เสิ่นลั่วเยี่ยนหยิกหยุนเจิง “เจ้าไม่รู้จักถนอมร่างกายตัวเองสักนิด”“สิ่งใดกันเชียว?”หยุนเจิงส่ายหน้าเบาๆ กล่าวด้วยใบหน้าขี้เล่น “พวกเราล้วนหลั่งเลือด นี่ถึงจะยุติธรรม”เสิ่นลั่วเยี่ยนเงยหน้ามองรอยเลือดบนเตียง ทันใดนั้นก็รู้สึกอายขึ้นมา“เจ้าหาที่ตายหรือ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนอายไม่ไหว ทุบหน้าอกหยุนเจิงเบาๆเห็นท่าทางของเสิ่นลั่วเยี่ยน หยุนเจิงอดหัวเราะเสียงดังไม่ได้เสิ่นลั่วเยี่ยนหยิกเขาด้วยความอาย จากนั้นก็กล่าว “รีบปล่อยข้า ข้าจะพันแผลให้เจ้าใหม่”“พันสิ่งใดเล่า!”หยุนเจิงลูบส่วนที่อ่อนไหวของเสิ่นลั่วเยี่ยน กระพริบตากล่าว “ตอนนี้พันแผล อีกเดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนอีก!”เปลี่ยนอีก?เสิ่นลั่วเยี่ยนทำหน้าประหลาด ถามอย่างไม่รู้ตัว “เพิ่งเปลี่ยนไปเหตุใด...”กล่าวไปได้ครึ่งเดียว ในที่สุดเสิ่นลั่วเยี่ยนก็เข้าใจแล้ว“เจ้าไม่เคยกินข้าวหรือ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนอายมาก หยิกหยุนเจิงเบาๆ “จำเป็นต้องกินข้าวมื้อนึงทำให้ตัวเองจุกตาย?”“ข้าวต้องกินให้อิ่ม สุร้าต้องดื่มจนหนำใจ!”จูบนี้ เป็นดั่งฟ้าผ่าไฟลามทุ่งกระทั่งทั้งสองคนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอีกครั้ง เสิ่นลั่วเยี่ยนจึงฝืนร่างกายอ่อนปวกเปียกพัน
ตอนเช้า ตอนที่หยุนเจิงตื่น เสิ่นลั่วเยี่ยนไม่อยู่ข้างกายแล้วหยุนเจิงสวมเสื้อผ้าตัวเองเรียบร้อย กำลังจะออกจากประตูไป เสิ่นลั่วเยี่ยนกลับยกถังไม้น้ำร้อนเดินเข้ามา“เหตุใดเจ้าตื่นแล้ว?”เสิ่นลั่วเยี่ยนวางถังไม้ลง “ข้ายังไม่ได้เปลี่ยนเข็มขัดห้ามเลือดให้เจ้าเลย!”ผู้หญิงเป็นสัตว์ที่แปลกประหลาดหลังจากเปลี่ยนจากเด็กสาวเป็นผู้หญิง ความเป็นวีรชนบนตัวเสิ่นลั่วเยี่ยนหายไปไม่น้อย กลับแทนที่ด้วยความอ่อนโยนหลายส่วนที่ไม่ควรมีบนตัวนาง แม้แต่สายตาของนางยังอ่อนโยนขึ้นมากเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของเสิ่นลั่วเยี่ยน หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดปกติเขาไม่รู้ว่าตัวเองเข้าใจผิด หรือว่าเสิ่นลั่วเยี่ยนเกิดการเปลี่ยนแปลงจริง“ดูสิ่งใดกัน?”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองหยุนเจิงอย่างตำหนิ “เจ้าอย่าเพิ่มขยับ ข้าเอาแอลกอฮอล์มาแล้ว ช่วยเจ้าทำความสะอาดบาดแผลก่อน ค่อยพันแผลให้เจ้า”กล่าวจบ เสิ่นลั่วเยี่ยนยืนมือไปหมายจะถอดเสื้อของหยุนเจิง“ไม่เป็นไร”หยุนเจิงยกมือห้ามนางไว้ “ไม่ใช่แผลที่ลึกจนเห็นกระดูก ไม่เป็นไร ไม่ต้องลำบากเช่นนี้! เอาล่ะ เจ้าไปพักผ่อนก่อน เรื่องล้างหน้า ข้าทำเองก็ได้แล้วกล่าวจบ หยุนเจิงเดินเข้
