คืนนั้น หยุนเจิงเก็บตัวอยู่ในห้องตำรา และออกแบบหอกยาวให้เสิ่นลั่วเยี่ยนด้วยตนเอง เขาวาดออกแบบด้วยความตื่นเต้น หยุนเจิงครุ่นคิดอีกว่าจะสร้างอาวุธแบบใหม่ให้กับทหารในจวนตนเองดีหรือไม่อาวุธมาตรฐานทั่วไปของพวกเขาในตอนนี้ อันที่จริงแล้วไม่ค่อยเหมาะสมกับทหารม้าที่เพิ่งเริ่มฝึกฝนสักเท่าไรหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ หยุนเจิงก็ล้มเลิกความคิดไปช่างเถอะ!ความคิดในหัวเหล่านั้นเก็บเอาไว้ใช้ในตอนที่ไปซั่วเป่ยก่อนก็แล้วกัน!ขณะที่ยังอยู่ในเมืองหลวง อย่าเพิ่งทำอันใดให้เป็นจุดสนใจก่อนจะดีกว่าเช้าวันต่อมา หยุนเจิงยื่นภาพวาดออกแบบนี้ให้กับคนที่ร้านตีเหล็ก อีกทั้งยังขนาดและรายละเอียดต่างๆ เหล่านั้นด้วยหลังจากที่ผ่านประสบการณ์การลอบสังหารเมื่อวานมาแล้ว จากที่เดิมทีเวลาออกจากจวนหยุนเจิงพาองครักษ์คุ้มกันไปเพียงแค่สองคน ตอนนี้กลับเพิ่มเป็นสี่คนเดิมทีเขาอยากให้เสิ่นลั่วเยี่ยนเป็นองครักษ์ข้างกายเขา แต่คนที่เย่อหยิ่งอย่างเสิ่นลั่วเยี่ยนจะยอมมาเป็นองครักษ์ข้างกายให้เขาได้อย่างไรกันเล่า“หยุดก่อน!”ในขณะที่หยุนเจิงกำลังเตรียมออกเดินทางไปที่เขาเมาเอ่อร์ จู่ๆ เขาก็บอกให้องครักษ์หยุดองค
และในตอนนี้เอง ผู้ดูแลร้านผินหย่าเซวียนก็ตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “ทุกท่าน ต้องขอบคุณทุกท่านมากที่ชื่นชอบสินค้าของทางร้าน ตอนนี้รูบิคได้ขายหมดแล้ว เพื่อเป็นการขอบคุณที่ทุกท่านให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ทางร้านจึงเปิดรับจอง ท่านใดต้องการซื้อรูบิค ให้มาลงทะเบียนและวางเงินมัดจำเอาไว้ครึ่งราคา เมื่อทางร้านได้รับรูบิคมา ตอนที่ทุกท่านมารับสินค้า จะต้องจ่ายเงินอีกครึ่งเพื่อรับสินค้าไปก็ถือเป็นอันจบสิ้น…”เมื่อได้ยินผู้ดูแลร้านกล่าวเช่นนี้ หยุนเจิงก็ตกตะลึงขึ้นพ่อค้าหน้าเลือดผู้นี้!แม้แต่เรื่องรับจองก็คิดออกมาได้หน้าเลือดถึงขั้นสุดจริงๆ!อันที่จริงรูบิคสามชั้นไม่ได้ทำยากเลย รอให้รูบิคถูกเผยแพร่ออกไป ก็จะมีคนจำนวนไม่น้อยลอกเลียนแบบขึ้นแน่นอนเมื่อถึงตอนนั้นราคารูบิคต้องลดต่ำลงเป็นแน่แต่พ่อค้าหน้าเลือดผู้นี้กลับใช้วิธีเช่นนี้ นี่เท่ากับว่าเขาได้ล็อคราคาเอาไว้แล้ว!ต่อให้ตอนนั้นราคารูบิคนี้จะลดต่ำลงมากเพียงใด และต่อให้พวกเขาไม่จ่ายเงินอีกครึ่ง ก็ยังได้กำไรเป็นกอบเป็นกำอยู่ดี!ช่างเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!ในขณะที่หยุนเจิงกำลังแอบครุ่นคิดอยู่นั้น เหล่าฝูงชนต่างรุมล้อมกันอี
