ภายใต้การนำทางของผู้ดูแลร้าน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงคฤหาสน์แห่งหนึ่งคฤหาสน์แห่งนี้มีพื้นที่ไม่ใช่เล็กๆ เลย ยังมีเสียงเลื่อยไม้ดังมาจากด้านในคฤหาสน์อีกด้วยผู้ดูแลร้านเปิดประตูคฤหาสน์พรวดพราดเข้าไปและกล่าวกับบ่าวรับใช้ว่า “รีบไปแจ้งคุณชายว่าองค์ชายหกมาเยี่ยมเยือน!”องค์ชายหกหรือ!หนังตาของบ่าวรับใช้กระตุกขึ้นด้วยความตกใจ รีบโค้งคำนับอย่างเคารพว่า “องค์ชายหกได้โปรดรอสักครู่ ข้าน้อยจะรีบไปแจ้งให้นายท่านทราบขอรับ”หยุนเจิงโบกมือไปมาบอกให้บ่าวรับใช้ผู้นั้นรีบไปบ่าวรับใช้ไม่กล้ารอช้า รีบวิ่งพรวดพราดเข้าไปแจ้งอย่างรวดเร็วไม่นานนัก ก็มีเสียงหงุดหงินเสียงหนึ่งดังออกมาจากด้านใน“ไปบอกว่าข้าไม่อยู่!”“ตอนนี้ข้าได้ยินคำว่าองค์ชายหกสามคำนี้ข้าโกรธมาก พวกเจ้าทุกคนฟังคำข้าเอาไว้ให้ดี ต่อไปนี้หากใครพูดคำสามคำนี้ให้ข้าได้ยิน ข้าจะหักเงินเดือนของพวกเจ้าทุกคน!”“ข้าบอกให้เจ้าไปก็ไปสิ ยังจะมาพูดจาไร้สาระอยู่ทำไมเล่า…”สิ่งนี้เหมือนเป็นการยืนยันในคำพูดของผู้ดูแลร้านว่าเจ้านายของพวกเขาอารมณ์ไม่ดีอยู่จริงๆอีกอย่าง จากคำพูดของเขาเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าเขาจะมีอคติต่อหยุนเจิงมากหยุนเจิงรู้
เห็นได้ชัดว่าจางซูกำลังตีวัวกระทบคราดสีหน้าของเกาเหอเปลี่ยนไป เขากล่าวด้วยความโกรธว่า “บังอาจ เจ้าจางซู สามหาว เจ้ากล้าดูหมิ่นองค์ชายหกได้อย่างไร!”“เจ้าเป็นใครกัน!”จางซูลุกพรวดขึ้น จ้องมองเกาเหอด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามพลางเดินไป “เจ้าเสแสร้งแกล้งทำให้มันน้อยๆ หน่อย หูข้างไหนของเจ้าที่ได้ยินข้าดูถูกเหยียดหยามองค์ชายหกห๊ะ?”สีหน้าของเกาเหอเย็นชา เขากล่าวด้วยความโกรธว่า “เมื่อครู่เจ้าเป็นคนพูดเองว่า…”จางซูหน้าสั่น เชิดหน้าชูตากล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าบอกว่าใครเอาขี้สุนัขเข้ามา ทำไม หรือว่าเจ้าคิดว่าองค์ชายหกเป็นขี้สุนัขอย่างนั้นหรือ?”“นี่เจ้า…”เกาเหอถูกย้อนกลับเช่นนี้ถึงกับใบ้แดกพูดไม่ออกเลยทีเดียวหยุนเจิงยกมือขึ้นห้ามเกาเหอ ดวงตามองดูเจ้าก้อนเนื้อตรงหน้าขึ้นลงอย่างพิจารณา “ข้าว่าข้ากับเจ้าเราไม่เคยเจอกัน ข้าไม่น่าจะเคยล่วงเกินเจ้ากระมัง แต่ข้ารู้สึกเหมือนเจ้าจะอคติกับข้ามากนะ!”“ท่านก็คงจะเป็นองค์ชายหกกระมัง?”จางซูโค้งคำนับเล็กน้อย กล่าวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าน้อยอ้วนเกินไป ไม่สะดวกคารวะ ได้โปรดองค์ชายอภัยให้ด้วย!”ได้!ดูท่าคนผู้นี้จะมีอคติกับตนมากเกินไปแล้วจริ
