หืม?หยุนเจิงสงสัยหรือว่ายังมีลับลมคมในอะไรอีกงั้นหรือ!เยี่ยจื่อนิ่งเงียบไปนาน ค่อยพูดขึ้นอย่างแช่มช้าว่า “องค์ชายคงไม่ทราบว่า พวกเขามีเพียงทหารหมื่นนายบุกเข้าโจมตีราชสำนักของเป่ยหวน ทำให้ท่านฉานอวี่ของเป่ยหวนพิโรธหนัก หลังจากที่พวกเขาตายและแพ้ในสนามรบ ท่านฉานอวี่สั่งให้ทหารม้าของเขาเหยียบย่ำกระดูกของพวกเขาจนเป็นเนื้อสับ! หลุมศพของพวกเขาเป็นเพียงเนินกองผ้า ดังนั้น วันครบรอบการเสียชีวิตของพวกเขาจึงนับจากวันที่เสื้อผ้าของพวกเขาถูกฝังลงดิน นับจากวันที่วิญญาณกลับคืนสู่มาตุภูมิน่ะ…”“นี่มัน…”หยุนเจิงตะลึงงัน พูดขึ้นอย่างรู้สึกผิดว่า “ข้าขออภัย ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย”เขารู้เพียงว่าสามพ่อลูกเสิ่นหนานเจิงตายได้อย่างสง่าผ่าเผย คิดไม่ถึงว่าจะหดหู่เพียงนี้มิน่าล่ะ กุยเหอถึงได้ส่งสัญญาณให้เขาใหญ่!เฮ้อ!ความแค้นนี้ มีเพียงต้องรอให้ไปถึงซั่วเป่ยก่อนค่อยชำระแทนพวกเขาแล้ว!“ไม่เป็นไรหรอก ข้ารู้ว่าองค์ชายไม่ทราบเรื่องนี้”เยี่ยจื่อพยายามเค้นรอยยิ้มออกมา“เช่นนั้น...พรุ่งนี้ข้าก็ต้องไปสักการะพวกแม่ทัพเสิ่นด้วย?” หยุนเจิงถามขึ้นอีกเยี่ยจื่อพูดว่า “ตามธรรมเนียมแล้ว องค์ชายกั
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เสิ่นลั่วเยี่ยนก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติแปลกๆหลังจากที่นิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ เสิ่นลั่วเยี่ยนจึงจัดสินใจเคาะประตูห้องเยี่ยจื่อก่อนเปิดเข้าไปในตอนนี้เยี่ยจื่อเตรียมจะเข้านอนพอดี“เช้าวันพรุ่งก็ต้องไปสักการะพ่อตากับพี่ชายของเจ้า ใยเจ้าถึงยังไม่นอนพักผ่อนอีกล่ะ?”เยี่ยจื่อเห็นเสิ่นลั่วเยี่ยนเดินเข้ามาจึงยิ้มพลางเอ่ยปากถามเสิ่นลั่วเยี่ยนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจกล่าวว่า “พี่สะใภ้ ข้ารู้สึกว่าระหว่างพี่สะใภ้กับหยุนเจิงมีบางอย่างผิดปกติไป…”หืม?สาวน้อยผู้นี้จับได้แล้วอย่างนั้นหรือเยี่จื่อแอบสงสัย ก่อนจะมองเสิ่นลั่วเยี่ยนด้วยสีหน้าขี้เล่น “นี่เจ้าเห็นข้าอยู่แต่ในจวนองค์ชายหกทั้งวันทั้งคืนก็เลยรู้สึกหึงหวงเข้าแล้วใช่หรือไม่?”“หึงหวง!”เสิ่นลั่วเยี่ยนได้ยินเช่นนี้ก็ตกอกตกใจราวกับไปเหยียบหางแมวก็มิปาน “พี่สะใภ้คิดอะไรเช่นนั้น คนอย่างข้าจะไปหึงหวงเจ้ากุ้งขาอ่อนนั่นได้อย่างไรกันเล่า”แม้เย่ยจื่อจะเป็นพี่สะใภ้ของเสิ่นลั่วเยี่ยน แต่ทั้งสองมีความสัมพันธ์เป็นสหายที่สนิทสนมกันมากอยู่ต่อหน้าเยี่ยจื่อ เสิ่นลั่วเยี่ยนสามารถกล่าววาจาอย่างไม่ต้องกวาดกลัวต่อส
