น้ำมันพริกหรือ!หยุนถิงสับสนมึนงง ไม่รู้ว่ามันเป็นของเล่นบ้าอันใดอีก“น้ำมันบ้าบออะไรของเจ้า!”หยุนถิงทำเสียงฮึดฮัดออกทางจมูก มองหยุนเจิงด้วยสีหน้าตักเตือน “ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าทำคุณงามความดีเอาไว้มาก และเจ้าก็ได้รับความโปรดปรานเต็มอย่างล้มหลาม! แต่ทางที่ดีเจ้าก็ควรอยู่ในที่ของตัวเอง ตอนนี้เจ้าอาจจะลำพองใจอยู่ก็ไม่เป็นไร รอให้เสด็จพ่อกลับไปเป็นเหมือนเดิมตอนที่เสด็จพ่อลืมเจ้าไม่เห็นเจ้าอยู่ในสายตาก่อนเถอะ เหอะๆ…”คำพูดตอนหลังหยุนเจิงไม่ได้กล่าวออกมาแต่ความหมายมันก็ชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว“พี่สี่ สับสนไปแล้วหรือไร?”หยุนเจิงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนตรงหน้าหยุนถิง จ้องมองหยุนถิง มองจนหยุนถิงเองรู้สึกขนลุกซู่อย่างประหลาด“เจ้าจะทำอะไร อยู่ห่างๆ ข้าหน่อย!”หยุนถิงตะคอกด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดีนัก“เฮ้อ ข้าอยากจำรอยยิ้มและหน้าตาอันสดใสของพี่สี่มากกว่า!”หยุนเจิงขมวดคิ้วและถอนหายใจ“รอยยิ้มและหน้าตาอันสดใสอย่างนั้นหรือ?”เส้นเลือดบนหน้าผากหยุนถิงกระตุก เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ทำไม เจ้าอยากจะเอาให้ข้าตายเลยหรือ?”อยากจำรอยยิ้มและหน้าตาอันสดใสคำนี้ส่วนมากใช้กับคนตายเจ้าสุนั
ขณะพูด หยุนถิงโบกมือเรียกคนสองสามคนให้ไปอีกฝั่งหนึ่งเขารู้สึกอับอายที่ต้องกินข้าวกับเศษสวะสองคนนี้!หากเจ้าหกพูดอะไรทำนองว่าให้จดจำเสียงและรอยยิ้มของเขาไว้ เขาล้วนรู้สึกหวาดผวา!ทันทีที่พวกเขานั่งลง ก็เอ่ยถามหยุนถิงด้วยอยากรู้อยากเห็น“องค์ชายสี่ ฝ่าบาททรงมีราชโองการให้องค์ชายหกไปที่ซั่วเป่ยจริงๆ หรือ”“ซั่วเป่ยกำลังตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก หากองค์ชายหกไปที่นั่น มิใช่รนหาที่ตายหรือ”“ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายหกทำให้ราชครูของเป่ยหวนโกรธจนอาเจียนเป็นเลือด หากองค์ชายหกไปที่ซั่วเป่ย เป่ยหวนคงทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชีวิตองค์ชายหกเป็นแน่...”พวกเขารู้สึกประหลาดใจ จึงพูดคุยกันไม่หยุดแม้ว่าเสียงของพวกเขาจะไม่ถือว่าดัง แต่คนรอบข้างได้ยินพวกเขาชัดเจนทันใดนั้น ผู้คนก็เริ่มพูดถึงเรื่องนี้กันมากขึ้นมุมปากของหยุนเจิงโค้งขึ้น หัวเราะลั่นในใจนี่คือผลลัพธ์ที่เขาต้องการ!ยืมปากของคนเหล่านี้ กระจายข่าวออกไป!ต้องการใช้ความคิดเห็นของปวงชนบีบบังคับให้จักรพรรดิเหวินจำใจต้องปล่อยเขาไปที่ซั่วเป่ย!“องค์ชายหก ท่านจะไปซั่วเป่ยจริงๆ หรือ”ยามนี้ จางซูเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ“อืม นี่คือพร