ภายใต้การนำทางของผู้ดูแลร้าน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงคฤหาสน์แห่งหนึ่งคฤหาสน์แห่งนี้มีพื้นที่ไม่ใช่เล็กๆ เลย ยังมีเสียงเลื่อยไม้ดังมาจากด้านในคฤหาสน์อีกด้วยผู้ดูแลร้านเปิดประตูคฤหาสน์พรวดพราดเข้าไปและกล่าวกับบ่าวรับใช้ว่า “รีบไปแจ้งคุณชายว่าองค์ชายหกมาเยี่ยมเยือน!”องค์ชายหกหรือ!หนังตาของบ่าวรับใช้กระตุกขึ้นด้วยความตกใจ รีบโค้งคำนับอย่างเคารพว่า “องค์ชายหกได้โปรดรอสักครู่ ข้าน้อยจะรีบไปแจ้งให้นายท่านทราบขอรับ”หยุนเจิงโบกมือไปมาบอกให้บ่าวรับใช้ผู้นั้นรีบไปบ่าวรับใช้ไม่กล้ารอช้า รีบวิ่งพรวดพราดเข้าไปแจ้งอย่างรวดเร็วไม่นานนัก ก็มีเสียงหงุดหงินเสียงหนึ่งดังออกมาจากด้านใน“ไปบอกว่าข้าไม่อยู่!”“ตอนนี้ข้าได้ยินคำว่าองค์ชายหกสามคำนี้ข้าโกรธมาก พวกเจ้าทุกคนฟังคำข้าเอาไว้ให้ดี ต่อไปนี้หากใครพูดคำสามคำนี้ให้ข้าได้ยิน ข้าจะหักเงินเดือนของพวกเจ้าทุกคน!”“ข้าบอกให้เจ้าไปก็ไปสิ ยังจะมาพูดจาไร้สาระอยู่ทำไมเล่า…”สิ่งนี้เหมือนเป็นการยืนยันในคำพูดของผู้ดูแลร้านว่าเจ้านายของพวกเขาอารมณ์ไม่ดีอยู่จริงๆอีกอย่าง จากคำพูดของเขาเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าเขาจะมีอคติต่อหยุนเจิงมากหยุนเจิงรู้
เห็นได้ชัดว่าจางซูกำลังตีวัวกระทบคราดสีหน้าของเกาเหอเปลี่ยนไป เขากล่าวด้วยความโกรธว่า “บังอาจ เจ้าจางซู สามหาว เจ้ากล้าดูหมิ่นองค์ชายหกได้อย่างไร!”“เจ้าเป็นใครกัน!”จางซูลุกพรวดขึ้น จ้องมองเกาเหอด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามพลางเดินไป “เจ้าเสแสร้งแกล้งทำให้มันน้อยๆ หน่อย หูข้างไหนของเจ้าที่ได้ยินข้าดูถูกเหยียดหยามองค์ชายหกห๊ะ?”สีหน้าของเกาเหอเย็นชา เขากล่าวด้วยความโกรธว่า “เมื่อครู่เจ้าเป็นคนพูดเองว่า…”จางซูหน้าสั่น เชิดหน้าชูตากล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าบอกว่าใครเอาขี้สุนัขเข้ามา ทำไม หรือว่าเจ้าคิดว่าองค์ชายหกเป็นขี้สุนัขอย่างนั้นหรือ?”“นี่เจ้า…”เกาเหอถูกย้อนกลับเช่นนี้ถึงกับใบ้แดกพูดไม่ออกเลยทีเดียวหยุนเจิงยกมือขึ้นห้ามเกาเหอ ดวงตามองดูเจ้าก้อนเนื้อตรงหน้าขึ้นลงอย่างพิจารณา “ข้าว่าข้ากับเจ้าเราไม่เคยเจอกัน ข้าไม่น่าจะเคยล่วงเกินเจ้ากระมัง แต่ข้ารู้สึกเหมือนเจ้าจะอคติกับข้ามากนะ!”“ท่านก็คงจะเป็นองค์ชายหกกระมัง?”จางซูโค้งคำนับเล็กน้อย กล่าวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าน้อยอ้วนเกินไป ไม่สะดวกคารวะ ได้โปรดองค์ชายอภัยให้ด้วย!”ได้!ดูท่าคนผู้นี้จะมีอคติกับตนมากเกินไปแล้วจริ
ภายใต้การเค้นถามของหยุนเจิง ในที่สุดจางซูก็บอกถึงเหตุผลจะให้พูดถึงเรื่องจางซูถูกขับไล่ออกจากบ้านใช่หรือไม่ นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมเลยเดิมทีเมื่อก่อนหยุนเจิงมีชื่อเสียงในนามที่เป็นองค์ชายไร้ประโยชน์ ทุกครั้งที่จางฮว๋ายสั่งสอนหลานชายที่ไม่ได้เรื่องอย่างจางซู จางซูก็มักจะเอาหยุนเจิงมาเป็นโล่กำบัง