ขณะพูด หยุนถิงโบกมือเรียกคนสองสามคนให้ไปอีกฝั่งหนึ่งเขารู้สึกอับอายที่ต้องกินข้าวกับเศษสวะสองคนนี้!หากเจ้าหกพูดอะไรทำนองว่าให้จดจำเสียงและรอยยิ้มของเขาไว้ เขาล้วนรู้สึกหวาดผวา!ทันทีที่พวกเขานั่งลง ก็เอ่ยถามหยุนถิงด้วยอยากรู้อยากเห็น“องค์ชายสี่ ฝ่าบาททรงมีราชโองการให้องค์ชายหกไปที่ซั่วเป่ยจริงๆ หรือ”“ซั่วเป่ยกำลังตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก หากองค์ชายหกไปที่นั่น มิใช่รนหาที่ตายหรือ”“ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายหกทำให้ราชครูของเป่ยหวนโกรธจนอาเจียนเป็นเลือด หากองค์ชายหกไปที่ซั่วเป่ย เป่ยหวนคงทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชีวิตองค์ชายหกเป็นแน่...”พวกเขารู้สึกประหลาดใจ จึงพูดคุยกันไม่หยุดแม้ว่าเสียงของพวกเขาจะไม่ถือว่าดัง แต่คนรอบข้างได้ยินพวกเขาชัดเจนทันใดนั้น ผู้คนก็เริ่มพูดถึงเรื่องนี้กันมากขึ้นมุมปากของหยุนเจิงโค้งขึ้น หัวเราะลั่นในใจนี่คือผลลัพธ์ที่เขาต้องการ!ยืมปากของคนเหล่านี้ กระจายข่าวออกไป!ต้องการใช้ความคิดเห็นของปวงชนบีบบังคับให้จักรพรรดิเหวินจำใจต้องปล่อยเขาไปที่ซั่วเป่ย!“องค์ชายหก ท่านจะไปซั่วเป่ยจริงๆ หรือ”ยามนี้ จางซูเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ“อืม นี่คือพร
“โอ้โห คุณชายจาง วันนี้ลมอะไรพัดท่านมาที่นี่กันล่ะนี่”“ไม่พบเจอท่านตั้งหลายวัน แม่นางของพวกเราคิดถึงท่านจนกินข้าวไม่ลงแล้ว!”“ท่านลองดูว่าวันนี้จะเรียกหงเยว่หรืออวี้เซียงมาปรนนิบัติ?”พวกเขาเพิ่งจะถึงปากประตูฉวินฟางย่วน ก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากแม่เล้าเลยทันทีดูก็รู้เลยว่าจางซูนั้นเป็นแขกประจำจางซู?คนผู้นี้หากจะเที่ยวเล่นเช่นนี้ต่อไป ได้เป็นจางซูบแน่!“แค่คนสองคนจะไปพอได้อย่างไร?”จางซูจ้องแม่เล้าตาโต โบกมืออย่างวางอำนาจ “เรียกหญิงสาวมาให้ข้าสิบคนก่อนเถอะ!”“หา?”แม่เล้าตะลึงค้าง พอเห็นว่าพวกจางซูทั้งหมดมีสี่คนพอดี ก็ได้สติกลับมาทันที รอยยิ้มเต็มใบหน้าแล้วกล่าวว่า “ได้เลย ไม่มีปัญหา ข้าจะไปตามแม่นางให้พวกท่านสี่คน...”“ข้าบอกแล้วไงว่าสิบคน!”จางซูชูนิ้วทั้งสิบขึ้นกางออก “แล้วก็จัดให้สหายคนนี้ของข้าด้วยอีกสิบคน!”“…”หยุนเจิงพอได้ยิน แทบจะกระโดดถีบเลยทันทีเจ้านี่หนิ จะเรียกมาสิบคนจริงๆ รึ?คิดว่าตนเองเป็นหยิบหมั่น[footnoteRef:1]หรือไง [1: หยิบหมั่น เจ้าสำนักมวยหย่งชุน มีวรยุทธ์สูงส่ง หรือที่รู้จักกันในภาพยนตร์นามยิปมัน] “ข้าก็ไม่ต้องแล้ว”หยุนเจิงตีมือปัด