“โอ้โห คุณชายจาง วันนี้ลมอะไรพัดท่านมาที่นี่กันล่ะนี่”“ไม่พบเจอท่านตั้งหลายวัน แม่นางของพวกเราคิดถึงท่านจนกินข้าวไม่ลงแล้ว!”“ท่านลองดูว่าวันนี้จะเรียกหงเยว่หรืออวี้เซียงมาปรนนิบัติ?”พวกเขาเพิ่งจะถึงปากประตูฉวินฟางย่วน ก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากแม่เล้าเลยทันทีดูก็รู้เลยว่าจางซูนั้นเป็นแขกประจำจางซู?คนผู้นี้หากจะเที่ยวเล่นเช่นนี้ต่อไป ได้เป็นจางซูบแน่!“แค่คนสองคนจะไปพอได้อย่างไร?”จางซูจ้องแม่เล้าตาโต โบกมืออย่างวางอำนาจ “เรียกหญิงสาวมาให้ข้าสิบคนก่อนเถอะ!”“หา?”แม่เล้าตะลึงค้าง พอเห็นว่าพวกจางซูทั้งหมดมีสี่คนพอดี ก็ได้สติกลับมาทันที รอยยิ้มเต็มใบหน้าแล้วกล่าวว่า “ได้เลย ไม่มีปัญหา ข้าจะไปตามแม่นางให้พวกท่านสี่คน...”“ข้าบอกแล้วไงว่าสิบคน!”จางซูชูนิ้วทั้งสิบขึ้นกางออก “แล้วก็จัดให้สหายคนนี้ของข้าด้วยอีกสิบคน!”“…”หยุนเจิงพอได้ยิน แทบจะกระโดดถีบเลยทันทีเจ้านี่หนิ จะเรียกมาสิบคนจริงๆ รึ?คิดว่าตนเองเป็นหยิบหมั่นหรือไง“ข้าก็ไม่ต้องแล้ว”หยุนเจิงตีมือปัด แล้วกล่าวเสีนงทุ้มต่ำเพื่อห้ามปราม “เจ้าก็เพลาๆ หน่อยเถอะ” “ไม่ได้ ไม่ได้!” จางซูสูดจมูก ตอบกลับเสียง
หยุนเจิงอ้ำอึ้งให้นางคณิกาชั้นสูงมาตัดสินคุณภาพของบทกวี?นี่มันทำตามอำเภอใจมากเกินไปแล้วกระมัง?จางซูมองเห็นถึงความรู้สึกสงสัยของหยุนเจิงจึงอธิบายให้เขาทันทีถึงแม้เมี่ยวอินคนนี้จะเป็นนางคณิกาในหอนางโลม แต่นางกลับขายศิลป์ไม่ขายตัวเมี่ยวอินไม่เพียงแต่งามดุจเทพเซียนเท่านั้น แต่นางยังมีความสามารถทั้งร้องรำ ดีดฉินเล่นหมากรุก เขียนหนังสือวาดภาพ หรือแม้แต่ประพันธ์บทกวีและบทเพลง นางก็ล้วนเชี่ยวชาญทุกด้าน เป็นหญิงงามที่มากความสามารถคนหนึ่งด้วยเหตุนี้ เมี่ยวอินถึงได้มีเหล่าผู้มีความรู้มากมายคอยติดตามถึงแม้ว่านางจะขายศิลป์ไม่ขายตัว แต่ก็มีคนมากมายที่สามารถเป็นหนึ่งในผู้โชคดีของนางได้เช่นกันในงานประพันธ์บทกวีทุกครั้งล้วนแต่มีเมี่ยวอินเป็นคนออกหัวข้อให้ฝูงชนประพันธ์กวีเรื่องประพันธ์บทกวีและบทเพลงนั้น จะดีหรือแย่ แท้จริงแล้วฝูงชนต่างก็ตัดสินอยู่ในใจไม่มากก็น้อย แม้นว่าเมี่ยวอินจะเป็นคนสุดท้ายที่ตัดสินว่าบทกวีไหนดีที่สุดก็ตาม แต่ฝูงชนต่างก็คอยตัดสินอยู่แล้วเมื่อฟังคำอธิบายของจางซูเสร็จ หยุนเจิงพลันตะลึงใจอย่างอดไม่ได้เมี่ยวอินคนนี้เป็นนักแสดงหญิงอันดับต้นของราชวงศ์ต้าเฉียนนั้นหรือ