บอกว่าองค์ชายหกเป็นถึงองค์ชายผู้สูงศักดิ์แต่ยังเขลาเบาวิชา เรื่องวรยุทธ์ก็ไม่ได้เรื่องแม้จางฮว๋ายจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เขาก็ไม่อาจหาคำพูดใดมาหักล้างได้ทว่า นับตั้งแต่คณะทูตเป่ยหวนมาที่เมืองหลวง หยุนเจิงก็เจิดจรัสมาก จนกระทั่งจากเดิมทีที่เป็นองค์ชายไร้ประโยชน์ กลายมาเป็นวีรบุรุษแห่งแคว้นต้าเฉียนไปเสียอย่างนั้นด้วยเหตุนี้ จางฮว๋ายเห็นเขาแล้วรู้สึกขัดตาขัดใจ คำพูดแต่ละคำล้วนแต่เอาหยุนเจิงมาเปรียบเทียบกับเขาจางฮว๋ายบอกว่าแม้องค์ชายหกจะเขลาเบาปัญญา การสู้รบไม่ได้เรื่อง แต่เมื่อคณะทูตเป่ยหวนมาครั้งนี้ กลับทำให้จักรพรรดิเหวินภาคภูมิใจมาก แต่พอหันกลับมาดูจางซูเจ้าสารเลวโง่เขลาเบาปัญญาผู้นี้แล้ว ต่อให้ถึงวันที่ตนเข้าโลงก็คงไม่อาจทำให้ตนภาคภูมิใจได้…เพียงแค่คำพูดประโยคเดียวนี้ จางฮ
ภายในเวลาสี่ถึงห้านาที หยุนเจิงก็หมุนรูบิคทั้งกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้“ของที่ข้าปล้นเจ้ามา ข้าคืนให้!”หยุนเจิงยื่นรูบิคที่แก้กลับให้เป็นเหมือนเดิมแล้วให้กับจางซูหนังตาของจางซูกระตุกขึ้น มองรูบิคด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้รวดเร็วยิ่งนักแม้จางซูจะตกใจ แต่ปากเขาก็ยังคงปากแข็งไม่ยอมรับ ทำเสียงฮึดฮัดออกทางจมูกและกล่าวว่า “ก็แค่เคยชินก็เลยบังเอิญทำได้ก็แค่นั้น ให้ข้าใช้เวลาเล่นนานกว่านี้อีกสักหน่อย ข้าก็ทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้เหมือนกัน!”หยุนเจิงส่ายหน้าพลางยิ้ม “หากข้าไม่สอนเจ้า เกรงว่าเจ้าไม่มีทางทำได้หรอก”จางซูแบะปาก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยอมรับหยุนเจิงก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด อีกทั้งยังกล่าวพึมพำอีกว่า “จางเก๋อเหล่าเป็นคนรอบรู้เรื่องวิชาความรู้ปรัชญามากมาย สกุลจางก็เต็มไปด้วยคนที่มีความสามารถ เจ้าที่ไร้ความสามารถอยู่ในสกุลจาง คาดว่าคงไม่ได้รับการยอมรับจากสกุลจางสักเท่าไหร่หน่ะสิ?”“ใช่ ข้ามันคนไร้ความสามารถ หิวก็กินไปวันๆ รอความตายก็เท่านั้น”จางซูกล่าวออกมาตรงๆ และไม่ลืมที่จะประชดประชัน “ท่านเองก็อาศัยการอ่านตำราโบราณและความโชคด
คำพูดของหยุนเจิงทำให้จางซูค้นพบเป้าหมายของตัวเองได้สำเร็จทัศนคติที่จางซูมีต่อหยุนเจิงได้เปลี่ยนไปทันที เขากระตือรือร้นเป็นอย่างมากทัศนคติของจางซูก่อนหน้านี้กับตอนนี้เปลี่ยนไปมากจนหยุนเจิงไม่ทันตั้งตัวในตอนกลางวัน จางซูพยายามลากหยุนเจิงไปที่หอสุราที่ดีที่สุดในเมืองหลวงอย่างเอาจริงเอาจังเขาต้องทำดีกับคนรู้ใจคนนี้ให้มากๆ“องค์ชาย ผ่านมานานหลายปีแล้ว ในที่สุดข้าก็เจอคนที่เข้าใจข้าจริงๆ สักที!”“องค์ชาย ไม่รู้หรอกว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาข้าต้องเจอกับอันใดบ้างแล้วข้าผ่านมันมาได้อย่างไร!”