คืนนั้น หยุนเจิงเก็บตัวอยู่ในห้องตำรา และออกแบบหอกยาวให้เสิ่นลั่วเยี่ยนด้วยตนเอง เขาวาดออกแบบด้วยความตื่นเต้น หยุนเจิงครุ่นคิดอีกว่าจะสร้างอาวุธแบบใหม่ให้กับทหารในจวนตนเองดีหรือไม่อาวุธมาตรฐานทั่วไปของพวกเขาในตอนนี้ อันที่จริงแล้วไม่ค่อยเหมาะสมกับทหารม้าที่เพิ่งเริ่มฝึกฝนสักเท่าไรหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ หยุนเจิงก็ล้มเลิกความคิดไปช่างเถอะ!ความคิดในหัวเหล่านั้นเก็บเอาไว้ใช้ในตอนที่ไปซั่วเป่ยก่อนก็แล้วกัน!ขณะที่ยังอยู่ในเมืองหลวง อย่าเพิ่งทำอันใดให้เป็นจุดสนใจก่อนจะดีกว่าเช้าวันต่อมา หยุนเจิงยื่นภาพวาดออกแบบนี้ให้กับคนที่ร้านตีเหล็ก อีกทั้งยังขนาดและรายละเอียดต่างๆ เหล่านั้นด้วยหลังจากที่ผ่านประสบการณ์การลอบสังหารเมื่อวานมาแล้ว จากที่เดิมทีเวลาออกจากจวนหยุนเจิงพาองครักษ์คุ้มกันไปเพียงแค่สองคน ตอนนี้กลับเพิ่มเป็นสี่คนเดิมทีเขาอยากให้เสิ่นลั่วเยี่ยนเป็นองครักษ์ข้างกายเขา แต่คนที่เย่อหยิ่งอย่างเสิ่นลั่วเยี่ยนจะยอมมาเป็นองครักษ์ข้างกายให้เขาได้อย่างไรกันเล่า“หยุดก่อน!”ในขณะที่หยุนเจิงกำลังเตรียมออกเดินทางไปที่เขาเมาเอ่อร์ จู่ๆ เขาก็บอกให้องครักษ์หยุดองค
และในตอนนี้เอง ผู้ดูแลร้านผินหย่าเซวียนก็ตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “ทุกท่าน ต้องขอบคุณทุกท่านมากที่ชื่นชอบสินค้าของทางร้าน ตอนนี้รูบิคได้ขายหมดแล้ว เพื่อเป็นการขอบคุณที่ทุกท่านให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ทางร้านจึงเปิดรับจอง ท่านใดต้องการซื้อรูบิค ให้มาลงทะเบียนและวางเงินมัดจำเอาไว้ครึ่งราคา เมื่อทางร้านได้รับรูบิคมา ตอนที่ทุกท่านมารับสินค้า จะต้องจ่ายเงินอีกครึ่งเพื่อรับสินค้าไปก็ถือเป็นอันจบสิ้น…”เมื่อได้ยินผู้ดูแลร้านกล่าวเช่นนี้ หยุนเจิงก็ตกตะลึงขึ้นพ่อค้าหน้าเลือดผู้นี้!แม้แต่เรื่องรับจองก็คิดออกมาได้หน้าเลือดถึงขั้นสุดจริงๆ!อันที่จริงรูบิคสามชั้นไม่ได้ทำยากเลย รอให้รูบิคถูกเผยแพร่ออกไป ก็จะมีคนจำนวนไม่น้อยลอกเลียนแบบขึ้นแน่นอนเมื่อถึงตอนนั้นราคารูบิคต้องลดต่ำลงเป็นแน่แต่พ่อค้าหน้าเลือดผู้นี้กลับใช้วิธีเช่นนี้ นี่เท่ากับว่าเขาได้ล็อคราคาเอาไว้แล้ว!ต่อให้ตอนนั้นราคารูบิคนี้จะลดต่ำลงมากเพียงใด และต่อให้พวกเขาไม่จ่ายเงินอีกครึ่ง ก็ยังได้กำไรเป็นกอบเป็นกำอยู่ดี!ช่างเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!ในขณะที่หยุนเจิงกำลังแอบครุ่นคิดอยู่นั้น เหล่าฝูงชนต่างรุมล้อมกันอี