ภายใต้การเค้นถามของหยุนเจิง ในที่สุดจางซูก็บอกถึงเหตุผลจะให้พูดถึงเรื่องจางซูถูกขับไล่ออกจากบ้านใช่หรือไม่ นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมเลยเดิมทีเมื่อก่อนหยุนเจิงมีชื่อเสียงในนามที่เป็นองค์ชายไร้ประโยชน์ ทุกครั้งที่จางฮว๋ายสั่งสอนหลานชายที่ไม่ได้เรื่องอย่างจางซู จางซูก็มักจะเอาหยุนเจิงมาเป็นโล่กำบัง บอกว่าองค์ชายหกเป็นถึงองค์ชายผู้สูงศักดิ์แต่ยังเขลาเบาวิชา เรื่องวรยุทธ์ก็ไม่ได้เรื่องแม้จางฮว๋ายจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เขาก็ไม่อาจหาคำพูดใดมาหักล้างได้ทว่า นับตั้งแต่คณะทูตเป่ยหวนมาที่เมืองหลวง หยุนเจิงก็เจิดจรัสมาก จนกระทั่งจากเดิมทีที่เป็นองค์ชายไร้ประโยชน์ กลายมาเป็นวีรบุรุษแห่งแคว้นต้าเฉียนไปเสียอย่างนั้นด้วยเหตุนี้ จางฮว๋ายเห็นเขาแล้วรู้สึกขัดตาขัดใจ คำพูดแต่ละคำล้วนแต่เอาหยุนเจิงมาเปรียบเทียบกับเขาจางฮว๋ายบอกว่าแม้องค์ชายหกจะเขลาเบาปัญญา การสู้รบไม่ได้เรื่อง แต่เมื่อคณะทูตเป่ยหวนมาครั้งนี้ กลับทำให้จักรพรรดิเหวินภาคภูมิใจมาก แต่พอหันกลับมาดูจางซูเจ้าสารเลวโง่เขลาเบาปัญญาผู้นี้แล้ว ต่อให้ถึงวันที่ตนเข้าโลงก็คงไม่อาจทำให้ตนภาคภูมิใจได้…เพียงแค่คำพูดประโยคเดียวนี้ จางฮ
ภายในเวลาสี่ถึงห้านาที หยุนเจิงก็หมุนรูบิคทั้งกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้“ของที่ข้าปล้นเจ้ามา ข้าคืนให้!”หยุนเจิงยื่นรูบิคที่แก้กลับให้เป็นเหมือนเดิมแล้วให้กับจางซูหนังตาของจางซูกระตุกขึ้น มองรูบิคด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้รวดเร็วยิ่งนักแม้จางซูจะตกใจ แต่ปากเขาก็ยังคงปากแข็งไม่ยอมรับ ทำเสียงฮึดฮัดออกทางจมูกและกล่าวว่า “ก็แค่เคยชินก็เลยบังเอิญทำได้ก็แค่นั้น ให้ข้าใช้เวลาเล่นนานกว่านี้อีกสักหน่อย ข้าก็ทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้เหมือนกัน!”หยุนเจิงส่ายหน้าพลางยิ้ม “หากข้าไม่สอนเจ้า เกรงว่าเจ้าไม่มีทางทำได้หรอก”จางซูแบะปาก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยอมรับหยุนเจิงก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด อีกทั้งยังกล่าวพึมพำอีกว่า “จางเก๋อเหล่าเป็นคนรอบรู้เรื่องวิชาความรู้ปรัชญามากมาย สกุลจางก็เต็มไปด้วยคนที่มีความสามารถ เจ้าที่ไร้ความสามารถอยู่ในสกุลจาง คาดว่าคงไม่ได้รับการยอมรับจากสกุลจางสักเท่าไหร่หน่ะสิ?”“ใช่ ข้ามันคนไร้ความสามารถ หิวก็กินไปวันๆ รอความตายก็เท่านั้น”จางซูกล่าวออกมาตรงๆ และไม่ลืมที่จะประชดประชัน “ท่านเองก็อาศัยการอ่านตำราโบราณและความโชคด