“นี่แหละเมี่ยวอิน!”จางซูพรวดตัวลุกนั่งอย่างตื่นเต้นราวกับฉีดเลือดไก่มาปานนั้น แล้วมองเมี่ยวอินไม่ละสายตาดูท่าแล้ว จางซูเองก็เป็นหนุ่มผู้คลั่งไคล้เมี่ยวอินเหมือนกันนะเนี่ย!นี่แหละเมี่ยวอิน?หยุนเจิงขมวดคิ้ว “เจ้าบอกว่านางงามดุจเทพเซียนบนสรวงสวรรค์ไม่ใช่หรือ? ขนาดนางใช้ผ้าโปร่งคลุมหน้าไว้ เจ้ายังสามารถมองเห็นโฉมหน้าของนางได้รึ?”“แน่นอนว่าไม่เห็นอยู่แล้ว!”จางซูกล่าวตรงไปตรงมา“เช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางงามดุจเทพเซียน?”หยุนเจิงมึนงง“ฟังจากคนอื่นมาไงเล่า!”จางซูหรี่ตามองเรือนร่างของเมี่ยวอินไม่หยุด “เหล่าผู้โชคดีที่เคยได้เป็นแขกของนางต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่านางงามจนใจเจ็บ แม้แต่เทพเซียนบนสวรรค์ก็ยังเทียบไม่ติด…”ให้ตาย!เขาคิดจริงว่าเมี่ยวอินคนนี้งามจริงงามจัง!คาดว่าคงจะได้ฟังจากผู้อื่นทั้งนั้น!เมี่ยวอินคนนี้สร้างกระแสลับๆ นี่!ขณะที่หยุนเจิงกำลังพูดแซะอย่างบ้าคลั่งอยู่นั้น เมี่ยวอินก็ได้เอ่ยปากขึ้นคำกล่าวเปิดงานไม่มีอะไรมากไปกว่ากล่าวขอบคุณทุกท่านที่มาสนับสนุนโฉมหน้าของเมี่ยวอินเป็นอย่างไรนั้น ตอนนี้หยุนเจิงเองก็ไม่รู้เช่นกันแต่ทว่า เสียงของสตรีผู้นี
ตามด้วยคำพูดเสียงเบาของหยุนเจิง ดวงตาของจางซูพลันเปล่งประกายขึ้นมาทันใด“นี่เป็นกวีที่ท่านประพันธ์เองนั้นหรือ?”จางซูมองหยุนเจิงด้วยสีหน้าตะลึงตกใจ“พูดเป็นเล่น!”หยุนเจิงเอ่ยเสียงเบา “เป็นกวีของพี่สะใภ้รองของเสิ่นลั่วเยี่ยน ข้าลอกมา”“เช่นนี้นี่เอง!”จางซูนึกขึ้นได้กะทันหัน “ข้าก็ว่า เราสองคนต่างก็เป็นพวกไร้ประโยชน์…”จางซูเอ่ยได้ครึ่งประโยค พลันนึกบางอย่างขึ้นได้ทันทีจึงเปลี่ยนคำพูดว่า “ข้าหมายถึง ความรู้ของเราทั้งสองไม่ต่างกันเท่าไรนัก แหะๆ…”“เอาล่ะๆ!”หยุนเจิงโบกมือ “รีบจำซะ แล้วทำให้คนพวกนี้อึ้งจนอ้าปากค้าง!”จางซูพยักหน้าแรงๆ กำลังจะเริ่มจดบทกวี ทว่าใบหน้ากลับแข็งทื่อ ทำได้เพียงขยับเข้าไปอีกครั้งอย่างหน้าด้านๆ แล้วเอ่ยอย่างเขินอายว่า “องค์ชายหก ท่านช่วยพูดอีกครั้งได้หรือไม่ ข้า…ข้าลืมแล้ว…”“ข้า…”หยุนเจิงถอนใจ หมดคำจะพูดชั่วขณะเจ้านี่ไม่ได้เกิดมาเพื่อร่ำเรียนหาความรู้เลยจริงๆ!เพิ่งจะบอกไปหยกๆ แต่เขากลับลืมไปแล้ว?หยุนเจิงหมดหนทาง ทำได้เพียงกระซิบบอกเขาอีกครั้งขณะที่ทั้งสองกำลังกระซุบกระซิบกันอยู่นั้น ข้างล่างก็มีคนเริ่มประพันธ์บทกวีแล้วเพียงแต่บทกวีที่คนผู้
อันที่จริง ต่อให้หยุนเจิงจะไม่เสียงดัง ผู้คนล้วนรู้ดีว่าบทกวีนี้จางซูไม่ได้เป็นผู้ประพันธ์จะมีนักกวีคนไหนที่อ้าปากค้างมองไปทั่วทิศเช่นนี้กันเล่า! นี่ขานไปถึงครึ่งหนึ่งก็ไม่สามารถขานต่อไปได้ เห็นได้ชัดว่าคัดลอกผู้อื่นมา แต่พอขึ้นเวทีกลับลืมไปสเยแล้ว!“ฮ่าๆ…”เมิ่งกว่างไป๋หัวเราะเสียงดัง “จางซูเอ๋ยจางซู เจ้ามันเป็นคนมีความสามรถที่ไร้ประโยชน์เสียจริง! กระทั่งสิ่งที่คัดลอกของผู้อื่นมายังท่องจำไม่ได้ เจ้าดูเจ้าสิ เจ้ายังจะทำอะไรได้อีก”“ข้า…”จางซูละอายใจ ทันใดนั้นนัยน์ตาก็ฮึกเหิมขึ้นมา ด่าทอเกรี้ยวกราดว่า “บิดายังสามารถเอามารดาเจ้าได้ เจ้าลองเรียกแม่เจ้ามาลองดูสิ!”