ภายใต้การนำทางของผู้ดูแลร้าน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงคฤหาสน์แห่งหนึ่งคฤหาสน์แห่งนี้มีพื้นที่ไม่ใช่เล็กๆ เลย ยังมีเสียงเลื่อยไม้ดังมาจากด้านในคฤหาสน์อีกด้วยผู้ดูแลร้านเปิดประตูคฤหาสน์พรวดพราดเข้าไปและกล่าวกับบ่าวรับใช้ว่า “รีบไปแจ้งคุณชายว่าองค์ชายหกมาเยี่ยมเยือน!”องค์ชายหกหรือ!หนังตาของบ่าวรับใช้กระตุกขึ้นด้วยความตกใจ รีบโค้งคำนับอย่างเคารพว่า “องค์ชายหกได้โปรดรอสักครู่ ข้าน้อยจะรีบไปแจ้งให้นายท่านทราบขอรับ”หยุนเจิงโบกมือไปมาบอกให้บ่าวรับใช้ผู้นั้นรีบไปบ่าวรับใช้ไม่กล้ารอช้า รีบวิ่งพรวดพราดเข้าไปแจ้งอย่างรวดเร็วไม่นานนัก ก็มีเสียงหงุดหงินเสียงหนึ่งดังออกมาจากด้านใน“ไปบอกว่าข้าไม่อยู่!”“ตอนนี้ข้าได้ยินคำว่าองค์ชายหกสามคำนี้ข้าโกรธมาก พวกเจ้าทุกคนฟังคำข้าเอาไว้ให้ดี ต่อไปนี้หากใครพูดคำสามคำนี้ให้ข้าได้ยิน ข้าจะหักเงินเดือนของพวกเจ้าทุกคน!”“ข้าบอกให้เจ้าไปก็ไปสิ ยังจะมาพูดจาไร้สาระอยู่ทำไมเล่า…”สิ่งนี้เหมือนเป็นการยืนยันในคำพูดของผู้ดูแลร้านว่าเจ้านายของพวกเขาอารมณ์ไม่ดีอยู่จริงๆอีกอย่าง จากคำพูดของเขาเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าเขาจะมีอคติต่อหยุนเจิงมากหยุนเจิงรู้
เห็นได้ชัดว่าจางซูกำลังตีวัวกระทบคราดสีหน้าของเกาเหอเปลี่ยนไป เขากล่าวด้วยความโกรธว่า “บังอาจ เจ้าจางซู สามหาว เจ้ากล้าดูหมิ่นองค์ชายหกได้อย่างไร!”“เจ้าเป็นใครกัน!”จางซูลุกพรวดขึ้น จ้องมองเกาเหอด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามพลางเดินไป “เจ้าเสแสร้งแกล้งทำให้มันน้อยๆ หน่อย หูข้างไหนของเจ้าที่ได้ยินข้าดูถูกเหยียดหยามองค์ชายหกห๊ะ?”สีหน้าของเกาเหอเย็นชา เขากล่าวด้วยความโกรธว่า “เมื่อครู่เจ้าเป็นคนพูดเองว่า…”จางซูหน้าสั่น เชิดหน้าชูตากล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าบอกว่าใครเอาขี้สุนัขเข้ามา ทำไม หรือว่าเจ้าคิดว่าองค์ชายหกเป็นขี้สุนัขอย่างนั้นหรือ?”“นี่เจ้า…”เกาเหอถูกย้อนกลับเช่นนี้ถึงกับใบ้แดกพูดไม่ออกเลยทีเดียวหยุนเจิงยกมือขึ้นห้ามเกาเหอ ดวงตามองดูเจ้าก้อนเนื้อตรงหน้าขึ้นลงอย่างพิจารณา “ข้าว่าข้ากับเจ้าเราไม่เคยเจอกัน ข้าไม่น่าจะเคยล่วงเกินเจ้ากระมัง แต่ข้ารู้สึกเหมือนเจ้าจะอคติกับข้ามากนะ!”“ท่านก็คงจะเป็นองค์ชายหกกระมัง?”จางซูโค้งคำนับเล็กน้อย กล่าวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าน้อยอ้วนเกินไป ไม่สะดวกคารวะ ได้โปรดองค์ชายอภัยให้ด้วย!”ได้!ดูท่าคนผู้นี้จะมีอคติกับตนมากเกินไปแล้วจริ