“เป็นเพราะว่าข้าไม่รู้วิชา ไม่เก่งในเรื่องแต่งบทกวี ไม่ว่าข้าทำอะไรมันก็ผิดไปเสียหมด”ภายในหอสุรา จางซูร่ำสุราพลางพร่ำครวญระบายทุกข์ในใจกับหยุนเจิงเมื่อกล่าวมาถึงตอนนี้ ดวงตาของจางซูก็แดงก่ำขึ้นแต่หยุนเจิงกลับเข้าใจความรู้สึกของจางซูท่านปู่ของเขาเป็นผู้รอบรู้วิชา อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ของจักรพรรดิเหวินอีกด้วยการเติบโตมาในครอบครัวเช่นนี้ หากไม่รู้วิชา นั่นนับว่าเป็นความผิดอันใหญ่หลวงแล้วจางซูยกซดสุราเข้าไปอึกใหญ่ ก่อนจะกล่าวอีกว่า “ข้าจะไม่ปิดบังองค์ชาย วันที่สิบห้าของทุกๆ เดือน ข้าไ
“ข้าตัดสินใจแล้ว อีกสองวันงานสมาคม ข้าจะไปเข้าร่วม!”“ข้าจะเรียกหญิงงามสิบกว่าคนมาปรนนิบัติข้า ข้าจะนั่งเสพสุขเหมือนนายท่านผู้มั่งคั่งคนอื่นๆ ให้ไอ้พวกสุนัขเหล่านั้นอิจฉาเล่นๆ ฮ่าๆๆ!”“องค์ชายช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก ผู้มีความสามารถอย่างท่านอ๋องหาได้ยากยิ่งนัก…”จางซูตื่นเต้นจนแทบจะเต้นแร้งเต้นกาแล้ว กล่าวชื่นชมหยุนเจิงยกใหญ่หยุนเจิงได้ยินคำชื่นชมของเขา แต่สีหน้าของเขากลับดำคล้ำขึ้นเจ้านี่คงจะไม่ทำจริงๆ กระมัง!หากจางเก๋อเหล่ารู้ว่าตนเป็นคนแนะนำให้จางซุทำเช่นนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจางเก๋อเหล่าจะฆ่าตัวตายในจวนองค์ชายหกหรือไม่“ค่อกๆๆ…”หยุนเจิงส่งเสียงไอกระแอมเพื่อตัดบทการตื่นเต้นของจางซู “เราอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องสมาคมกวีเลย เรามาพูดเรื่องสำคัญของเราจะดีกว่า!”“เรื่องสำคัญอย่างนั้นหรือ?”จางซูสงสัย เขาจึงพูดโพล่งออกมาว่า “เรามาดื่มสนุกๆ กัน ยังจะมีเรื่องสำคัญอันใดคุยอีกหรือ?”“ข้า…”หยุนเจิงสะดุ้งเล็กน้อยเจ้าบ้าเอ้ย!อยู่ด้วยกัน พวกเขาในฐานที่เป็นคนไร้ประโยชน์ทั้งสองแห่งเมืองหลวง พอมาอยู่ด้วยกันแล้วจะทำแต่เรื่องไร้สาระเช่นนี้นะหรือจางซูสังเกตเห็นสายตาที่ผิดปกติไปข
“เช่นนั้นพวกเรามารอดูกันเถอะ!” หยุนลี่พยายามฝืนยิ้มเล็กน้อย จักรพรรดิเหวินใช้หางตามองหยุนลี่แวบหนึ่ง ก่อนจะถามต่อว่า “จ้าวจี๋ เจ้าคิดว่าหยวนกุยเป็นอย่างไร?” “เอ่อ…” จ้าวจี๋ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “หยวนกุยอาจไม่เหมาะกับภารกิจใหญ่โต แต่ตำแหน่งนายทหารม้ายังพอเหมาะสมอยู่พ่ะย่ะค่ะ” พูดตามตรง จ้าวจี๋เองก็ไม่ได้ให้ค่าหยวนกุยนัก ไม่เพียงแต่หยวนกุย แม้แต่หยวนฉงเขาก็ยังดูถูก แม้หยวนฉงเคยเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งซ้ายถุนเว่ย แต่ในสายตาของเขา หยวนฉงเป็นเพียงนักรบเถื่อนเท่านั้น “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” จักรพรรดิเหวินยิ้มเล็กน้อยโดยไม่กล่าวอะไรเพิ่มเติม