ฉู่เนี่ยนซีขมวดคิ้วขณะที่ดูทุกคนพูดคุยกัน และจ้องมองไปที่เจี่ยงจาวอวิ๋นด้วยสายตาเย็นชา“ชายาเหลียน ท่านรู้หรือไม่ว่าความผิดฐานใส่ร้ายผู้อื่นมันร้ายแรงมากเพียงใด?!”“ข้ารู้แน่นอน แต่สิ่งที่ข้าพูดคือเรื่องจริงทั้งนั้น หากเจ้าไม่ได้ขโมยมา แล้วเหตุใดปิ่นปักผมขององค์หญิงฉางเล่อถึงมาอยู่กับเจ้ากันล่ะ? พระราชวังมีบันทึกการเข้าออกทุกครั้ง แต่ข้าไม่เคยได้ยินว่าเจ้าเคยไปที่ตำหนักฉางหลิงเลย! "หลังจากที่เจี่ยงจาวอวิ๋นพูดจบ นางก็พูดต่ออย่างชอบธรรมว่า "ทั้ง ๆ ที่คนของราชวงศ์ควรทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี แต่เจ้าในฐานะพระชายากลับทำสิ่งที่ผิดศีลธรรมเช่นนี้ก็ควรถูกปลดออกจากราชวงศ์เสีย!"“ชายาเหลียนช่างกล้าเสียจริง ไทเฮายังทรงอยู่ที่นี่ ท่านมีสิทธิ์มาพูดถึงราชวงค์ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” จู่ ๆ ฉู่เนี่ยนซีก็เปล่งเสียงดังขึ้น ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เจี่ยงจาวอวิ๋นอย่างเคร่งขรึม“อีกอย่าง ไม่ทันมีหลักฐานก็พูดมั่วเอาเองเช่นนี้ เวลานั้นคนที่จะถูกลงโทษอาจเป็นท่านเสียเอง!”เจี่ยงจาวอวิ๋นเหลือบมองไทเฮาด้วยความตื่นตระหนก เมื่อเห็นว่าไทเฮายังคงมีสีหน้าสงบ นางจึงมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความรังเกียจและพูดว่า "เจ้าน่ะหรือ? เจ้าก
เสียงที่ชัดเจนดังขึ้น และทุกคนต่างก็หันไปมอง ก่อนจะเห็นสตรีในอาภรณ์สีขาวแซมฟ้าเดินเข้ามาช้า ๆนางดูจิตใจดี สง่างาม และมีจิตวิญญาณแห่งเทพธิดาที่ไม่เคยถูกมนุษย์ทำให้ต้องแปดเปื้อนนางเดินเข้าไปหาไทเฮาก่อนจะโค้งคำนับด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้า และลักยิ้มลูกแพร์ทั้งสองข้างริมฝีปากของนางก็เพิ่มความน่ารักขึ้นอีกเล็กน้อย“ถวายบังคมเสด็จแม่เพคะ”“รีบลุกขึ้นเถิด!” ไทเฮามีความสุขทันทีเมื่อเห็นเย่หลิงเอ๋อร์ ไทเฮาช่วยพยุงนางขึ้นและจับมือของนางไว้ “ที่นี่ลมแรง เจ้าร่างกายไม่แข็งแรง เหตุใดถึงไม่พักอยู่ในตำหนักล่ะ? "“ลูกได้ยินมาว่าเสด็จแม่จัดงานเลี้ยงชมดอกเบญจมาศ หลิงเอ๋อร์รู้สึกเบื่อ จึงอยากมาร่วมสนุกน่ะเพคะ!”เย่หลิงเอ๋อร์ถือโอกาสนั่งลงข้างไทเฮา ทันใดนั้นก็มองไปที่ฉู่เหนียนซี ก่อนจะกระพริบตาให้นาง “เสี่ยวซีเอ๋อร์ มานั่งข้าง ๆ ข้าสิ”ซุนจื่อซีที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าสองก้าวหลังจากได้ยินสิ่งนี้ แต่เมื่อเห็นดวงตาของเย่หลิงเอ๋อร์ นางก็หยุดเดินและมองฉู่เนี่ยนซีที่เดินไปหยุดข้างหน้าเย่หลิงเอ๋อร์“เสี่ยวซีเอ๋อร์ เจ้าสวยขึ้นอีกแล้ว”หากเป็นคนอื่น ฉู่เนี่ยนซีคงคิดว่าคน ๆ นี้กำลังเ