สิ้นเสียงด่าของจางซู ผู้คนล้วนตะลึงงันปราชญ์กวีผู้มีความสามารถที่อยู่ที่นี่ จะเคยคาดคิดที่ไหนกันเล่าว่าจะมีผู้ใดกล้ากล่าววาจาหยาบกระด้างเช่นนี้ต่อหน้าธารกำนัลเมิ่งกว่างไป๋โกรธเป็นที่สุด ชี้ด่าจางซูว่า “ไร้ยางอาย! เจ้าเป็นความอับอายของตระกูลจาง! เหตุใดจางเก๋อเหล่าจึงมีหลานชายเช่นเจ้าได้!” คำพูดของเมิ่งกว่างไป๋ก็ได้รับการตอบรับจากผู้คน“เรื่องอันใดของเจ้า!”อย่างไรเสียก็ถูกคนดูออกแล้ว จางซูจึงปล่อยตัวปล่อยใจ มองไป
“ดาบเดียวจะหนาวสะท้านไปทุกแคว้น! วิเศษจริงๆ”“กลอนนี้ดี ช่างดีจริงๆ!”“กลอนบทนี้เมื่อเทียบกับของคุณชายหวางแล้ว เหนือกว่าขั้นหนึ่ง!”“ดาบเดียวจะหนาวสะท้านไปทุกแคว้น! แค่ประโยคนี้ประโยคเดียว ก็ทำให้กลอนบทนี้เป็นที่หนึ่งในวันนี้ได้แล้ว!”“พอมีกลอนนี้แล้ว คุณชายเมิ่งต้องมีชื่อเสียงขจรไปทั่วแน่นอน…”ในชั่วขณะเดียว เสียงร้องดังร้องว่าดีไม่หยุดหย่อนเมี่ยวอินเองก็พยักหน้าไม่หยุด ราวกับว่านางชื่นชอบกลอนบทนี้เป็นอย่างมาก“ทุกท่านกล่าวชมกันเกินไปแล้ว ข้าเองก็คิดกลอนนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไม่คู่ควรกับคำชมของทุกท่านขอรับ!”เมิ่งกว่างไป๋กล่าวไปทางผู้คน ท่าทางได้ใจเป็นอย่างยิ่ง“เจ้าสุนัข!”จางซูมองไปทางเมิ่งกว่างไป๋อย่างไม่พอใจเป็นที่สุด แล้วเข้าไปข้างกายหยุนเจิง “องค์ชาย เจ้ายังจำบทกลอนอื่นที่ฮูหยินเยี่ยจื่อประพันธ์ได้อีกหรือไม่?”“ข้ายัง…จำได้อีกสองบท”หยุนเจิงส่ายหัวไปมา แสร้างทำว่ากำลังเมามาย ขณะเดียวกันก็กระดกสุราลงท้องไปอีกหนึ่งจอก“องค์ชาย อย่างดื่มอีกเลย ถ้าดื่มอีกเจ้าก็จะลืมอีกแล้ว!!”จางซูรีบหยุดหยุนเจิง “ฉวยโอกาสตอนที่เจ้ายังไม่เมา รีบร่ายกลอนพวกนั้นเร็ว เชือดเจ้าสุนัขเมิ่
“ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ!”หยุนเจิงขมวดคิ้วพูด “หากข้าปลดเสื้อผ้าเจ้าที่นี่ คนที่เสียหน้าก็ยังคงเป็นเจ้าเอง!”เมื่อเห็นหยุนเจิงเริ่มไม่พอใจ เจียเหยาก็หยุดเรื่องนี้ทันที“ข้ามีคำถามสุดท้ายอยากถาม”เจียเหยาพยายามดึงเรื่องกลับมาที่ประเด็นหลัก“เรื่องอะไรล่ะ?”หยุนเจิงถามด้วยน้ำเสียงสบายๆเจียเหยาจ้องมองหยุนเจิง “เหตุใดท่านถึงไม่ใช้ของที่ใช้ระเบิดเปิดเขานั่นทำลายด่านเทียนฉงของโฉวฉือไปเลย? ท่านน่าจะรู้ดีกว่าข้าว่า หากด่านนั้นถูกตีแตกเร็วกว่านี้ ท่านจะไม่ต้องสู้กันอย่างเหนื่อยยากที่แม่น้ำซัวเล่ย”เวรเอ๊ย!หญิงคนนี้ถึงขั้นสงสัยเรื่องนี้แล้วรึ?นางช่างทำให้ข้าไม่เคยได้อยู่อย่างสงบเลยจริงๆ!“ทำไมข้าต้องทำลายด่านเทียนฉงด้วยเล่า?”หยุนเจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หากข้าทำลายด่านเทียนฉงไปแล้ว เจ้าจะส่งคนมาช่วยข้าสร้างใหม่หรืออย่างไร?”“เพียงเพราะเหตุนี้เองหรือ?”เจียเหยาฟังแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง“เจ้าสงสัยหรือว่าข้าไม่มีสิ่งนั้นอยู่ในมือแล้ว?”หยุนเจิงมองเจียเหยาด้วยรอยยิ้มปริศนา “รอจนชั้นน้ำแข็งของแม่น้ำไป๋สุ่ยหนาพอ ข้าก็คิดจะใช้สิ่งนั้นระเบิดเปิดเขาที่ปากทางภูเขาหลางหยา แล้วส
เจียเหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็นึกไม่ออกว่าหยุนเจิงมีจุดประสงค์อื่นอะไร จึงได้แต่ถามเขาด้วยท่าทีคล้ายขอคำชี้แนะ“ไม่ซับซ้อนอย่างที่เจ้าคิดหรอก”หยุนเจิงส่ายหน้ายิ้ม “กองทหารมณฑณเหนือข้าส่งมาแต่ทหารฝีมือดี จะไม่ล้มซักแคว้นได้อย่างไร?”ต้องการเชือดไก่ให้ลิงดูหรือ?เจียเหยาครุ่นคิดก่อนถามต่อ “ถ้าท่านคิดจะฆ่าไก่ให้ลิงดู การทำลายล้างกุ่ยฟางน่าจะน่ากลัวกว่าการทำลายโฉวฉือใช่หรือไม่?”เพราะว่ากุ่ยฟางแข็งแกร่งกว่าโฉวฉือมาก“เจ้าก็พูดเองว่า ข้าต้องการเปิดเส้นทางไปยังชนเผ่าโม่ซี”หยุนเจิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนมองเจียเหยาด้วยความสนใจ “ว่าแต่ เจ้าสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม? หรือว่าอาการหวาดระแวงของเจ้ากำเริบอีกแล้ว?”หวาดระแวงงั้นหรือ?เจียเหยาแอบหัวเราะขื่นๆนางก็ดูจะมีอาการหวาดระแวงอยู่บ้างจริงๆนางกังวลว่าหยุนเจิงเก็บกุ่ยฟางไว้เพื่อกดดันเป่ยหวนแต่เขาก็ได้ใช้ตัวตายตัวแทนอย่างทัวฮวนแล้ว ดังนั้นการที่กุ่ยฟางจะล่มสลายหรือไม่ก็ดูจะไม่ต่างกันนักในแง่ของการกดดันเป่ยหวนนางรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติอยู่แต่ก็คิดไม่ออกว่าปัญหานั้นคืออะไรและนั่นทำให้นางรู้สึกกระวนกระวายจนกินไม่ได้นอนไ
หวั่น...ไหว?เจียเหยาชะงักไป ราวกับถูกคำถามของเมี่ยวอินทำให้สับสนหยุนเจิงมีทั้งความแค้นของชาติและครอบครัวกับนาง เมี่ยวอินถามคำถามแบบนี้ได้อย่างไร?หรือเมี่ยวอินคิดว่านางจะปล่อยวางความแค้นทั้งหมดได้?เจียเหยามองเมี่ยวอินด้วยสายตาเต็มไปด้วยความสงสัย “เจ้ากำลังลองใจข้าหรือ?”“ข้าจะลองใจเจ้าทำไม?”เมี่ยวอินปฏิเสธทันที “ข้าแค่คิดว่า ในแง่หนึ่ง เจ้าและหยุนเจิงเป็นคนประเภทเดียวกัน! แม้จะมีความแค้นต่อกัน แต่พวกเจ้าคงจะมีความนับถือกันในใจบ้าง”เป็นเช่นนั้นหรือ?เจียเหยาดูเหมือนจะยังไม่แน่ใจนัก นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าเจ้าว่ามีความนับถือกัน ข้าคิดว่าคงมีบ้าง! แม้ยามที่ข้าอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา ข้าก็ไม่เคยปฏิเสธว่าเขาคือคู่ต่อสู้ที่น่ายกย่อง การได้พบเขาในสนามรบถือเป็นโชคดี...และโชคร้ายในคราวเดียวกัน”เมี่ยวอินเม้มริมฝีปากเบาๆ มองเจียเหยาด้วยความสนใจ “โชคร้ายน่ะข้าเข้าใจ แต่โชคดีล่ะ หมายความว่าอย่างไร? หรือแค่เพราะได้พบคู่ต่อสู้อย่างเขา?”“เพราะเขามีขีดจำกัดในสิ่งที่เขาจะทำ”เจียเหยาพูดออกมาเบาๆ “ข้าหวังว่าเขาจะมีขีดจำกัดเช่นนี้ตลอดไป...”ขีดจำกัดหรือ?เมี่ยวอิ