หยุนเจิงอ้ำอึ้งให้นางคณิกาชั้นสูงมาตัดสินคุณภาพของบทกวี?นี่มันทำตามอำเภอใจมากเกินไปแล้วกระมัง?จางซูมองเห็นถึงความรู้สึกสงสัยของหยุนเจิงจึงอธิบายให้เขาทันทีถึงแม้เมี่ยวอินคนนี้จะเป็นนางคณิกาในหอนางโลม แต่นางกลับขายศิลป์ไม่ขายตัวเมี่ยวอินไม่เพียงแต่งามดุจเทพเซียนเท่านั้น แต่นางยังมีความสามารถทั้งร้องรำ ดีดฉินเล่นหมากรุก เขียนหนังสือวาดภาพ หรือแม้แต่ประพันธ์บทกวีและบทเพลง นางก็ล้วนเชี่ยวชาญทุกด้าน เป็นหญิงงามที่มากความสามารถคนหนึ่งด้วยเหตุนี้ เมี่ยวอินถึงได้มีเหล่าผู้มีความรู้มากมายคอยติดตามถึงแม้ว่านางจะขายศิลป์ไม่ขายตัว แต่ก็มีคนมากมายที่สามารถเป็นหนึ่งในผู้โชคดีของนางได้เช่นกันในงานประพันธ์บทกวีทุกครั้งล้วนแต่มีเมี่ยวอินเป็นคนออกหัวข้อให้ฝูงชนประพันธ์กวีเรื่องประพันธ์บทกวีและบทเพลงนั้น จะดีหรือแย่ แท้จริงแล้วฝูงชนต่างก็ตัดสินอยู่ในใจไม่มากก็น้อย แม้นว่าเมี่ยวอินจะเป็นคนสุดท้ายที่ตัดสินว่าบทกวีไหนดีที่สุดก็ตาม แต่ฝูงชนต่างก็คอยตัดสินอยู่แล้วเมื่อฟังคำอธิบายของจางซูเสร็จ หยุนเจิงพลันตะลึงใจอย่างอดไม่ได้เมี่ยวอินคนนี้เป็นนักแสดงหญิงอันดับต้นของราชวงศ์ต้าเฉียนนั้นหรือ
“นี่แหละเมี่ยวอิน!”จางซูพรวดตัวลุกนั่งอย่างตื่นเต้นราวกับฉีดเลือดไก่มาปานนั้น แล้วมองเมี่ยวอินไม่ละสายตาดูท่าแล้ว จางซูเองก็เป็นหนุ่มผู้คลั่งไคล้เมี่ยวอินเหมือนกันนะเนี่ย!นี่แหละเมี่ยวอิน?หยุนเจิงขมวดคิ้ว “เจ้าบอกว่านางงามดุจเทพเซียนบนสรวงสวรรค์ไม่ใช่หรือ? ขนาดนางใช้ผ้าโปร่งคลุมหน้าไว้ เจ้ายังสามารถมองเห็นโฉมหน้าของนางได้รึ?”“แน่นอนว่าไม่เห็นอยู่แล้ว!”จางซูกล่าวตรงไปตรงมา“เช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางงามดุจเทพเซียน?”หยุนเจิงมึนงง“ฟังจากคนอื่นมาไงเล่า!”จางซูหรี่ตามองเรือนร่างของเมี่ยวอินไม่หยุด “เหล่าผู้โชคดีที่เคยได้เป็นแขกของนางต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่านางงามจนใจเจ็บ แม้แต่เทพเซียนบนสวรรค์ก็ยังเทียบไม่ติด…”ให้ตาย!เขาคิดจริงว่าเมี่ยวอินคนนี้งามจริงงามจัง!คาดว่าคงจะได้ฟังจากผู้อื่นทั้งนั้น!เมี่ยวอินคนนี้สร้างกระแสลับๆ นี่!ขณะที่หยุนเจิงกำลังพูดแซะอย่างบ้าคลั่งอยู่นั้น เมี่ยวอินก็ได้เอ่ยปากขึ้นคำกล่าวเปิดงานไม่มีอะไรมากไปกว่ากล่าวขอบคุณทุกท่านที่มาสนับสนุนโฉมหน้าของเมี่ยวอินเป็นอย่างไรนั้น ตอนนี้หยุนเจิงเองก็ไม่รู้เช่นกันแต่ทว่า เสียงของสตรีผู้นี