เยี่ยจื่อแอบยิ้ม ก้มหน้าไม่กล่าวสิ่งใดออกมาเมื่อเห็นว่าพี่สะใภ้เหมือนจะเห็นด้วยกับคำพูดของตนเอง เสิ่นลั่วเยี่ยนจึงกล่าวต่ออีกว่า “สิ่งที่เขาทำและเข้าตาข้ามากที่สุดในเมื่อก่อนก็มีเพียงแค่เหล็กลายบุปผาเท่านั้น…”เมื่อพูดถึงเหล็กลายบุปผานั้นขึ้น เสิ่นลั่วเยี่ยนก็เล่าให้พี่สะใภ้ฟังอย่างตื่นเต้นว่าเหล็กลายบุปผานั้นเก่งกาจมากเพียงใด อีกทั้งยังเริ่มจินตนาการว่าตนเองถืออาวุธศักดิ์สิทธิ์นั้นฆ่าสังหารไปทั่วทุกสารทิศอย่างแข็งแกร่งเกรียงไกรยิ่งเล่านางก็ยิ่งตื่นเต้น เสิ่นลั่วเยี่ยนเรื่องในร้านตีเหล็กให้นางฟังทั้งหมด“เจ้าบอกว่าเข้าให้เจ้าลองหอกนั่นด้วยตัวเองว่าหอกนั่นแข็งหรือไม่อย่างนั้นหรือ?”เยี่ยจื่อหน้าแดงเล็กน้อย มองสาวน้อยผู้โง่เขลาไร้เดียงสาผู้นี้ด้วยสีหน้าแปลกใจ“ก็ใช่น่ะสิ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนพยักหน้า และกล่าวต่ออย่างไม่สบอารมณ์ว่า “อันที่จริงข้าควรจะลองด้วยมือของข้าเอง แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่ามีดองครักษ์นั้นของเขาจะมีปัญหาใดหรือไม่”“ค่อกแค่ก…”เยี่ยจื่อส่งเสียงไอค่อกแค่กออกมาอย่างเขินอาย กล่าวถามลองเชิงว่า “นี่ท่านแม่ยังไม่ได้บอกเรื่องระหว่างชายหญิงให้เจ้าฟังหรือ?”สตรีทุกค
สุสานของเสิ่นหนานเจิงสามพ่อลูกอยู่ที่ภูเขาต้าเจียนในเขตนอกเมืองหลวงพวกเขาออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ ใช้เวลาชั่วยามครึ่งกว่าจะถึงจุดหมายสุสานของสามพ่อลูกสร้างอยู่ติดกันสุสานของเสิ่นหนานเจิงตั้งออกมาด้านหน้าเล็กน้อย ส่วนสุสานของบุตรชายทั้งสองอยู่ซ้ายขวาด้านหลังเล็กน้อยเมื่อมองไปแล้วราวกับบุตรชายทั้งสองตามผู้เป็นพ่อมาออกรบก็มิปานหยุนเจิงมองไปที่ป้ายสุสานที่สลักชื่อเสิ่นหนานเจิงแล้วก็อดที่จะสะอึกสะอื้นไม่ได้สุดท้ายเสิ่นหนานเจิงต้องมาตายในศึกรบทางเหนือไม่รอให้ฮูหยินเสิ่นสั่ง เหล่าบรรดาบ่าวรับใช้และสาวใช้ต่างนำของเซ่นไหว้ไปวางไว้หน้าป้ายสุสานทั้งสามเมื่อมองดูสุสานของพ่อลูกทั้งสาม ฮูหยินเสิ่นก็ทนกับความเสียใจไม่ได้จนน้ำตาคลอเบ้าขึ้นแม้สามพ่อลูกจะตายไปในสนามรบเป็นเวลาห้าปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่นึกถึงจุดจบของทั้งสามที่ต้องตายไปอย่างไร้ซากศพ ในใจของฮูหยินเสิ่นก็อดที่จะโศกเศร้าขึ้นไม่ได้ผ่านไปครู่ใหญ่ ฮูหยินเสิ่นจึงจุดธูปสามดอก ปักหน้าป้ายสุสานของทั้งสามป้ายละดอก จากนั้นคุกเข่าลงหน้าป้ายสุสานของเสิ่นหนานเจิงกล่าวพึมพำโดยไม่ได้ส่งเสียงออกมาแต่อย่างใดหยุนเจิงได้แต่คาดเด