ค่ำคืนนั้น หยุนเจิงเรียกอวี่ซื่อจงและชวีจื้อเข้ามาในกระโจมเพื่อสั่งการระหว่างที่กำลังพูดคุยกัน เสียงองครักษ์ด้านนอกดังขึ้นว่า “ฝ่าบาท องค์หญิงเจียเหยาขอเข้าเฝ้า”เจียเหยา?หยุนเจิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยตัวเขาเพิ่งคุยกับเจียเหยาไปเมื่อครู่นี้เองไม่ใช่หรือ?นางมาหาตนอีกทำไมกัน?ข้าให้เสบียงไปมากมายแล้ว นางยังต้องการอะไรอีก?หรือว่านางจะมาเล่นบทเศร้า หรือใช้เรือนร่างอันงดงามของนางมาทดสอบจิตใจข้า?เมื่อเห็นหยุนเจิงเงียบไป อวี่ซื่อจงจึงพูดอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท ถ้าเช่นนั้น พวกเรามาคุยกันอีกทีภายหลังดีไหม?”“ไม่ต้องสนใจ เรามาคุยกันต่อ”หยุนเจิงโบกมือ และพูดกับองครักษ์ด้านนอกว่า “ข้ามีธุระ ให้มาหาข้าทีหลัง!”“ขอรับ!”หยุนเจิงเลิกคิดฟุ้งซ่าน และสั่งการอวี่ซื่อจงกับชวีจื้อต่อเขายังต้องไปที่ด่านเทียนฉง งานเกี่ยวกับการถอนทัพที่นี่ จึงต้องฝากให้อวี่ซื่อจงและชวีจื้อเป็นผู้รับผิดชอบด้านนอกกระโจม เจียเหยาไม่ได้จากไป แต่ถอยออกไปยืนรอเงียบๆไม่นานนัก เมี่ยวอินที่ทำงานเสร็จเดินผ่านมา และเห็นเจียเหยายืนอยู่คนเดียวอย่างเดียวดาย“เจ้ามายืนตรงนี้ทำไม?”เมี่ยวอินเดินเข้ามา มองเจียเหยาด้วย
นางรู้ดีว่า หากต้องการบีบให้กุ่ยฟางยอมจำนน จำเป็นต้องมีกำลังทหารมากพอที่จะกดดันพวกกุ่ยฟางหยุนเจิงจะต้องให้นางนำกองทหารม้าหมื่นนายออกไปยังกุ่ยฟางแน่นอนนางจึงต้องการซื้อเสบียงจากหยุนเจิงล่วงหน้า เพื่อใช้เป็นเสบียงสำหรับกองทัพหมื่นนายความตั้งใจของเจียเหยานั้นง่ายมากเมื่อนางเจรจาต่อรองกับกุ่ยฟางสำเร็จ และได้ผลประโยชน์จากกุ่ยฟางแล้ว นางจะนำทองคำและเงินมาชำระค่าเสบียงหรือในภายหลัง อาจคืนเสบียงให้หยุนเจิงแทนก็ได้พูดง่ายๆ คือขอล่วงหน้าก่อน!แต่อย่างไรก็ดี นางย่อมอยากใช้ทองคำและเงินซื้อเสบียงมากกว่าหลังจากเคยเผชิญความยากลำบากเพราะขาดเสบียง นางยอมสะสมเสบียงไว้มากกว่าเก็บทองคำและอัญมณี“จริงๆ แล้ว เสบียงของเราก็ขาดแคลนเช่นกัน”หยุนเจิงส่ายหน้ายิ้ม “เจ้าคิดหรือว่าเรามีเชลยครั้งนี้กี่คน? เจ้าคิดว่าเชลยเหล่านี้ไม่กินไม่ดื่มหรือ? หรือเจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกเถื่อนทางเหนือ ที่พาเชลยกลับไปกินแทนอาหาร?”เชลยแสนคนเชียวนะ!ต้องใช้เสบียงมากแค่ไหนเพื่อเลี้ยงดูพวกเขา?และไม่ใช่ว่าพาเชลยพวกนี้กลับไปแล้วจะไม่ต้องใช้เสบียงตราบใดที่คนพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็ต้องกินเสบียงทุกวันนางยังคิดว่