ภายใต้การเค้นถามของหยุนเจิง ในที่สุดจางซูก็บอกถึงเหตุผลจะให้พูดถึงเรื่องจางซูถูกขับไล่ออกจากบ้านใช่หรือไม่ นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมเลยเดิมทีเมื่อก่อนหยุนเจิงมีชื่อเสียงในนามที่เป็นองค์ชายไร้ประโยชน์ ทุกครั้งที่จางฮว๋ายสั่งสอนหลานชายที่ไม่ได้เรื่องอย่างจางซู จางซูก็มักจะเอาหยุนเจิงมาเป็นโล่กำบัง บอกว่าองค์ชายหกเป็นถึงองค์ชายผู้สูงศักดิ์แต่ยังเขลาเบาวิชา เรื่องวรยุทธ์ก็ไม่ได้เรื่องแม้จางฮว๋ายจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เขาก็ไม่อาจหาคำพูดใดมาหักล้างได้ทว่า นับตั้งแต่คณะทูตเป่ยหวนมาที่เมืองหลวง หยุนเจิงก็เจิดจรัสมาก จนกระทั่งจากเดิมทีที่เป็นองค์ชายไร้ประโยชน์ กลายมาเป็นวีรบุรุษแห่งแคว้นต้าเฉียนไปเสียอย่างนั้นด้วยเหตุนี้ จางฮว๋ายเห็นเขาแล้วรู้สึกขัดตาขัดใจ คำพูดแต่ละคำล้วนแต่เอาหยุนเจิงมาเปรียบเทียบกับเขาจางฮว๋ายบอกว่าแม้องค์ชายหกจะเขลาเบาปัญญา การสู้รบไม่ได้เรื่อง แต่เมื่อคณะทูตเป่ยหวนมาครั้งนี้ กลับทำให้จักรพรรดิเหวินภาคภูมิใจมาก แต่พอหันกลับมาดูจางซูเจ้าสารเลวโง่เขลาเบาปัญญาผู้นี้แล้ว ต่อให้ถึงวันที่ตนเข้าโลงก็คงไม่อาจทำให้ตนภาคภูมิใจได้…เพียงแค่คำพูดประโยคเดียวนี้ จางฮ
ภายในเวลาสี่ถึงห้านาที หยุนเจิงก็หมุนรูบิคทั้งกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้“ของที่ข้าปล้นเจ้ามา ข้าคืนให้!”หยุนเจิงยื่นรูบิคที่แก้กลับให้เป็นเหมือนเดิมแล้วให้กับจางซูหนังตาของจางซูกระตุกขึ้น มองรูบิคด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้รวดเร็วยิ่งนักแม้จางซูจะตกใจ แต่ปากเขาก็ยังคงปากแข็งไม่ยอมรับ ทำเสียงฮึดฮัดออกทางจมูกและกล่าวว่า “ก็แค่เคยชินก็เลยบังเอิญทำได้ก็แค่นั้น ให้ข้าใช้เวลาเล่นนานกว่านี้อีกสักหน่อย ข้าก็ทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้เหมือนกัน!”หยุนเจิงส่ายหน้าพลางยิ้ม “หากข้าไม่สอนเจ้า เกรงว่าเจ้าไม่มีทางทำได้หรอก”จางซูแบะปาก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยอมรับหยุนเจิงก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด อีกทั้งยังกล่าวพึมพำอีกว่า “จางเก๋อเหล่าเป็นคนรอบรู้เรื่องวิชาความรู้ปรัชญามากมาย สกุลจางก็เต็มไปด้วยคนที่มีความสามารถ เจ้าที่ไร้ความสามารถอยู่ในสกุลจาง คาดว่าคงไม่ได้รับการยอมรับจากสกุลจางสักเท่าไหร่หน่ะสิ?”“ใช่ ข้ามันคนไร้ความสามารถ หิวก็กินไปวันๆ รอความตายก็เท่านั้น”จางซูกล่าวออกมาตรงๆ และไม่ลืมที่จะประชดประชัน “ท่านเองก็อาศัยการอ่านตำราโบราณและความโชคด
คำพูดของหยุนเจิงทำให้จางซูค้นพบเป้าหมายของตัวเองได้สำเร็จทัศนคติที่จางซูมีต่อหยุนเจิงได้เปลี่ยนไปทันที เขากระตือรือร้นเป็นอย่างมากทัศนคติของจางซูก่อนหน้านี้กับตอนนี้เปลี่ยนไปมากจนหยุนเจิงไม่ทันตั้งตัวในตอนกลางวัน จางซูพยายามลากหยุนเจิงไปที่หอสุราที่ดีที่สุดในเมืองหลวงอย่างเอาจริงเอาจังเขาต้องทำดีกับคนรู้ใจคนนี้ให้มากๆ“องค์ชาย ผ่านมานานหลายปีแล้ว ในที่สุดข้าก็เจอคนที่เข้าใจข้าจริงๆ สักที!”