ไม่นาน เสียงกลองก็ดังขึ้น พร้อมกันนั้น นาฬิกาทรายก็เริ่มนับเวลา ทว่า นาฬิกาทรายนี้แตกต่างจากนาฬิกาทรายสมัยใหม่ มันเป็นเพียงกรวยที่เรียบง่าย กำหนดเวลาตามน้ำหนักของทรายที่ไหลออกมา เมื่อได้ยินเสียงกลอง โจวเต้ากงก็รีบนำทัพจากระยะ 500 เมตรพุ่งไปยังจุดรวมพลทันที เสียงกีบม้าที่กระหึ่มก่อให้เกิดฝุ่นคละคลุ้ง หยุนเจิงและพวกไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่นั่งชมอยู่บนกำแพงเมืองอย่างสงบ สำหรับการประลองประเภทนี้ หยุนเจิงไม่ได้สนใจอะไรมากนั
วันถัดมา หลังจากที่จ้าวจี๋นำกองทัพมาถึง การแสดงศิลปะการต่อสู้ก็พร้อมเริ่มต้นการแสดงครั้งนี้แบ่งออกเป็นสามช่วงการจัดทัพ การชนทัพ และการทดสอบยิงธนูบนหลังม้าทางราชสำนักส่งทหารม้า 5,000 นาย โดยมีจ้าวจี๋เป็นแม่ทัพหลัก โจวเต้ากงและหยวนกุยเป็นแม่ทัพรองกองทัพมณฑลทางเหนือส่งทหารม้าอีก 5,000 นาย นำโดยแม่ทัพหยูซื่อจง โดยแบ่งเป็นทหารของหยูซื่อจง 2,000 นาย ขบวนส่งเจ้าสาวจากเป่ยหวน 2,000 นาย และทหารกองเลือดอีก 1,000 นายการประลองรอบแรกเป็นการจัดทัพจักรพรรดิเหวินนั่งอยู่บนกำแพงเมืองในท่าทางอ่อนแอ ขณะที่หยุนเจิง หยุนลี่ เจียเหยา และจ้าวจี๋นั่งอยู่ด้านข้างในตำแหน่งที่ลึกเข้าไปเล็กน้อย“จ้าวจี๋ เจ้ามั่นใจว่าจะชนะขนาดนั้นเลยหรือ?”จักรพรรดิเหวินสวมเสื้อคลุม มีผ้าห่มขนแกะคลุมอยู่ พลางเอนตัวสอบถามจ้าวจี๋เดิมทีจ้าวจี๋ควรจะเข้าร่วมการแสดงศิลปะการต่อสู้ในลานกว้างนอกเมือง แต่เขาคิดว่าการจัดทัพเพียงอย่างเดียวไม่จำเป็นต้องลงมือเอง จึงขออนุญาตชมอยู่บนกำแพงเมืองจ้าวจี๋ทำท่าจะลุกขึ้น แต่จักรพรรดิเหวินยกมือห้ามไว้ “ไม่ต้องลุก นั่งตรงนั้นแหละดีแล้ว”จ้าวจี๋รับคำสั่งก่อนจะนั่งลงอย่างสำรวมและตอบว่า “ห
หยุนเจิงพยักหน้าเบาๆเมื่อเห็นว่าหยุนเจิงไม่ได้แสดงอาการต่อต้าน จักรพรรดิเหวินจึงเผยรอยยิ้มพึงพอใจ พลางตบไหล่หยุนเจิง “เมื่อกลับไปยังเมืองหลวง ข้าจะให้พี่สามของเจ้าทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทน! เจ้าจะคว้าโอกาสไว้ได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองแล้ว!”ให้เจ้าสามเป็นผู้สำเร็จราชการแทน?หยุนเจิงมองจักรพรรดิเหวินด้วยความประหลาดใจเจ้าเฒ่านี่กำลังคิดจะทำอะไรกันแน่?เจ้าสามได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทน เช่นนั้นคงไม่พ้นต้อง…เมื่อคิดเช่นนั้น ใบหน้าของหยุนเจิงก็พลันปรากฏความเข้าใจแจ่มแจ้ง“ลูกขอบพระทัยเสด็จพ่อมากพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนเจิงถอยหลังไปเล็กน้อย พลางทำความเคารพจักรพรรดิเหวินด้วยความนอบน้อมเขาเข้าใจเจตนาของจักรพรรดิเหวินแล้ว!