หยุนเจิงไม่ชอบให้ใครมาต่อรองกับเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาไม่ชอบเจียเหยาให้มาต่อรองกับเขาเจียเหยาทำเป็นไม่เห็นสีหน้าที่แสดงความไม่พอใจของหยุนเจิง แล้วพูดขึ้นว่า “เรื่องเสบียงที่สามส่วน ข้ายอมตามเจ้า ส่วนอาวุธ ชุดเกราะ และม้าที่เรายึดได้จากที่นั่น เจ้าเอาไปห้าส่วน...”หยุนเจิงขมวดคิ้ว เตรียมจะปฏิเสธ แต่เจียเหยาก็รีบขัดขึ้นมา “อย่าเพิ่งปฏิเสธ ฟังข้าพูดให้จบก่อน!”“ได้ พูดมา!”หยุนเจิงฮึเบาๆ “ข้าจะดูว่าเจ้าจะโน้มน้าวข้าได้อย่างไร”เจียเหยาเงยหน้ามองท้องฟ้าไกลโพ้น สีหน้าเรียบเฉยพลางพูดว่า “ม้าที่ข้าให้เจ้าห้าส่วน ข้ารับรองว่าทุกตัวไม่มีบาดแผล! ชุดเกราะและอาวุธ ส่วนที่สมบูรณ์ข้าให้เจ้าไปทั้งหมด ของที่ชำรุดเสียหายจะเก็บไว้กับเราเอง”อ้อ?ยังมีข้อเสนอแบบนี้ด้วย?หยุนเจิงแปลกใจเล็กน้อยให้ม้าที่ไม่มีบาดแผลทั้งหมด?เงื่อนไขนี้ของเจียเหยา ดูน่าสนใจทีเดียว!ทว่า แบบนี้ไม่เหมือนนิสัยของเจียเหยาเลยสักนิด!หยุนเจิงคิดในใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มและถามว่า “เจ้าแอบซ่อนของที่ยึดมาไว้เองหรือไม่?”เจียเหยาหันมามองเขา “พวกเจ้ายังมีคนเฝ้าอยู่ที่นั่น เจ้าว่าพวกเราจะแอบซ่อนของได้หรือ?”“ของที่ได้ม
“ขอรับ” ทัวฮวนและจู่หลู่รีบพยักหน้ารับคำเมื่อได้ยินพวกเขาเรียกนางว่า "ฮูหยินเจียเหยา" ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจียเหยาก็โกรธจนแทบจะกัดฟันครั้งนี้นางถูกหยุนเจิงใช้ประโยชน์อย่างชัดเจนอย่างไรก็ตาม เจียเหยายังควบคุมตัวเองได้ ไม่แสดงอารมณ์ออกมา และยังพูดคุยหยอกล้อกับทัวฮวนและจู่หลู่อย่างเป็นกันเองหยุนเจิงมองภาพนี้อยู่ก็อดขำในใจไม่ได้ด้วยความเฉลียวฉลาดของเจียเหยา นางต้องเข้าใจความตั้งใจของเขาแน่แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่แน่ใจคือ อีกสักพักนางจะขู่ฟ่อใส่เขาหรือไม่จากนั้น หยุนเจิงก็คุยเรื่องแผนการในอนาคตกับพวกเขาทว่า หยุนเจิงพูดเพียงแค่แนวทางคร่าวๆรายละเอียดปลีกย่อยทั้งหมด อย่างไรก็ต้องให้เจียเหยาเป็นคนจัดการหลังจากพูดคุยเรื่องงานจนจบ ทุกคนก็รับประทานอาหารจนเต็มอิ่มเมื่อทัวฮวนและคนอื่นๆ ออกไปแล้ว หยุนเจิงก็ถามเจียเหยาด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้เจ้ารู้ความตั้งใจของข้าแล้วใช่ไหม?”เข้าใจแล้วหรือยัง?เจียเหยายิ้มแห้งๆแน่นอนว่านางเข้าใจหยุนเจิงตั้งใจใช้นางจัดการกุ่ยฟาง และนางก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงการถูกหยุนเจิงใช้นางไม่เพียงเข้าใจเรื่องนี้ แต่ยังเข้าใจเหตุผลที่หยุนเจิงต้องแสร้งทำเป็นคู่ส
