลุกขึ้นยืน พลางมองทุกคนด้วยสายตาเย็นชา “พวกท่านคิดว่าใครกันที่กำลังพูดเรื่องไร้สาระ?” ทุกคนที่กำลังดูอยู่เงียบ ๆ แต่เมื่อถูกฉู่เนี่ยนซีถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน ก็ทำให้ทุกคนอึ้งไป หากเป็นเมื่อก่อนพวกนางคงจะเลือกติดตามพระชายาเหลียนโดยไม่ลังเล แต่ตอนนี้จุดเด่นของฉู่เนี่ยนซีไม่ใช่สิ่งที่เคยเป็นอีกต่อไป ข่าวลือในวันนี้ล้วนเกี่ยวกับนางเกือบทั้งหมด ว่ากันว่าความรู้ด้านการแพทย์ของนางอยู่ในระดับที่สูงมาก อีกทั้งคนยังลือกันว่าบุตรชายคนโตของตระกูลฉู่ถูกองค์จักรพรรดิทรงเรียกใช้งานอยู่บ่อย ๆ พวกนางจะกล้าเลือกข้างในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ได้อย่างไร ทุกคนจึงเริ่มแกล้งโง่และทำเป็นไม่ได้ยิน ถึงอย่างนั้นยังมีคนหลายคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจี่ยงจาวอวิ๋นและมักจะประจบประแจงอ๋องเหลียนอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังมีคนที่ทำเป็นไม่ได้ยินข่าวลือและเลือกที่จะปกป้องเจี่ยงจาวอวิ๋นอยู่ด
“สตรีตระกูลฉู่นั่งลงสิ!” ไทเฮาเงยหน้าขึ้น ชี้ไปด้านข้างแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งฉู่เนี่ยนซีอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว นางเป็นชายาของเย่เฟยหลี และถือได้ว่าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของราชวงศ์แล้วไทเฮาเรียกนางว่าสตรีตระกูลฉู่ ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่านางเป็นบุตรสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนของตระกูลฉู่อย่างชัดเจนสิ่งนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการบอกกับทุกคนว่าไทเฮาไม่ยอมรับฉู่เนี่ยนซีเป็นหลานสะใภ้ ทุกคนฉลาดและเข้าใจโดยธรรมชาติว่าไทเฮาหมายถึงสิ่งใดนั่นทำให้พวกนางอดไม่ได้ที่จะมองฉู่เนี่ยนซีไปอีกมุมมอง ในบรรดาสตรีในวังหลัง ไทเฮานั้นมีอำนาจใหญ่ที่สุด หากไทเฮาไม่ชอบใคร ไม่ว่าจะเก่งกาจสักแค่ไหนก็จะไม่มีจุดจบที่ดี ทันใดนั้นเจี่ยงจาวอวิ๋นก็รู้สึกหยิ่งผยองเล็กน้อยขึ้นมาในใจ‘เหอะ เจ้าคนอัปลักษณ์คนนี้ก็เก่งแต่ปากเท่านั้นแหละ!เมื่อคิดเช่นนี้ เจี่ยงจาวอวิ๋นก็เดินไปหาไทเฮาด้วยรอยยิ้มที่สดใส และกล่าวขึ้นว่า "เสด็จย่า นี่เป็นขนมที่อวิ๋นเออร์ทำขึ้นเป็นพิเศษ ลองชิมดูไหมเพคะ?"“ได้สิ!” ไทเฮาหยิบขนมออกมาหักเล็กน้อยก่อนจะนำเข้าปาก “อื้ม อร่อย! สะใภ้รองนี่ช่างใส่ใจดีจริง ๆ!”“หากเสด็จย่าชอบ อวิ๋นเออร์จะทำมามอบให้ท่านทุ
ฉู่เนี่ยนซีมองไปที่ผู้หญิงตรงหน้า ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ และไม่ได้พูดอะไรอีก“ปิ่นปักผมบนศีรษะของพระชายาหลีทำมาอย่างประณีตจริงสวยงามมากจริง ๆ เพคะ”เมื่อได้ยินคำพูดของซุนจื่อซี ฉู่เนี่ยนซีก็อดไม่ได้ที่จะแตะปิ่นปักผมบนศรีษะของตัวเองสตรีที่ชื่อหลิงเอ๋อร์เป็นคนมอบปิ่นปักผมชิ้นนี้ให้นางที่ทางเข้าสำนักหมอหลวง เดิมทีนางเพียงแค่เก็บมันเอาไว้เฉย ๆ เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าวันนี้เสี่ยวเถาจะใช้มันปักผมให้นางฉู่เนี่ยนซีกลับมามีสติอีกครั้งและยิ้มเล็กน้อย "ขอบพระทัยเพคะ!"ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน ทุกคนก็มองไปที่ศรีษะของนาง “เอ๊ะ เหตุใดปิ่นปักผมอันนี้ถึงได้ดูคุ้นนัก?!”