การให้เจ้าสามเป็นผู้สำเร็จราชการแทน จะทำให้เจ้าสามฉวยโอกาสกวาดล้างผู้ที่คิดต่าง!ถึงเวลานั้น ขุนนางในราชสำนักเหล่านั้นอาจเกิดความไม่พอใจในตัวพี่เจ้าสาม แล้วหันมาสนับสนุนตนเองแทนตาเฒ่านี่ช่างวางแผนปูทางไว้ให้ตนเองจริงๆ!“พอแล้ว เข้าใจเช่นนี้ก็ดีแล้ว”จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยความพึงพอใจ ก่อนถามด้วยความคาดหวัง “เจ้าได้คิดวิธีที่จะทำให้ข้าวางใจไปยังเป่ยหว
“หาอะไร!”จักรพรรดิเหวินพูดด้วยความหงุดหงิด “อย่าหาว่าข้าไม่เตือน หากพี่สามของเจ้าถึงกับไม่อยากเป็นองค์รัชทายาทเพราะเจ้า ต่อไปเรื่องยุ่งเหยิงทั้งหมด เจ้าก็รับผิดชอบเองแล้วกัน!”“คงไม่ถึงขนาดนั้นกระมังพ่ะย่ะค่ะ?”หยุนเจิงได้แต่ยิ้มทั้งน้ำตาเจ้าสามเพื่อจะได้ตำแหน่งองค์รัชทายาท อะไรที่ทำได้เขาก็ทำทั้งนั้นแค่เล่นงานเขาเล็กน้อย จะถึงขั้นไม่อยากเป็นองค์รัชทายาทเลยหรือ?ถ้าให้เจ้าสามขึ้นเป็นจักรพรรดิ แล้ววันใดศัตรูต่างชาติบุกเข้ามา เขาจะไม่คิดอยากเป็นจักรพรรดิอีกหรืออย่างไร?“ไม่ถึงขนาดนั้นบ้าอะไร!”จักรพรรดิเหวินพ่นลมอย่างไร้มารยาท “ในประวัติศาสตร์ทุกยุคทุกสมัย เว้นแต่พวกที่ใกล้ล่มสลาย ไม่มีองค์รัชทายาทที่ไร้น้ำยาเท่านี้มาก่อน! ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเขายังมีประโยชน์มากนัก ต่อไปเจ้าจงสงบเสงี่ยมหน่อย อย่าเล่นงานพี่สามของเจ้าโดยไม่มีเหตุผล!”บางครั้งเมื่อคิดถึง ก็อดสงสารเจ้าสามไม่ได้ไม่รู้ว่า หากเจ้าสามรู้ความจริงเข้า จะถึงกับเป็นบ้าหรือไม่แม้ว่าจะไม่ขัดขวางหยุนเจิงเล่นงานเจ้าสาม แต่ทุกเรื่องต้องมีขอบเขต!โชคดีที่พี่เจ้าสามยังอายุน้อยหากเจ้าสามอายุเท่าตนเอง เกรงว่าคงถูกเจ้าลูกอกตัญ
หยุนลี่พลันเข้าใจแจ่มแจ้ง มองจักรพรรดิเหวินด้วยความนับถือเต็มใบหน้าเสด็จพ่อช่างมีความคิดล้ำลึกยิ่งนัก!แม้กระทั่งเรื่องนี้ก็ยังทรงคำนึงถึง!“เสด็จพ่อทรงมีสายตากว้างไกล ลูกนับถือจนสุดหัวใจพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนลี่กล่าวด้วยความจริงใจนี่หาใช่คำเยินยอไม่ แต่เป็นความนับถืออย่างแท้จริงเพียงเรื่องเดียว กลับมีจุดประสงค์มากมายถึงเพียงนี้“เจ้าสาม เจ้ายังอ่อนประสบการณ์เกินไป…”จักรพรรดิเหวินถอนหายใจเบาๆ “เรื่องนี้เจ้ายังต้องเรียนรู้จากเจ้าหกให้มาก! หากเจ้าหกมีเพียงกำลังทหารแข็งแกร่ง ข้าก็หาได้หวาดกลัวเขาไม่! แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในตัวเจ้าหกลูกอกตัญญูผู้นี้คือสมองของเขา เขามักคิดการณ์ไกลอยู่เสมอ เขาอยู่ในจวนปี้ปัวมาสองสิบกว่าปี ข้าคิดว่าเขาคงใช้เวลาส่วนใหญ่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องเหล่านี้…”ในข้อนี้ หยุนลี่เองก็เห็นด้วยไม่มีใครรู้เท่ากับเขาว่าเจ้าหกมีความเจ้าเล่ห์เพียงใดไอ้สารเลวนี้ เมื่อก่อนในจวนปี้ปัวทำตัวขี้ขลาดแน่นอนว่าคงหมกมุ่นอยู่แต่การวางแผนเล่นงานผู้อื่น!ไม่เช่นนั้น ไอ้สารเลวนี้จะมีความเจ้าเล่ห์ได้ถึงเพียงนี้หรือ?“เสด็จพ่อสั่งสอนได้ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนลี่กล่าวด้วยความละอาย