คำพูดของหยุนเจิงทำให้จางซูค้นพบเป้าหมายของตัวเองได้สำเร็จทัศนคติที่จางซูมีต่อหยุนเจิงได้เปลี่ยนไปทันที เขากระตือรือร้นเป็นอย่างมากทัศนคติของจางซูก่อนหน้านี้กับตอนนี้เปลี่ยนไปมากจนหยุนเจิงไม่ทันตั้งตัวในตอนกลางวัน จางซูพยายามลากหยุนเจิงไปที่หอสุราที่ดีที่สุดในเมืองหลวงอย่างเอาจริงเอาจังเขาต้องทำดีกับคนรู้ใจคนนี้ให้มากๆ“องค์ชาย ผ่านมานานหลายปีแล้ว ในที่สุดข้าก็เจอคนที่เข้าใจข้าจริงๆ สักที!”“องค์ชาย ไม่รู้หรอกว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาข้าต้องเจอกับอันใดบ้างแล้วข้าผ่านมันมาได้อย่างไร!”“เป็นเพราะว่าข้าไม่รู้วิชา ไม่เก่งในเรื่องแต่งบทกวี ไม่ว่าข้าทำอะไรมันก็ผิดไปเสียหมด”ภายในหอสุรา จางซูร่ำสุราพลางพร่ำครวญระบายทุกข์ในใจกับหยุนเจิงเมื่อกล่าวมาถึงตอนนี้ ดวงตาของจางซูก็แดงก่ำขึ้นแต่หยุนเจิงกลับเข้าใจความรู้สึกของจางซูท่านปู่ของเขาเป็นผู้รอบรู้วิชา อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ของจักรพรรดิเหวินอีกด้วยการเติบโตมาในครอบครัวเช่นนี้ หากไม่รู้วิชา นั่นนับว่าเป็นความผิดอันใหญ่หลวงแล้วจางซูยกซดสุราเข้าไปอึกใหญ่ ก่อนจะกล่าวอีกว่า “ข้าจะไม่ปิดบังองค์ชาย วันที่สิบห้าของทุกๆ เดือน ข้าไ
“ข้าตัดสินใจแล้ว อีกสองวันงานสมาคม ข้าจะไปเข้าร่วม!”“ข้าจะเรียกหญิงงามสิบกว่าคนมาปรนนิบัติข้า ข้าจะนั่งเสพสุขเหมือนนายท่านผู้มั่งคั่งคนอื่นๆ ให้ไอ้พวกสุนัขเหล่านั้นอิจฉาเล่นๆ ฮ่าๆๆ!”“องค์ชายช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก ผู้มีความสามารถอย่างท่านอ๋องหาได้ยากยิ่งนัก…”จางซูตื่นเต้นจนแทบจะเต้นแร้งเต้นกาแล้ว กล่าวชื่นชมหยุนเจิงยกใหญ่หยุนเจิงได้ยินคำชื่นชมของเขา แต่สีหน้าของเขากลับดำคล้ำขึ้นเจ้านี่คงจะไม่ทำจริงๆ กระมัง!หากจางเก๋อเหล่ารู้ว่าตนเป็นคนแนะนำให้จางซุทำเช่นนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจางเก๋อเหล่าจะฆ่าตัวตายในจวนองค์ชายหกหรือไม่“ค่อกๆๆ…”หยุนเจิงส่งเสียงไอกระแอมเพื่อตัดบทการตื่นเต้นของจางซู “เราอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องสมาคมกวีเลย เรามาพูดเรื่องสำคัญของเราจะดีกว่า!”“เรื่องสำคัญอย่างนั้นหรือ?”จางซูสงสัย เขาจึงพูดโพล่งออกมาว่า “เรามาดื่มสนุกๆ กัน ยังจะมีเรื่องสำคัญอันใดคุยอีกหรือ?”“ข้า…”หยุนเจิงสะดุ้งเล็กน้อยเจ้าบ้าเอ้ย!อยู่ด้วยกัน พวกเขาในฐานที่เป็นคนไร้ประโยชน์ทั้งสองแห่งเมืองหลวง พอมาอยู่ด้วยกันแล้วจะทำแต่เรื่องไร้สาระเช่นนี้นะหรือจางซูสังเกตเห็นสายตาที่ผิดปกติไปข