“อา! ข้าจำได้แล้ว นั่นมันปิ่นปักผมชิ้นโปรดขององค์หญิงฉางเล่อไม่ใช่หรือ?”ฉู่เนี่ยนซีตกใจเล็กน้อย องค์หญิงฉางเล่อ? สตรีนางนั้นชื่อหลิงเอ๋อร์ไม่ใช่หรือ?“องค์หญิงใหญ่ชอบเก็บตัวอยู่เงียบ ๆ และนางก็สุขภาพไม่ค่อยดีนัก นางไม่เคยไปงานเลี้ยง แล้วก็พบปะผู้คนน้อยมากด้วย”“ข้าเคยเห็น ตอนวันเกิดขององค์หญิงใหญ่เมื่อปีที่แล้ว ตอนนั้นนางก็สวมปิ่นปักผมชิ้นนี้ เพราะมันค่อนข้างพิเศษข้าจึงจำได้อย่างแม่นยำ ว่ากันว่านี่คือปิ่นปักผมชิ้นโปรดขององค์ห
“เช่นนั้นเจ้าก็เรียกหญิงสาวผู้ที่มอบปิ่นปักผมชิ้นนี้ให้เจ้าออกมาพิสูจน์สิ” เจี่ยงจาวอวิ๋นรู้สึกหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก แต่เมื่อคิดขึ้นมาได่ว่าตัวเองไม่ได้ไร้เหตุผลจึงพูดขึ้นมาย่างมั่นใจอีกครั้ง“ข้าบอกไปแล้วว่าข้าไม่จักคนผู้นั้นและไม่รู้ว่าตัวตนของนางคือใคร แต่นางชื่อหลิงเอ๋อร์!”“หลิงเอ๋อร์?” เจี่ยงจาวอวิ๋นพึมพำเบา ๆ ทันใดนั้นก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนจะตะโกนขึ้นเสียงดัง “เหลวไหล! จู่ ๆ องค์หญิงฉางเล่อจะมอบปิ่นปักผมให้เจ้าได้อย่างไร?”เมื่อทุกคนได้ยินสิ่งนี้ก็คิดว่ามันไร้สาระ และพวกนางต่างก็เห็นด้วยกับคำพูดนั้น!“ชื่อเดิมขององค์หญิงฉางเล่อคือเย่หลิงเอ๋อร์ไม่ใช่หรือ? ชายาหลีบอกว่าองค์หญิงฉางเล่อมอบปิ่นปักผมอันนี้ให้ด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ?”“จะเป็นไปได้อย่างไร? องค์หญิงฉางเล่อมีเกียรติมาก นางเป็นองค์หญิงพระองค์เดียวของจักรพรรดิผู้ล่วงลับ และเป็นน้องสาวของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน นางจะมอบปิ่นปักผมมีค่าเช่นนี้ให้กับคนแปลกหน้าได้อย่างไร?!”"ข้าคิดว่าชายาหลีจงใจหาข้อแก้ตัวมากกว่า!"ทุกคนพูดคุยกัน และเจี่ยงจาวอวิ๋นก็ดูพอใจสนมลี่ที่อยู่ด้านข้างเหลือบมองฉู่เนี่ยนซีด้วยสีหน้าเฉยเมย นาง
ฉู่เนี่ยนซีขมวดคิ้วขณะที่ดูทุกคนพูดคุยกัน และจ้องมองไปที่เจี่ยงจาวอวิ๋นด้วยสายตาเย็นชา“ชายาเหลียน ท่านรู้หรือไม่ว่าความผิดฐานใส่ร้ายผู้อื่นมันร้ายแรงมากเพียงใด?!”“ข้ารู้แน่นอน แต่สิ่งที่ข้าพูดคือเรื่องจริงทั้งนั้น หากเจ้าไม่ได้ขโมยมา แล้วเหตุใดปิ่นปักผมขององค์หญิงฉางเล่อถึงมาอยู่กับเจ้ากันล่ะ? พระราชวังมีบันทึกการเข้าออกทุกครั้ง แต่ข้าไม่เคยได้ยินว่าเจ้าเคยไปที่ตำหนักฉางหลิงเลย! "หลังจากที่เจี่ยงจาวอวิ๋นพูดจบ นางก็พูดต่ออย่างชอบธรรมว่า "ทั้ง ๆ ที่คนของราชวงศ์ควรทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี แต่เจ้าในฐานะพระชายากลับทำสิ่งที่ผิดศีลธรรมเช่นนี้ก็ควรถูกปลดออกจากราชวงศ์เสีย!"“ชายาเหลียนช่างกล้าเสียจริง ไทเฮายังทรงอยู่ที่นี่ ท่านมีสิทธิ์มาพูดถึงราชวงค์ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” จู่ ๆ ฉู่เนี่ยนซีก็เปล่งเสียงดังขึ้น ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เจี่ยงจาวอวิ๋นอย่างเคร่งขรึม“อีกอย่าง ไม่ทันมีหลักฐานก็พูดมั่วเอาเองเช่นนี้ เวลานั้นคนที่จะถูกลงโทษอาจเป็นท่านเสียเอง!”เจี่ยงจาวอวิ๋นเหลือบมองไทเฮาด้วยความตื่นตระหนก เมื่อเห็นว่าไทเฮายังคงมีสีหน้าสงบ นางจึงมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความรังเกียจและพูดว่า "เจ้าน่ะหรือ? เจ้าก