ตอนที่จักรพรรดิองค์ก่อนมีพระชนมายุมากกว่าห้าสิบพรรษา พระองค์มีองค์หญิงเพียงองค์เดียวนั่นก็คือเย่หลิงเอ๋อร์ เมื่อพระองค์ขึ้นสู่อำนาจทุกคนต่างก็เทิดทูนหลังจากที่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์ก็ให้ความสำคัญกับน้องสาวเพียงคนเดียวคนนี้ โดยหาทุกสิ่งมาให้ตามที่นางต้องการการได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิทั้งสองพระองค์นั้นคือการดำรงอยู่ของการได้รับความรักจากคนนับพันไทเฮาที่อยู่ด้านข้างมองการกระทำของเย่หลิงเอ๋อร์ และอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ "หลิงเอ๋อร์เจ้าไปรู้จักกับเด็กผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่เมื่อใด?"เย่หลิงเอ๋อร์มองไทเฮาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า "ความลับเพคะ นี่เป็นความลับระหว่างลูกและเสี่ยวซีเอ๋อร์ที่ไม่อาจบอกได้เพคะ"ขณะที่พูด นางก็ขยิบตาอย่างขี้เล่นให้กับฉู่เนี่ยนซีเมื่อเห็นท่าทางขี้เล่นของนาง ฉู่เนี่ยนซีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตลก และลูบหัวนางอย่างไม่รู้ตัวทุกคนรอบข้างกลั้นหายใจและมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความตกตะลึงนางช่างกล้าจริง ๆ นางปฏิบัติต่อองค์หญิงฉางเล่อราวกับพระองค์เป็นเด็กและลูบหัวนางอย่างนั้นหรือ?เย่หลิงเอ๋อร์เองก็ตกตะลึงเล็กน้อยเช่นกัน เมื่อเห็นดวงตาที่ยิ้มแย้มของฉู่เนี่
"เจ้า..." เจี่ยงจาวอวิ๋นชี้ไปที่นาง และทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าไทเฮาทันที "เสด็จย่า อวิ๋นเอ๋อร์เพียงแค่ล้อเล่น อวิ๋นเอ๋อร์ไม่อยากถูกโบยเพคะ"ไทเฮาทนไม่ได้เมื่อเห็นเจี่ยงจาวอวิ๋นร้องไห้อย่างน่าสงสาร บวกกับที่นางไม่ชอบฉู่เนี่ยนซีตั้งแต่แรก หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว นางจึงพูดขึ้นว่า "ก็แค่เรื่องล้อเล่นกันเท่านั้น ข้าว่าลืมสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ไปเถอะ”“ล้อเล่นหรือเพคะ?” ฉู่เนี่ยนซีอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “หากคนที่ถูกโบยคือหม่อมฉัน ไทเฮาจะคิดว่าเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นอยู่ไหม? แล้วจะละเว้นโทษเช่นนี้ไหมเพคะ?”คำถามของฉู่เนี่ยนซีทำให้ทุกคนสูดหายใจลึก ฉู่เนี่ยนซีเป็นคนแรกที่กล้าสบตาไทเฮาและตั้งคำถามเช่นนี้ใบหน้าของไทเฮายังมีความโกรธ และเสียงของนางก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ "นี่เจ้ากำลังกังขาถึงความยุติธรรมกับข้าอย่างนั้นหรือ?"“กังขาหรือเพคะ? ซีเอ๋อร์มิกล้า หม่อมฉันเพียงแค่สงสัยเท่านั้นเพคะ”“ได้! ได้ ในเมื่อเจ้าสงสัย งั้นข้าก็จะบอกเจ้าให้ หากคนที่ถูกโบยคือเจ้า ข้าก็จะคิดว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่นและละเว้นโทษแบบนี้เช่นกัน!” ไทเฮาจ้องนางอย่างไม่หลบสายตา โดยไม่มีทีท่าร