น้ำมันพริกหรือ!หยุนถิงสับสนมึนงง ไม่รู้ว่ามันเป็นของเล่นบ้าอันใดอีก“น้ำมันบ้าบออะไรของเจ้า!”หยุนถิงทำเสียงฮึดฮัดออกทางจมูก มองหยุนเจิงด้วยสีหน้าตักเตือน “ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าทำคุณงามความดีเอาไว้มาก และเจ้าก็ได้รับความโปรดปรานเต็มอย่างล้มหลาม! แต่ทางที่ดีเจ้าก็ควรอยู่ในที่ของตัวเอง ตอนนี้เจ้าอาจจะลำพองใจอยู่ก็ไม่เป็นไร รอให้เสด็จพ่อกลับไปเป็นเหมือนเดิมตอนที่เสด็จพ่อลืมเจ้าไม่เห็นเจ้าอยู่ในสายตาก่อนเถอะ เหอะๆ…”คำพูดตอนหลังหยุนเจิงไม่ได้กล่าวออกมาแต่ความหมายมันก็ชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว“พี่สี่ สับสนไปแล้วหรือไร?”หยุนเจิงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนตรงหน้าหยุนถิง จ้องมองหยุนถิง มองจนหยุนถิงเองรู้สึกขนลุกซู่อย่างประหลาด“เจ้าจะทำอะไร อยู่ห่างๆ ข้าหน่อย!”หยุนถิงตะคอกด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดีนัก“เฮ้อ ข้าอยากจำรอยยิ้มและหน้าตาอันสดใสของพี่สี่มากกว่า!”หยุนเจิงขมวดคิ้วและถอนหายใจ“รอยยิ้มและหน้าตาอันสดใสอย่างนั้นหรือ?”เส้นเลือดบนหน้าผากหยุนถิงกระตุก เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ทำไม เจ้าอยากจะเอาให้ข้าตายเลยหรือ?”อยากจำรอยยิ้มและหน้าตาอันสดใสคำนี้ส่วนมากใช้กับคนตายเจ้าสุนั
ขณะพูด หยุนถิงโบกมือเรียกคนสองสามคนให้ไปอีกฝั่งหนึ่งเขารู้สึกอับอายที่ต้องกินข้าวกับเศษสวะสองคนนี้!หากเจ้าหกพูดอะไรทำนองว่าให้จดจำเสียงและรอยยิ้มของเขาไว้ เขาล้วนรู้สึกหวาดผวา!ทันทีที่พวกเขานั่งลง ก็เอ่ยถามหยุนถิงด้วยอยากรู้อยากเห็น“องค์ชายสี่ ฝ่าบาททรงมีราชโองการให้องค์ชายหกไปที่ซั่วเป่ยจริงๆ หรือ”“ซั่วเป่ยกำลังตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก หากองค์ชายหกไปที่นั่น มิใช่รนหาที่ตายหรือ”“ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายหกทำให้ราชครูของเป่ยหวนโกรธจนอาเจียนเป็นเลือด หากองค์ชายหกไปที่ซั่วเป่ย เป่ยหวนคงทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชีวิตองค์ชายหกเป็นแน่...”พวกเขารู้สึกประหลาดใจ จึงพูดคุยกันไม่หยุดแม้ว่าเสียงของพวกเขาจะไม่ถือว่าดัง แต่คนรอบข้างได้ยินพวกเขาชัดเจนทันใดนั้น ผู้คนก็เริ่มพูดถึงเรื่องนี้กันมากขึ้นมุมปากของหยุนเจิงโค้งขึ้น หัวเราะลั่นในใจนี่คือผลลัพธ์ที่เขาต้องการ!ยืมปากของคนเหล่านี้ กระจายข่าวออกไป!ต้องการใช้ความคิดเห็นของปวงชนบีบบังคับให้จักรพรรดิเหวินจำใจต้องปล่อยเขาไปที่ซั่วเป่ย!“องค์ชายหก ท่านจะไปซั่วเป่ยจริงๆ หรือ”ยามนี้ จางซูเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ“อืม นี่คือพร