แม้ว่าฮูหยินเสิ่นจะอายุห้าสิบปีแล้ว แต่นึกไม่ถึงเลยว่าความเร็วของนางจะรวดเร็วกว่าเกาเหอและโจวมี่เสียอีก ภายในชั่วพริบตาเดียวนางก็พุ่งตัวเข้าไปในป่าแล้วเสิ่นลั่วเยี่ยนไม่ได้พุ่งตามออกไปแต่อย่างใด นางเพียงกวาดสายตาอันแหลมคมมองไปรอบๆ บริเวณเท่านั้น“รีบไปสำรวจเร็วเข้า ดูให้แน่ชัดว่ารอบๆ ยังมีนักฆ่าแอบซ่อนตัวอยู่หรือไม่!”เสิ่นลั่วเยี่ยนออกคำสั่ง บ่าวรับใช้และสาวใช้จวนสกุลเสิ่นรีบพรวดออกไปค้นหาอย่างรวดเร็วหลายคนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ดูแค่แวบเดียวก็รู้ว่าพวกเขาได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีหยุนเจิงตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นมากพระเจ้าช่วย!แม้แต่บ่าวรับใช้และสาวใช้ของจวนสกุลเสิ่นล้วนแต่เคยฝึกวรยุทธ์มาด้วยหรือนี่!ไม่รู้จะต้องทึ่งกับสิ่งไหนก่อน!นี่ทุกคนในจวนล้วนแต่ได้รับการฝึกวรยุทธ์อย่างนั้นหรือ!มิน่าล่ะว่าเพราะเหตุใดคนสกุลเสิ่นถึงมักจะว่าเขาเป็นคนอ่อนแอไร้กำลัง!สตรีที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ต้องศรัทธาเลื่อมใสผู้เป็นยอดฝีมืออยู่แล้วตนเป็นเพียงแค่คนที่ไร้พละกำลัง ในสายตานางคาดว่าคงจะมองตนเป็นเพียงแค่ไก่อ่อนเท่านั้น“เจ้าจะไปซั่วเป่ยไม่ใช่หรอกหรือ แค่นี้ก็ตกใจเป็นไก
ณ จวนองค์ชายสามหยุนลี่ที่คุกเข่ามาเป็นเวลาสามวันที่ศาลบูรพกษัตริย์ในตอนนี้กำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่สองวันให้หลัง นอกจากกิน ดื่ม ขับถ่ายแล้ว ดูเหมือนว่าเขาได้แต่คุกเข่าอยู่แต่ในศาลบูรพกษัตริย์เขานั่งคุกเข่าจนหัวเข่าถลอกเลือดกระซิกแล้วเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ไม่ค่อยจะราบรื่นในช่วงนี้แล้ว หยุนลี่จึงโกรธเกรี้ยวมากในขณะที่ตนกำลังโกรธเป็นฟืนเป็นจนไร้ที่จะระบายนั้น จู่ๆ ก็มีคนจากในวังมาแจ้งเขาว่าจักรพรรดิเหวินเรียกเขาเข้าวังโดยด่วนหลังจากแจ้งข่าวเสร็จ ขันทีผู้ส่งข่าวกล่าวเสียงต่ำบอกเขาว่า “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ ตอนที่องค์ชายหกไปสักการะหลุมศพของเสิ่นหนานเจิงกับคนสกุลเสิ่นมีนักฆ่าลอบสังหารองค์ชายหก ตอนนี้ฝ่าบาททรงพิโรธมาก องค์ชายระวังเอาไว้หน่อยก็ดีนะพ่ะย่ะค่ะ”ว่าไงนะ? เจ้าหกถูกนักฆ่าลอบสังหารอย่างนั้นหรือ?บัดซบยิ่งนัก!เสด็จพ่อคงไม่ได้สงสัยว่าข้าส่งคนไปลอบสังหารเจ้าหกกระมังหยุนลี่ใจเร้นแรงเพระาความกลัว รีบควักเงินหนึ่งร้อยตำลึงยัดใส่มือขันทีผู้ส่งข่าว“ขอบใจเจ้ามาก!”“เรื่องเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีผู้ส่งข่าวรับเงินมาหัวเราะเหอะๆพลางกล่าวหยุนลี่กล่าวขอบใจขันที