ฉู่เนี่ยนซีเดินไปหาจักรพรรดิและกำลังจะทำความเคารพ แต่จักรพรรดิก็ยกมือขึ้นห้ามนางไว้ "ไม่จำเป็นต้องมากพิธี รีบเข้าไปดูสนมฉิงเถิด"ฉู่เนี่ยนซีพยักหน้า และในขณะที่กำลังจะเดินเข้าไป สนมลี่และขันทีหนุ่มอีกสองนายก็มาถึง ขันทีหนุ่มคนหนึ่งกระซิบบางอย่างกับเย่เหลียน และเย่เหลียนก็มองมาที่ฉู่เนี่ยนซีด้วยดวงตามืดมน และใบหน้าที่ไม่อาจคาดเดาได้ฉู่เนี่ยนซีเพิกเฉยและเดินตรงเข้าไปด้านในห้องทันทีที่เข้ามาด้านในกลิ่นคาวเลือดก็ลอยแตะจมูก ฉู่เนี่ยนซีมองไปที่สตรีที่นอนอยู่บนเตียง เห็นว่าใบหน้าของนางซีดเผือดและหน้าผากก็เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ส่วนหมอตำแยที่อยู่ด้านข้างก็ตะโกนบอกให้นางออกแรงอย่างสุดกำลัง นางดูอ่อนแรงมากจนไม่มีแรงเหลือ ดังนั้นจึงได้แต่นอนหอบหายใจฉู่เนี่ยนซีก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อหมอตำแยกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ฉู่เนี่ยนซีก็ชิงพูดขึ้นก่อน "องค์จักรพรรดิขอให้ข้ามาช่วยสนมฉิง พวกเจ้าฟังข้าก็พอ"พูดจบ นางก็หันไปตรวจอาการของสนมฉิงก่อนจะขมวดคิ้ว จากนั้นจึงป้อนยาเม็ดสีม่วงเข้าปากของนางอย่างรวดเร็ว“สิ่งนี้จะสามารถช่วยให้ท่านฟื้นฟูกำลังได้ แม้ว่าทารกในครรภ์จะอายุเพียงแปดเดือนและยังไม่ถึ
เมื่อจักรพรรดิได้ยินดังนั้น ก็รีบคว้าจี้หยกในมือก่อนที่จะได้พูดอะไร ก็ได้ยินเสียงของฮ่องเฮาตวาดขึ้น "ผ่าคลอด? ชายาหลี เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? นั่นเป็นการลงโทษสำหรับอาชญากรนะ"ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย "ที่นี่หม่อมฉันคือหมอ และบอกวิธีที่ดีที่สุดให้กับพวกท่านเท่านั้น ส่วนการผ่าคลอดที่ทุกคนบอกว่าเป็นการลงโทษ ที่นี่เป็นเพียงขั้นตอนการรักษาเท่านั้นเพคะ! เช่นเดียวกับการฟังเข็ม และการสั่งยา มันคือหลักการเดียวกัน!”“ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร ก็ไม่มีเหตุผลที่จะผ่าคลอดพระสนม!” ฮ่องเฮาพูดอย่างชอบธรรม แต่มีอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้แวบขึ้นมาในดวงตาของนางฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองนางอย่างเย็นชาแล้วหันไปมองจักรพรรดิ “หวังว่าเสด็ตพ่อจะทรง คิดทบทวน บนเตียงนี้มีสองชีวิต คนหนึ่งคือพระสนมของท่าน ส่วนอีกคนในท้องคือองค์ชายของพระองค์ หากไม่ผ่าคลอดอาจจะเสียทั้งสองชีวิตไปเพคะ!”“องค์ชาย?” จักรพรรดิอดไม่ได้ที่จะถาม“ถูกต้องเพคะ! ชีพจรของพระสนมฉิงนั้นดูเหมือนกำลังตั้งท้ององค์ชายเพคะ”จักรพรรดิขมวดคิ้วและดูลังเล“ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากจะเชื่อใจชายาหลีเพคะ! หม่อมฉันยินดีแลกชีวิตเพื่อลูกในท้อง!”เสียงอันอ่อนแรงของพระสนม