เมื่อหยุนเจิงส่งสัญญาณให้ ทุกคนจึงค่อยนั่งลงหยุนเจิงตั้งใจจะดึงมือกลับที่โดนบีบจนแทบเสียรูป แต่เจียเหยากลับไม่ยอมปล่อยให้ตายเถอะ!ผู้หญิงคนนี้จิตพยาบาทจริงๆ!หยุนเจิงอดทนกับความเจ็บปวดที่มือ ก่อนจะเริ่มแนะนำทัวฮวนและเหมิงตัวให้เจียเหยารู้จักส่วนจู่หลู่ เจียเหยารู้จักอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องแนะนำ“ข้าลือชื่อตำหนักเจียเหยามานาน วันนี้ได้พบนับว่าเป็นบุญสามชาติ”ทัวฮวนยิ้มพลางกล่าวคำประจบเจียเหยาเจียเหยายิ้มละมุน “เจียเหยาก็ลือชื่อท่านเสนาบดีมานาน อยากพบท่านนานแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสเสียที วันนี้ต้องขอบคุณท่านอ๋องที่ทำให้ได้พบ”“พอเถอะๆ พวกเราเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนั้น”หยุนเจิงหัวเราะพลางหยุดการพูดคุยของทั้งสอง “ยากนักที่พวกเราจะได้มานั่งด้วยกันวันนี้ ต้องดื่มสักหน่อย! องค์หญิง ไปหยิบถ้วยเหล้ามาให้ข้าหน่อย”พูดจบ หยุนเจิงก็ชี้ไปยังที่วางถ้วยเหล้าเจียเหยาบีบมือของหยุนเจิงแรงๆ อีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบถ้วยเหล้ามา แล้วกลับมานั่งข้างหยุนเจิงเหมือนเดิมทัวฮวนเมื่อเห็นดังนั้นก็รีบลุกขึ้นหยิบเหยือกเหล้า เตรียมจะรินให้เจียเหยาและหยุนเจิง“ท่านเสนาบดีไม่ต้อง
อย่าว่าแต่เจียเหยาเลย แม้แต่พวกเขาเองก็ยังรู้สึกว่าหยุนเจิงทำเกินไปการที่สามารถเอาชนะกุ่ยฟางได้ในครั้งนี้ เป่ยหวนมีส่วนสำคัญอย่างมากหากไม่มีเป่ยหวนช่วยดึงความสนใจ ในระหว่างที่พวกเขากำลังรบกับโฉวฉือและแคว้นต้าเย่ว์ กุ่ยฟางอาจโจมตีอวี่ซื่อจงจนแตกพ่าย หรืออาจลอบตีค่ายใหญ่ที่แย้นฮุ่ยซานจนตัดเส้นทางล่าถอยของพวกเขาโดยสิ้นเชิงในสถานการณ์เช่นนี้ ที่หยุนเจิงยังทำตัวเข้มงวดกับเป่ยหวน ถือว่าไร้น้ำใจอย่างมากที่เจียเหยาไม่ระเบิดอารมณ์ออกมาทันที ก็ถือว่านางควบคุมตัวเองได้ดีแล้ว“เจ้าจะทำท่าขู่ใส่ข้าอีกแล้วใช่ไหม?”หยุนเจิงหรี่ตาลงเล็กน้อย มองเจียเหยาด้วยแววตาเตือน“ข้าจะกล้าได้อย่างไร!”เจียเหยาตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ท่านจิ้งเป่ยอ๋องไร้พ่าย หากข้ากล้าขู่ใส่ท่าน เป่ยหวนของข้าคงเต็มไปด้วยศพในไม่ช้า ข้ามีสิทธิ์ไปขู่ใส่ท่านหรือ?”“รู้อย่างนี้ก็ดีแล้ว!”หยุนเจิงกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เจ้าชอบฟังข้าแค่ครึ่งๆ กลางๆ แล้วก็มาทำเสียงประชดประชันใส่ข้า เจ้าเป็นโรคหลงผิดว่าตัวเองถูกทำร้ายหรืออย่างไร?”เจียเหยาพยายามกลั้นความโกรธ พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ท่านจิ้งเป่ยอ๋องมีสิ่งใดจะพูดอีก