"นี่..." หยุนลี่อ้าปากค้างไปชั่วขณะ แต่ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้ เขารู้ดีว่าจักรพรรดิเหวินตรัสอย่างมีเหตุผล ตระกูลใหญ่และขุนนางไม่ได้สนใจว่าใครจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ พวกเขาสนแต่ผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น ตอนนี้หยุนเจิงมีกองกำลังที่แข็งแกร่ง หากเขาก่อกบฏ เกรงว่าตระกูลใหญ่และขุนนางหลายคนจะเข้าข้างหยุนเจิง บางตระกูลที่มีความทะเยอทะยาน อาจถึงขั้นร่วมมือกันยกทัพก่อกบฏ แค่หยุนเจิงคนเดียวก็จัดการได้ยากมากอยู่แล้ว ถ้าหลังบ้านของเรายังมีปัญหาเพิ่มเติม ราชสำนักอาจไม่มีแม้แต่แรงที่จะต่อต้านเลยก็เป็นได้ หยุนลี่ครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจกัดฟันพูดว่า "ลูกจะเชื่อเสด็จพ่อ! เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ลูกจะทำทุกวิถีทางเพื่อลดอำนาจของพวกตระกูลใหญ่และขุนนาง!" เอาเป็นว่าทำตามนี้! ถ้าไม่จัดการกับพวกตระกูลใหญ่และขุนนาง เงินทองของตัวเองจะมาจากไหน? เพราะนั่นมันตั้งสี่แสนตำลึงเงินนะ! เงินที่ยึดมาได้จากพวกตระกูลใหญ่และขุนนาง บางส่วนจะสามารถเข้ากระเป๋าของตัวเองได้ เพื่อชดเชยความเสียหาย ส่วนหนึ่งสามารถนำเข้าคลังหลวง เพื่อนำไปเตรียมการกองทัพและป้องกันหยุนเจิง! "ถูกต้องแล้ว!" จักรพรรดิเห
“เฮ้อ…” จักรพรรดิเหวินถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะตบมือหยุนลี่เบาๆ แล้วถามต่อ "เจ้าไปคุยกับเจ้าหกมาเป็นอย่างไรบ้าง?" พอพูดถึงเรื่องนี้ ไฟโทสะที่หยุนลี่เพิ่งกดไว้ก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง แต่โชคดีที่เขาเพิ่งพ่นเลือดไปสองครั้งและปลอบใจตัวเองมาพอสมควร เลยไม่ถึงกับพ่นเลือดออกมาอีก ถึงจะโกรธแค่ไหน แต่หยุนลี่ก็ยังเล่าเรื่องข้อตกลงระหว่างเขากับหยุนเจิงออกมา "ไอ้ลูกอกตัญญูช่างกล้าบ้าบิ่น!" พอจักรพรรดิเหวินได้ฟังเรื่องราวจากหยุนลี่ ก็โมโหจนหายใจแรง "เสด็จพ่ออย่าทรงกริ้ว ขอให้รักษาพระวรกายไว้ก่อนเถิด..." หยุนลี่รีบยื่นมือไปช่วยประคองลมหายใจของจักรพรรดิเหวินให้สงบลง จักรพรรดิเหวินพ่นลมหายใจอย่างแรงอยู่พักใหญ่ จนในที่สุดก็เริ่มสงบลงได้ หลังจากนั้นไม่นาน จักรพรรดิเหวินก็หันไปมองหยุนลี่ด้วยสีหน้าเย็นชา "พรุ่งนี้เจ้าเด็กอกตัญญูยังต้องมาคารวะข้า เจ้าคิดว่าถ้าข้าให้คนซุ่มรอไว้ก่อน จะมีโอกาสจับมันได้ครั้งเดียวหรือไม่?" "ไม่ได้เด็ดขาด!" หยุนลี่รีบห้ามพระองค์จากความคิดบ้าคลั่งนั้น "เสด็จพ่อก็ทรงเห็นแล้วว่าเจ้าหกระวังตัวตลอดเวลา หากจับตัวมันไม่ได้ในการลงมือครั้งเดียว จะยิ่งทำให้มันโกรธแค้น ใน