“องค์ชาย ไม่รู้หรอกว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาข้าต้องเจอกับอันใดบ้างแล้วข้าผ่านมันมาได้อย่างไร!”“เป็นเพราะว่าข้าไม่รู้วิชา ไม่เก่งในเรื่องแต่งบทกวี ไม่ว่าข้าทำอะไรมันก็ผิดไปเสียหมด”ภายในหอสุรา จางซูร่ำสุราพลางพร่ำครวญระบายทุกข์ในใจกับหยุนเจิงเมื่อกล่าวมาถึงตอนนี้ ดวงตาของจางซูก็แดงก่ำขึ้นแต่หยุนเจิงกลับเข้าใจความรู้สึกของจางซูท่านปู่ของเขาเป็นผู้รอบรู้วิชา อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ของจักรพรรดิเหวินอีกด้วยการเติบโตมาในครอบครัวเช่นนี้ หากไม่รู้วิชา นั่นนับว่าเป็นความผิดอันใหญ่หลวงแล้วจางซูยกซดสุราเข้าไปอึกใหญ่ ก่อนจะกล่าวอีกว่า “ข้าจะไม่ปิดบังองค์ชาย วันที่สิบห้าของทุกๆ เดือน ข้าไ
“ข้าตัดสินใจแล้ว อีกสองวันงานสมาคม ข้าจะไปเข้าร่วม!”“ข้าจะเรียกหญิงงามสิบกว่าคนมาปรนนิบัติข้า ข้าจะนั่งเสพสุขเหมือนนายท่านผู้มั่งคั่งคนอื่นๆ ให้ไอ้พวกสุนัขเหล่านั้นอิจฉาเล่นๆ ฮ่าๆๆ!”“องค์ชายช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก ผู้มีความสามารถอย่างท่านอ๋องหาได้ยากยิ่งนัก…”จางซูตื่นเต้นจนแทบจะเต้นแร้งเต้นกาแล้ว กล่าวชื่นชมหยุนเจิงยกใหญ่หยุนเจิงได้ยินคำชื่นชมของเขา แต่สีหน้าของเขากลับดำคล้ำขึ้นเจ้านี่คงจะไม่ทำจริงๆ กระมัง!หากจางเก๋อเหล่ารู้ว่าตนเป็นคนแนะนำให้จางซุทำเช่นนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจางเก๋อเหล่าจะฆ่าตัวตายในจวนองค์ชายหกหรือไม่“ค่อกๆๆ…”หยุนเจิงส่งเสียงไอกระแอมเพื่อตัดบทการตื่นเต้นของจางซู “เราอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องสมาคมกวีเลย เรามาพูดเรื่องสำคัญของเราจะดีกว่า!”“เรื่องสำคัญอย่างนั้นหรือ?”จางซูสงสัย เขาจึงพูดโพล่งออกมาว่า “เรามาดื่มสนุกๆ กัน ยังจะมีเรื่องสำคัญอันใดคุยอีกหรือ?”“ข้า…”หยุนเจิงสะดุ้งเล็กน้อยเจ้าบ้าเอ้ย!อยู่ด้วยกัน พวกเขาในฐานที่เป็นคนไร้ประโยชน์ทั้งสองแห่งเมืองหลวง พอมาอยู่ด้วยกันแล้วจะทำแต่เรื่องไร้สาระเช่นนี้นะหรือจางซูสังเกตเห็นสายตาที่ผิดปกติไปข
“ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ!”หยุนเจิงขมวดคิ้วพูด “หากข้าปลดเสื้อผ้าเจ้าที่นี่ คนที่เสียหน้าก็ยังคงเป็นเจ้าเอง!”เมื่อเห็นหยุนเจิงเริ่มไม่พอใจ เจียเหยาก็หยุดเรื่องนี้ทันที“ข้ามีคำถามสุดท้ายอยากถาม”เจียเหยาพยายามดึงเรื่องกลับมาที่ประเด็นหลัก“เรื่องอะไรล่ะ?”หยุนเจิงถามด้วยน้ำเสียงสบายๆเจียเหยาจ้องมองหยุนเจิง “เหตุใดท่านถึงไม่ใช้ของที่ใช้ระเบิดเปิดเขานั่นทำลายด่านเทียนฉงของโฉวฉือไปเลย? ท่านน่าจะรู้ดีกว่าข้าว่า หากด่านนั้นถูกตีแตกเร็วกว่านี้ ท่านจะไม่ต้องสู้กันอย่างเหนื่อยยากที่แม่น้ำซัวเล่ย”เวรเอ๊ย!หญิงคนนี้ถึงขั้นสงสัยเรื่องนี้แล้วรึ?