ด้านนอก จักรพรรดิและคนอื่น ๆ กำลังรออย่างใจจดใจจ่อ โดยมองเข้าไปในห้องเป็นครั้งคราวไม่รู้ว่านานเท่าใด แต่แล้วในห้องก็มีเสียงเด็กร้องดังขึ้น "อุแว้..." ทุกคนลุกขึ้นยืนทันที จักรพรรดิหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่และเดินไปที่ประตูในห้องนั้น ฉู่เนี่ยนซีกำลังอุ้มเด็กด้วยมือทั้งสองเบา ๆ และมีรอยยิ้มอ่อนโยนที่มุมปาก“ใครก็ได้ มาพาเด็กไปทำความสะอาดที่ด้านนอกที”เมื่อจักรพรรดิได้ยินสิ่งนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา และเขาก็รีบบอกหมอตำแยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ว่า "เร็วเข้า รีบเข้าไปดู"ใบหน้าของหมอตำแยมีความตื่นเต้นเช่นกัน และนางก็รีบเข้าไปด้านในทันทีหมอหลวงที่อยู่ด้านข้างต่างก็เช็ดเหงื่อเย็นออกจากหน้าผาก และมองหน้ากันโดยไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นได้หลังจากนั้นไม่นาน หมอตำแยก็พันตัวเด็กแล้วกลับมาที่ห้องด้านนอก "ทูลจักรพรรดิทูลฮ่องเฮา เป็นองค์ชายเพคะ!"“ดี ดี รีบส่งมาให้ข้าอุ้มเร็วเข้า!” จักรพรรดิดูตื่นเต้นเมื่อฮ่องเฮาที่อยู่ข้างหลังได้ยินว่าเป็นองค์ชาย ก็มีร่องรอยความขุ่นเคืองปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง แต่มันก็ถูกปกปิดไว้อย่างรวดเร็วเย่เฟยหลีเหลือบมองเด็กในอ้อมแขนของจักรพรรดิ และมองไปรอบ ๆ ห
“นี่ น้ำ!” พูดจบ เขาก็ค่อย ๆ ประคองฉู่เนี่ยนซีขึ้น แล้วยื่นแก้วน้ำไปที่ปากของนาง ฉู่เนี่ยนซีจิบน้ำเล็กน้อย ลืมตาขึ้นช้า ๆ และเห็นสายตาที่เป็นกังวลของเย่เฟยหลี “ขอบคุณ!” เย่เฟยหลีขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงแหบห้าวของนาง “ดื่มเพิ่มอีกหน่อย” ฉู่เนี่ยนซีพยักหน้าและจิบน้ำอีกสองสามครั้ง “ข้าจะไปให้คนเตรียมอาหาร!” เย่เฟยหลีให้ฉู่เนี่ยนซีนอนลง และหลังจากสั่งให้ขันทีเตรียมอาหารเสร็จ เขาก็กลับมา “เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่!” ฉู่เนี่ยนซีส่ายหัว ค่อย ๆ เอ่ยปากออกมา “ข้าสบายดี แค่ใช้แรงมากไปก็เลยเหนื่อยนิดหน่อย พวกเราอยู่ที่พระราชวังแล้วหรือ สนมฉิงเป็นอย่างไรบ้าง?” “ทุกอย่างเรียบร้อยดี หมอหลวงได้ตรวจวินิจฉัยแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติ และเนื่องจากนางให้กำเนิดองค์ชาย จึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นพระชายา” เย่เฟยหลีลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “แต่ว่าถุงบรรจุเลือดกับท่อที่เจ้าใช้ที่เรือนของสนมฉิงวันนี้...ของพวกนั้นเจ้าไปเอามาจากที่ใด?” ฉู่เนี่ยนซีตกใจ และความง่วงที่มีก็หายเกือบครึ่ง “อะ...เอ่อ...ก่อนหน้านี้ข้าเอาเข้าไปด้วยน่ะ!” “เอาเข้าไปหรือ เจ้าเอาติดตัวเข้าไปด้วย?” เย่เฟยหลีมองพ