ตามด้วยคำพูดเสียงเบาของหยุนเจิง ดวงตาของจางซูพลันเปล่งประกายขึ้นมาทันใด“นี่เป็นกวีที่ท่านประพันธ์เองนั้นหรือ?”จางซูมองหยุนเจิงด้วยสีหน้าตะลึงตกใจ“พูดเป็นเล่น!”หยุนเจิงเอ่ยเสียงเบา “เป็นกวีของพี่สะใภ้รองของเสิ่นลั่วเยี่ยน ข้าลอกมา”“เช่นนี้นี่เอง!”จางซูนึกขึ้นได้กะทันหัน “ข้าก็ว่า เราสองคนต่างก็เป็นพวกไร้ประโยชน์…”จางซูเอ่ยได้ครึ่งประโยค พลันนึกบางอย่างขึ้นได้ทันทีจึงเปลี่ยนคำพูดว่า “ข้าหมายถึง ความรู้ของเราทั้งสองไม่ต่างกันเท่าไรนัก แหะๆ…”“เอาล่ะๆ!”หยุนเจิงโบกมือ “รีบจำซะ แล้วทำให้คนพวกนี้อึ้งจนอ้าปากค้าง!”จางซูพยักหน้าแรงๆ กำลังจะเริ่มจดบทกวี ทว่าใบหน้ากลับแข็งทื่อ ทำได้เพียงขยับเข้าไปอีกครั้งอย่างหน้าด้านๆ แล้วเอ่ยอย่างเขินอายว่า “องค์ชายหก ท่านช่วยพูดอีกครั้งได้หรือไม่ ข้า…ข้าลืมแล้ว…”“ข้า…”หยุนเจิงถอนใจ หมดคำจะพูดชั่วขณะเจ้านี่ไม่ได้เกิดมาเพื่อร่ำเรียนหาความรู้เลยจริงๆ!เพิ่งจะบอกไปหยกๆ แต่เขากลับลืมไปแล้ว?หยุนเจิงหมดหนทาง ทำได้เพียงกระซิบบอกเขาอีกครั้งขณะที่ทั้งสองกำลังกระซุบกระซิบกันอยู่นั้น ข้างล่างก็มีคนเริ่มประพันธ์บทกวีแล้วเพียงแต่บทกวีที่คนผู้
อันที่จริง ต่อให้หยุนเจิงจะไม่เสียงดัง ผู้คนล้วนรู้ดีว่าบทกวีนี้จางซูไม่ได้เป็นผู้ประพันธ์จะมีนักกวีคนไหนที่อ้าปากค้างมองไปทั่วทิศเช่นนี้กันเล่า! นี่ขานไปถึงครึ่งหนึ่งก็ไม่สามารถขานต่อไปได้ เห็นได้ชัดว่าคัดลอกผู้อื่นมา แต่พอขึ้นเวทีกลับลืมไปสเยแล้ว!“ฮ่าๆ…”เมิ่งกว่างไป๋หัวเราะเสียงดัง “จางซูเอ๋ยจางซู เจ้ามันเป็นคนมีความสามรถที่ไร้ประโยชน์เสียจริง! กระทั่งสิ่งที่คัดลอกของผู้อื่นมายังท่องจำไม่ได้ เจ้าดูเจ้าสิ เจ้ายังจะทำอะไรได้อีก”“ข้า…”จางซูละอายใจ ทันใดนั้นนัยน์ตาก็ฮึกเหิมขึ้นมา ด่าทอเกรี้ยวกราดว่า “บิดายังสามารถเอามารดาเจ้าได้ เจ้าลองเรียกแม่เจ้ามาลองดูสิ!”สิ้นเสียงด่าของจางซู ผู้คนล้วนตะลึงงันปราชญ์กวีผู้มีความสามารถที่อยู่ที่นี่ จะเคยคาดคิดที่ไหนกันเล่าว่าจะมีผู้ใดกล้ากล่าววาจาหยาบกระด้างเช่นนี้ต่อหน้าธารกำนัลเมิ่งกว่างไป๋โกรธเป็นที่สุด ชี้ด่าจางซูว่า “ไร้ยางอาย! เจ้าเป็นความอับอายของตระกูลจาง! เหตุใดจางเก๋อเหล่าจึงมีหลานชายเช่นเจ้าได้!” คำพูดของเมิ่งกว่างไป๋ก็ได้รับการตอบรับจากผู้คน“เรื่องอันใดของเจ้า!”อย่างไรเสียก็ถูกคนดูออกแล้ว จางซูจึงปล่อยตัวปล่อยใจ มองไป