นางช่างทำให้ข้าไม่เคยได้อยู่อย่างสงบเลยจริงๆ!“ทำไมข้าต้องทำลายด่านเทียนฉงด้วยเล่า?”หยุนเจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หากข้าทำลายด่านเทียนฉงไปแล้ว เจ้าจะส่งคนมาช่วยข้าสร้างใหม่หรืออย่างไร?”“เพียงเพราะเหตุนี้เองหรือ?”เจียเหยาฟังแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง“เจ้าสงสัยหรือว่าข้าไม่มีสิ่งนั้นอยู่ในมือแล้ว?”หยุนเจิงมองเจียเหยาด้วยรอยยิ้มปริศนา “รอจนชั้นน้ำแข็งของแม่น้ำไป๋สุ่ยหนาพอ ข้าก็คิดจะใช้สิ่งนั้นระเบิดเปิดเขาที่ปากทางภูเขาหลางหยา แล้วส
เจียเหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็นึกไม่ออกว่าหยุนเจิงมีจุดประสงค์อื่นอะไร จึงได้แต่ถามเขาด้วยท่าทีคล้ายขอคำชี้แนะ“ไม่ซับซ้อนอย่างที่เจ้าคิดหรอก”หยุนเจิงส่ายหน้ายิ้ม “กองทหารมณฑณเหนือข้าส่งมาแต่ทหารฝีมือดี จะไม่ล้มซักแคว้นได้อย่างไร?”ต้องการเชือดไก่ให้ลิงดูหรือ?เจียเหยาครุ่นคิดก่อนถามต่อ “ถ้าท่านคิดจะฆ่าไก่ให้ลิงดู การทำลายล้างกุ่ยฟางน่าจะน่ากลัวกว่าการทำลายโฉวฉือใช่หรือไม่?”เพราะว่ากุ่ยฟางแข็งแกร่งกว่าโฉวฉือมาก“เจ้าก็พูดเองว่า ข้าต้องการเปิดเส้นทางไปยังชนเผ่าโม่ซี”หยุนเจิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนมองเจียเหยาด้วยความสนใจ “ว่าแต่ เจ้าสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม? หรือว่าอาการหวาดระแวงของเจ้ากำเริบอีกแล้ว?”หวาดระแวงงั้นหรือ?เจียเหยาแอบหัวเราะขื่นๆนางก็ดูจะมีอาการหวาดระแวงอยู่บ้างจริงๆนางกังวลว่าหยุนเจิงเก็บกุ่ยฟางไว้เพื่อกดดันเป่ยหวนแต่เขาก็ได้ใช้ตัวตายตัวแทนอย่างทัวฮวนแล้ว ดังนั้นการที่กุ่ยฟางจะล่มสลายหรือไม่ก็ดูจะไม่ต่างกันนักในแง่ของการกดดันเป่ยหวนนางรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติอยู่แต่ก็คิดไม่ออกว่าปัญหานั้นคืออะไรและนั่นทำให้นางรู้สึกกระวนกระวายจนกินไม่ได้นอนไ
หวั่น...ไหว?เจียเหยาชะงักไป ราวกับถูกคำถามของเมี่ยวอินทำให้สับสนหยุนเจิงมีทั้งความแค้นของชาติและครอบครัวกับนาง เมี่ยวอินถามคำถามแบบนี้ได้อย่างไร?หรือเมี่ยวอินคิดว่านางจะปล่อยวางความแค้นทั้งหมดได้?เจียเหยามองเมี่ยวอินด้วยสายตาเต็มไปด้วยความสงสัย “เจ้ากำลังลองใจข้าหรือ?”“ข้าจะลองใจเจ้าทำไม?”เมี่ยวอินปฏิเสธทันที “ข้าแค่คิดว่า ในแง่หนึ่ง เจ้าและหยุนเจิงเป็นคนประเภทเดียวกัน! แม้จะมีความแค้นต่อกัน แต่พวกเจ้าคงจะมีความนับถือกันในใจบ้าง”เป็นเช่นนั้นหรือ?เจียเหยาดูเหมือนจะยังไม่แน่ใจนัก นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าเจ้าว่ามีความนับถือกัน ข้าคิดว่าคงมีบ้าง! แม้ยามที่ข้าอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา ข้าก็ไม่เคยปฏิเสธว่าเขาคือคู่ต่อสู้ที่น่ายกย่อง การได้พบเขาในสนามรบถือเป็นโชคดี...