“กระหม่อมคาดเดาว่า ลูกศรขนนกที่คนผู้นั้นใช้ จะเป็นอันเดียวกับลูกศรขนนกนี้พ่ะย่ะค่ะ”“หากปานปู้สั่งให้คนใช้ลูกศรขนนกนี้สังหารองค์ชายหก นี่ไม่เพียงแต่จะแก้แค้นที่เขาพ่ายศึกสามครั้ง แต่ยังทำให้ฝ่าบาทหวาดระแวงและสงสัยในตัวองค์ชายองค์อื่นๆ ด้วย นี่นับว่าเป็นวิธีแก้แค้นที่ดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ!”ได้ยินคำพูดของมู่ซุ่น จักรพรรดิเหวินก็เงียบครุ่นคิดขึ้นหากมู่ซุ่นไม่เตือน เขาเกือบลืมข้อนี้ไปแล้วหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จักรพรรดิเหวินก็สั่งมู่ซุ่นว่า “ส่งคนไปแจ้งเจ้าหก บอกเขาว่าคนที่ส่งคนไปลอบสังหารเขาอาจจะเป็นปานปู้ บอกเขาอย่าได้คิดมาก!”มู่ซุ่นน้อมรับพระบัญชา โค้งคำนับ และกล่าวทูลลาทันที“ช้าก่อน!”ทันใดนั้นจักรพรรดิก็เรียกมู่ซุ่นไว้ และกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ตามขันทีที่ไปส่งข่าวให้เจ้าสามผู้นั้นมาหาข้า!”“พ่ะย่ะค่ะ!”…“เป็นการแก้แค้นของปานปู้อย่างนั้นหรือ?”ที่จวนองค์ชายหก หยุนเจิงรู้ข่าวที่จักรพรรดิเหวินให้คนมาส่งข่าวแล้วหยุนเจิงนิ่งเงีบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบาๆเรื่องนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปานปู้ต้องการชีวิตเขาคณะทูตเป่ยหวนสามร้อย
คืนนั้น หยุนเจิงเก็บตัวอยู่ในห้องตำรา และออกแบบหอกยาวให้เสิ่นลั่วเยี่ยนด้วยตนเอง เขาวาดออกแบบด้วยความตื่นเต้น หยุนเจิงครุ่นคิดอีกว่าจะสร้างอาวุธแบบใหม่ให้กับทหารในจวนตนเองดีหรือไม่อาวุธมาตรฐานทั่วไปของพวกเขาในตอนนี้ อันที่จริงแล้วไม่ค่อยเหมาะสมกับทหารม้าที่เพิ่งเริ่มฝึกฝนสักเท่าไรหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ หยุนเจิงก็ล้มเลิกความคิดไปช่างเถอะ!ความคิดในหัวเหล่านั้นเก็บเอาไว้ใช้ในตอนที่ไปซั่วเป่ยก่อนก็แล้วกัน!ขณะที่ยังอยู่ในเมืองหลวง อย่าเพิ่งทำอันใดให้เป็นจุดสนใจก่อนจะดีกว่าเช้าวันต่อมา หยุนเจิงยื่นภาพวาดออกแบบนี้ให้กับคนที่ร้านตีเหล็ก อีกทั้งยังขนาดและรายละเอียดต่างๆ เหล่านั้นด้วยหลังจากที่ผ่านประสบการณ์การลอบสังหารเมื่อวานมาแล้ว จากที่เดิมทีเวลาออกจากจวนหยุนเจิงพาองครักษ์คุ้มกันไปเพียงแค่สองคน ตอนนี้กลับเพิ่มเป็นสี่คนเดิมทีเขาอยากให้เสิ่นลั่วเยี่ยนเป็นองครักษ์ข้างกายเขา แต่คนที่เย่อหยิ่งอย่างเสิ่นลั่วเยี่ยนจะยอมมาเป็นองครักษ์ข้างกายให้เขาได้อย่างไรกันเล่า“หยุดก่อน!”ในขณะที่หยุนเจิงกำลังเตรียมออกเดินทางไปที่เขาเมาเอ่อร์ จู่ๆ เขาก็บอกให้องครักษ์หยุดองค