เมื่อกลับถึงจวนพัก หยุนลี่ก็ระบายความโกรธด้วยการฟันหิมะอย่างบ้าคลั่ง น่าขายหน้า! ขายหน้าสิ้นดี! ทั้งชีวิตนี้เขาไม่เคยขายหน้าขนาดนี้มาก่อน เขารู้ว่าในการมาฟู่โจวครั้งนี้จะต้องถูกหยุนเจิงหลอก แต่ไม่คิดว่าจะโดนเล่นงานถึงขนาดนี้ ทั้งเงิน ทั้งข้าว ทั้งที่ดิน... ตัวเองยังสมควรเป็นองค์รัชทายาทอยู่อีกหรือ? เขากลายเป็นตัวตลกเต็มประตู! น่าชิงชัง! น่าชิงชังที่สุด! หยุนลี่ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ เลือดลมภายในร่างพลุ่งพล่านไม่หยุด "พรวด..." เมื่อความโกรธทำให้เลือดลมตีขึ้น หยุนลี่ก็ทนไม่ไหวและพ่นเลือดออกมาคำใหญ่ ร่างของหยุนลี่เซไปมาจนเกือบล้มลงกับพื้น โชคดีที่ในจังหวะที่ร่างกำลังจะทรุดลง เขาปักดาบลงพื้น ใช้ดาบค้ำยันตัวเองไว้ พร้อมคุกเข่าข้างหนึ่ง "องค์รัชทายาทเพคะ!" เหล่าข้ารับใช้รีบร้องตะโกนด้วยความตื่นตกใจ ก่อนกรูเข้ามาหา "ไสหัวไป ไสหัวไปให้หมด..." หยุนลี่ตะโกนเสียงต่ำ ขณะที่ปาดคราบเลือดที่มุมปากออกอย่างลวกๆ เขาไม่ต้องการให้ใครเห็นสภาพอันน่าอับอายของตัวเอง เขาคือองค์รัชทายาทแห่งแผ่นดิน ต่อให้เป็นอย่างไรก็ยังต้องรักษาหน้าตาไว้ เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของหยุนลี่ บรรด
เมื่อเจอคำขู่ของหยุนเจิง หยุนลี่ถึงกับตัวสั่นไปทั้งร่างด้วยความโกรธ ลังเลอยู่นาน ในที่สุดหยุนลี่ก็กัดฟันยอมรับ "ตกลง สี่ล้านตำลึง! เหมือนกับเรื่องเสบียง ให้ชำระภายในสิ้นปี!" เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา หยุนลี่แทบกระอักเลือด เขาเคยคิดไว้ว่าจะพึ่งจางซูผู้เป็นเหมือนเทพเจ้าแห่งทรัพย์สมบัติเพื่อหาเงินได้อย่างมหาศาล ตอนนี้ เงินหาได้มาก็จริง แต่ยังไม่ทันได้ใช้ให้คุ้ม เจ้าสุนัขตัวนี้ก็มาจ้องตาเป็นมันแล้ว แถมยังต้องควักทุนสำรองออกมา และไปยืมเงินจากคนอื่นอีก! "ทีนี้มาพูดเรื่องช่างฝีมือกันเถอะ!" หยุนเจิงยิ้มอย่างพึงพอใจ "อย่ามาพูดเรื่องไปหาเอาจากกรมโยธาเลย แค่ช่างต่อเรือสองพันคนเอง ไม่ใช่ว่าสร้างเรือรบสองพันลำ! ข้าอาจไม่ยุ่งเรื่องในราชสำนัก แต่ก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ยากสำหรับเจ้า" ไม่ยาก? ในใจหยุนลี่ด่าไม่หยุด นี่มันช่างต่อเรือที่มีการลงทะเบียนเอาไว้! ล้วนมีทะเบียนช่างฝีมืออยู่! ไม่ใช่พวกผู้อพยพสองพันคน! "หนึ่งพัน!" หยุนลี่พยายามระงับโทสะ "จะเคลื่อนย้ายคนที่มีทะเบียนช่างฝีมือเยอะๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย! การควบคุมช่างต่อเรืออาจไม่เข้มงวดเท่าช่างทำเกราะ แต่ถ้ามีทะเบียนติดตัว..."