และโชคร้ายในคราวเดียวกัน”เมี่ยวอินเม้มริมฝีปากเบาๆ มองเจียเหยาด้วยความสนใจ “โชคร้ายน่ะข้าเข้าใจ แต่โชคดีล่ะ หมายความว่าอย่างไร? หรือแค่เพราะได้พบคู่ต่อสู้อย่างเขา?”“เพราะเขามีขีดจำกัดในสิ่งที่เขาจะทำ”เจียเหยาพูดออกมาเบาๆ “ข้าหวังว่าเขาจะมีขีดจำกัดเช่นนี้ตลอดไป...”ขีดจำกัดหรือ?เมี่ยวอิ
ค่ำคืนนั้น หยุนเจิงเรียกอวี่ซื่อจงและชวีจื้อเข้ามาในกระโจมเพื่อสั่งการระหว่างที่กำลังพูดคุยกัน เสียงองครักษ์ด้านนอกดังขึ้นว่า “ฝ่าบาท องค์หญิงเจียเหยาขอเข้าเฝ้า”เจียเหยา?หยุนเจิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยตัวเขาเพิ่งคุยกับเจียเหยาไปเมื่อครู่นี้เองไม่ใช่หรือ?นางมาหาตนอีกทำไมกัน?ข้าให้เสบียงไปมากมายแล้ว นางยังต้องการอะไรอีก?หรือว่านางจะมาเล่นบทเศร้า หรือใช้เรือนร่างอันงดงามของนางมาทดสอบจิตใจข้า?เมื่อเห็นหยุนเจิงเงียบไป อวี่ซื่อจงจึงพูดอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท ถ้าเช่นนั้น พวกเรามาคุยกันอีกทีภายหลังดีไหม?”“ไม่ต้องสนใจ เรามาคุยกันต่อ”หยุนเจิงโบกมือ และพูดกับองครักษ์ด้านนอกว่า “ข้ามีธุระ ให้มาหาข้าทีหลัง!”“ขอรับ!”หยุนเจิงเลิกคิดฟุ้งซ่าน และสั่งการอวี่ซื่อจงกับชวีจื้อต่อเขายังต้องไปที่ด่านเทียนฉง งานเกี่ยวกับการถอนทัพที่นี่ จึงต้องฝากให้อวี่ซื่อจงและชวีจื้อเป็นผู้รับผิดชอบด้านนอกกระโจม เจียเหยาไม่ได้จากไป แต่ถอยออกไปยืนรอเงียบๆไม่นานนัก เมี่ยวอินที่ทำงานเสร็จเดินผ่านมา และเห็นเจียเหยายืนอยู่คนเดียวอย่างเดียวดาย“เจ้ามายืนตรงนี้ทำไม?”เมี่ยวอินเดินเข้ามา มองเจียเหยาด้วย
นางรู้ดีว่า หากต้องการบีบให้กุ่ยฟางยอมจำนน จำเป็นต้องมีกำลังทหารมากพอที่จะกดดันพวกกุ่ยฟางหยุนเจิงจะต้องให้นางนำกองทหารม้าหมื่นนายออกไปยังกุ่ยฟางแน่นอนนางจึงต้องการซื้อเสบียงจากหยุนเจิงล่วงหน้า เพื่อใช้เป็นเสบียงสำหรับกองทัพหมื่นนายความตั้งใจของเจียเหยานั้นง่ายมากเมื่อนางเจรจาต่อรองกับกุ่ยฟางสำเร็จ และได้ผลประโยชน์จากกุ่ยฟางแล้ว นางจะนำทองคำและเงินมาชำระค่าเสบียงหรือในภายหลัง อาจคืนเสบียงให้หยุนเจิงแทนก็ได้พูดง่ายๆ คือขอล่วงหน้าก่อน!แต่อย่างไรก็ดี นางย่อมอยากใช้ทองคำและเงินซื้อเสบียงมากกว่าหลังจากเคยเผชิญความยากลำบากเพราะขาดเสบียง นางยอมสะสมเสบียงไว้มากกว่าเก็บทองคำและอัญมณี“จริงๆ แล้ว เสบียงของเราก็ขาดแคลนเช่นกัน”หยุนเจิงส่ายหน้ายิ้ม “เจ้าคิดหรือว่าเรามีเชลยครั้งนี้กี่คน? เจ้าคิดว่าเชลยเหล่านี้ไม่กินไม่ดื่มหรือ? หรือเจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกเถื่อนทางเหนือ ที่พาเชลยกลับไปกินแทนอาหาร?”เชลยแสนคนเชียวนะ!ต้องใช้เสบียงมากแค่ไหนเพื่อเลี้ยงดูพวกเขา?และไม่ใช่ว่าพาเชลยพวกนี้กลับไปแล้วจะไม่ต้องใช้เสบียงตราบใดที่คนพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็ต้องกินเสบียงทุกวันนางยังคิดว่