“ดาบเดียวจะหนาวสะท้านไปทุกแคว้น! วิเศษจริงๆ”“กลอนนี้ดี ช่างดีจริงๆ!”“กลอนบทนี้เมื่อเทียบกับของคุณชายหวางแล้ว เหนือกว่าขั้นหนึ่ง!”“ดาบเดียวจะหนาวสะท้านไปทุกแคว้น! แค่ประโยคนี้ประโยคเดียว ก็ทำให้กลอนบทนี้เป็นที่หนึ่งในวันนี้ได้แล้ว!”“พอมีกลอนนี้แล้ว คุณชายเมิ่งต้องมีชื่อเสียงขจรไปทั่วแน่นอน…”ในชั่วขณะเดียว เสียงร้องดังร้องว่าดีไม่หยุดหย่อนเมี่ยวอินเองก็พยักหน้าไม่หยุด ราวกับว่านางชื่นชอบกลอนบทนี้เป็นอย่างมาก“ทุกท่านกล่าวชมกันเกินไปแล้ว ข้าเองก็คิดกลอนนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไม่คู่ควรกับคำชมของทุกท่านขอรับ!”เมิ่งกว่างไป๋กล่าวไปทางผู้คน ท่าทางได้ใจเป็นอย่างยิ่ง“เจ้าสุนัข!”จางซูมองไปทางเมิ่งกว่างไป๋อย่างไม่พอใจเป็นที่สุด แล้วเข้าไปข้างกายหยุนเจิง “องค์ชาย เจ้ายังจำบทกลอนอื่นที่ฮูหยินเยี่ยจื่อประพันธ์ได้อีกหรือไม่?”“ข้ายัง…จำได้อีกสองบท”หยุนเจิงส่ายหัวไปมา แสร้างทำว่ากำลังเมามาย ขณะเดียวกันก็กระดกสุราลงท้องไปอีกหนึ่งจอก“องค์ชาย อย่างดื่มอีกเลย ถ้าดื่มอีกเจ้าก็จะลืมอีกแล้ว!!”จางซูรีบหยุดหยุนเจิง “ฉวยโอกาสตอนที่เจ้ายังไม่เมา รีบร่ายกลอนพวกนั้นเร็ว เชือดเจ้าสุนัขเมิ่
สิ้นเสียงของหยุนเจิง ในสถานที่แห่งนั้นก็พลันสงบเงียบตามไปด้วยเหล้าองุ่นรสล้ำเลิศ รินกันเถิดจอกแสงจันทร์ อยากลิ้มร่วมชิมกัน พิณผีผามาเร่งเตือนเมามายบนผืนทราย อย่ายิ้มหมายมาเชือดเฉือน โบราณศึกกลาดเกลื่อน เพื่อนได้กลับสักกี่คน คนไม่น้อยล้วนหลับตาลง ดื่มด่ำกับเรื่องราวเหล่านี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนต่างจากกลอนของเมิ่งกว่างไป๋และหวังเสี่ยนที่กล้าหาญและใจกว้าง กลอนบทนี้มีความเป็นอิสระ ไร้กฎเกณฑ์ยิ่งกว่า เป็นการมองความเป็นความตายอย่างปล่อยวางแบบหนึ่งประโยคที่กล่าวว่า “เมามายบนผืนทราย อย่ายิ้มหมายมาเชือดเฉือน โบราณศึกกลาดเกลื่อน เพื่อนได้กลับสักกี่คน” ทำให้คนไม่น้อยตบโต๊ะชื่นชม“กลอนดีนี่! นี่ต่างหากที่เป็นกลอนที่ดีอย่างแท้จริง!”“มีความเป็นอิสระ ไร้กฎเกณฑ์ บ้าคลั่งอย่างเป็นธรรมชาติ...”“โบราณศึกกลาดเกลื่อน เพื่อนได้กลับสักกี่คน ใช่แล้ว โบราณศึกกลาดเกลื่อน จะมีสักกี่คนที่สามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย”“ในความเห็นของข้า กลอนบทนี้ไร้กฎเกณฑ์ยิ่ง ความกล้าหาญก็ไม่มากพอ! ยังคงเป็นประโยคดาบเดียวจะหนาวสะท้านไปทุกแคว้นของคุณชายเมิ่งที่ดุดันยิ่งกว่า!”“ไม่ใช่ ไม่ใช่! กลอนของคุณชายเมิ่ง ดุดั