หยุนเจิงไม่ชอบให้ใครมาต่อรองกับเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาไม่ชอบเจียเหยาให้มาต่อรองกับเขาเจียเหยาทำเป็นไม่เห็นสีหน้าที่แสดงความไม่พอใจของหยุนเจิง แล้วพูดขึ้นว่า “เรื่องเสบียงที่สามส่วน ข้ายอมตามเจ้า ส่วนอาวุธ ชุดเกราะ และม้าที่เรายึดได้จากที่นั่น เจ้าเอาไปห้าส่วน...”หยุนเจิงขมวดคิ้ว เตรียมจะปฏิเสธ แต่เจียเหยาก็รีบขัดขึ้นมา “อย่าเพิ่งปฏิเสธ ฟังข้าพูดให้จบก่อน!”“ได้ พูดมา!”หยุนเจิงฮึเบาๆ “ข้าจะดูว่าเจ้าจะโน้มน้าวข้าได้อย่างไร”เจียเหยาเงยหน้ามองท้องฟ้าไกลโพ้น สีหน้าเรียบเฉยพลางพูดว่า “ม้าที่ข้าให้เจ้าห้าส่วน ข้ารับรองว่าทุกตัวไม่มีบาดแผล! ชุดเกราะและอาวุธ ส่วนที่สมบูรณ์ข้าให้เจ้าไปทั้งหมด ของที่ชำรุดเสียหายจะเก็บไว้กับเราเอง”อ้อ?ยังมีข้อเสนอแบบนี้ด้วย?หยุนเจิงแปลกใจเล็กน้อยให้ม้าที่ไม่มีบาดแผลทั้งหมด?เงื่อนไขนี้ของเจียเหยา ดูน่าสนใจทีเดียว!ทว่า แบบนี้ไม่เหมือนนิสัยของเจียเหยาเลยสักนิด!หยุนเจิงคิดในใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มและถามว่า “เจ้าแอบซ่อนของที่ยึดมาไว้เองหรือไม่?”เจียเหยาหันมามองเขา “พวกเจ้ายังมีคนเฝ้าอยู่ที่นั่น เจ้าว่าพวกเราจะแอบซ่อนของได้หรือ?”“ของที่ได้ม
“ขอรับ” ทัวฮวนและจู่หลู่รีบพยักหน้ารับคำเมื่อได้ยินพวกเขาเรียกนางว่า "ฮูหยินเจียเหยา" ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจียเหยาก็โกรธจนแทบจะกัดฟันครั้งนี้นางถูกหยุนเจิงใช้ประโยชน์อย่างชัดเจนอย่างไรก็ตาม เจียเหยายังควบคุมตัวเองได้ ไม่แสดงอารมณ์ออกมา และยังพูดคุยหยอกล้อกับทัวฮวนและจู่หลู่อย่างเป็นกันเองหยุนเจิงมองภาพนี้อยู่ก็อดขำในใจไม่ได้ด้วยความเฉลียวฉลาดของเจียเหยา นางต้องเข้าใจความตั้งใจของเขาแน่แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่แน่ใจคือ อีกสักพักนางจะขู่ฟ่อใส่เขาหรือไม่จากนั้น หยุนเจิงก็คุยเรื่องแผนการในอนาคตกับพวกเขาทว่า หยุนเจิงพูดเพียงแค่แนวทางคร่าวๆรายละเอียดปลีกย่อยทั้งหมด อย่างไรก็ต้องให้เจียเหยาเป็นคนจัดการหลังจากพูดคุยเรื่องงานจนจบ ทุกคนก็รับประทานอาหารจนเต็มอิ่มเมื่อทัวฮวนและคนอื่นๆ ออกไปแล้ว หยุนเจิงก็ถามเจียเหยาด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้เจ้ารู้ความตั้งใจของข้าแล้วใช่ไหม?”เข้าใจแล้วหรือยัง?เจียเหยายิ้มแห้งๆแน่นอนว่านางเข้าใจหยุนเจิงตั้งใจใช้นางจัดการกุ่ยฟาง และนางก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงการถูกหยุนเจิงใช้นางไม่เพียงเข้าใจเรื่องนี้ แต่ยังเข้าใจเหตุผลที่หยุนเจิงต้องแสร้งทำเป็นคู่ส
เมื่อหยุนเจิงส่งสัญญาณให้ ทุกคนจึงค่อยนั่งลงหยุนเจิงตั้งใจจะดึงมือกลับที่โดนบีบจนแทบเสียรูป แต่เจียเหยากลับไม่ยอมปล่อยให้ตายเถอะ!ผู้หญิงคนนี้จิตพยาบาทจริงๆ!หยุนเจิงอดทนกับความเจ็บปวดที่มือ ก่อนจะเริ่มแนะนำทัวฮวนและเหมิงตัวให้เจียเหยารู้จักส่วนจู่หลู่ เจียเหยารู้จักอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องแนะนำ“ข้าลือชื่อตำหนักเจียเหยามานาน วันนี้ได้พบนับว่าเป็นบุญสามชาติ”ทัวฮวนยิ้มพลางกล่าวคำประจบเจียเหยาเจียเหยายิ้มละมุน “เจียเหยาก็ลือชื่อท่านเสนาบดีมานาน อยากพบท่านนานแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสเสียที วันนี้ต้องขอบคุณท่านอ๋องที่ทำให้ได้พบ”“พอเถอะๆ พวกเราเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนั้น”หยุนเจิงหัวเราะพลางหยุดการพูดคุยของทั้งสอง “ยากนักที่พวกเราจะได้มานั่งด้วยกันวันนี้ ต้องดื่มสักหน่อย! องค์หญิง ไปหยิบถ้วยเหล้ามาให้ข้าหน่อย”พูดจบ หยุนเจิงก็ชี้ไปยังที่วางถ้วยเหล้าเจียเหยาบีบมือของหยุนเจิงแรงๆ อีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบถ้วยเหล้ามา แล้วกลับมานั่งข้างหยุนเจิงเหมือนเดิมทัวฮวนเมื่อเห็นดังนั้นก็รีบลุกขึ้นหยิบเหยือกเหล้า เตรียมจะรินให้เจียเหยาและหยุนเจิง“ท่านเสนาบดีไม่ต้อง
อย่าว่าแต่เจียเหยาเลย แม้แต่พวกเขาเองก็ยังรู้สึกว่าหยุนเจิงทำเกินไปการที่สามารถเอาชนะกุ่ยฟางได้ในครั้งนี้ เป่ยหวนมีส่วนสำคัญอย่างมากหากไม่มีเป่ยหวนช่วยดึงความสนใจ ในระหว่างที่พวกเขากำลังรบกับโฉวฉือและแคว้นต้าเย่ว์ กุ่ยฟางอาจโจมตีอวี่ซื่อจงจนแตกพ่าย หรืออาจลอบตีค่ายใหญ่ที่แย้นฮุ่ยซานจนตัดเส้นทางล่าถอยของพวกเขาโดยสิ้นเชิงในสถานการณ์เช่นนี้ ที่หยุนเจิงยังทำตัวเข้มงวดกับเป่ยหวน ถือว่าไร้น้ำใจอย่างมากที่เจียเหยาไม่ระเบิดอารมณ์ออกมาทันที ก็ถือว่านางควบคุมตัวเองได้ดีแล้ว“เจ้าจะทำท่าขู่ใส่ข้าอีกแล้วใช่ไหม?”หยุนเจิงหรี่ตาลงเล็กน้อย มองเจียเหยาด้วยแววตาเตือน“ข้าจะกล้าได้อย่างไร!”เจียเหยาตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ท่านจิ้งเป่ยอ๋องไร้พ่าย หากข้ากล้าขู่ใส่ท่าน เป่ยหวนของข้าคงเต็มไปด้วยศพในไม่ช้า ข้ามีสิทธิ์ไปขู่ใส่ท่านหรือ?”“รู้อย่างนี้ก็ดีแล้ว!”หยุนเจิงกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เจ้าชอบฟังข้าแค่ครึ่งๆ กลางๆ แล้วก็มาทำเสียงประชดประชันใส่ข้า เจ้าเป็นโรคหลงผิดว่าตัวเองถูกทำร้ายหรืออย่างไร?”เจียเหยาพยายามกลั้นความโกรธ พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ท่านจิ้งเป่ยอ๋องมีสิ่งใดจะพูดอีก