นายพลในกองทหารมณฆลทางเหนือ คนที่หยุนเจิงให้ความสำคัญที่สุด นอกจากฉินชีหู่ ตู๋กูเช่อและตู้กุยหยวนที่เสียชีวิตไปแล้ว ก็ยังมีอวี๋ซื่อจง “ถามก่อนค่อยว่ากันเถอะ!”หยุนเจิงยิ้มเล็กน้อย “อีกอย่าง ตอนนี้เจ้าเป็นผู้บัญชาการองครักษ์ชั่วคราว หลูซิ่งเป็นรองผู้บัญชาการ หากเกอเหอและโจวมี่ยอมกลับมาเป็นองครักษ์ต่อ ก็ให้พวกเขาเป็นหัวหน้าคนละห้าร้อยคน”“หลู่ซิ่ง?”เสิ่นลั่วเยี่ยนประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าคิดจะฝึกฝนเขาให้ดี?”หยุนเจิงมีใจฝึกฝนตู้กุยหยวน เป็นที่รู้กันดีในหมู่กองทัพแรกที่อยู่ซั่วฟางแต่เพราะตู้กุยหยวนไม่ยอมปล่อยวางกองทหารโลหิต จึงไม่อาจเป็นไปดั่งหวังเสียดาย หยุนเจิงไม่มีโอกาสได้ฝึกฝนตู้กุยหยวนอีกแลว้“อื้ม”หยุนเจิงกล่าว “วรยุทธของหลู่ซิ่งไม่เลวเช่นกัน ที่สำคัญคือคนสุขุม ข้าฝึกฝนเขาก่อนสักระยะหนึ่ง ต่อไปให้เขาไปเป็นผู้ช่วยพี่ใหญ่ฉิน รอพี่ใหญ่ฉินคุ้นเคยกองทหารโลหิตแล้ว ค่อยย้ายต่งกังกลับมาข้างกายข้า”ฉินชีหู่แม้กล้าหาญ ทว่าด้านความสุขุมยังขาดไปบ้างมีคนสุขุมอยู่ด้วย เขาก็วางใจใช้ทุกสิ่งทุกอย่างสร้างกองทหารโลหิตออกมา ไม่อาจพังเสียหายได้เพราะสงครามครั้งเดียว“มันก็จริง”เสิ่นลั่
“รายงาน! รายงานด่วน! มีตั๊กแตนระบาดหนักในเป่ยหวน เป่ยหวนได้รวบรวมกำลังทหารม้าเหล็กจำนวนสองแสนนายที่ชายแดน ราชครูแห่งเป่ยหวนได้นำทัพด้วยตนเองมุ่งมาทางเมืองหลวงเพื่อขอเสบียง อีกไม่กี่วันก็จะมาถึงเมืองหลวงแล้วขอรับ!”“มาขอเสบียงต้องใช้กำลังพลทหารม้าเหล็กสองแสนนายเลยรึ เป่ยหวนสมควรตาย นี่มันกำลังข่มขู่ข้าชัดๆ!”“ฝ่าบาท ราชวงศ์ของเราเพิ่งประสบกับคดีที่องค์รัชทายาทกบฏ ภายในไม่มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง เวลานี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเปิดศึกกับเป่ยหวนได้นะพ่ะย่ะค่ะ”“มีราชโองการ: ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ขุนนางในราชสำนักเร่งมาที่พระราชวังเพื่อประชุมด่วน หากผู้ใดล่าช้า มีโทษประหาร!”...ณ ที่พำนักขององค์ชายหก เรือนปี้ปัว ราชวงศ์ต้าเฉียน หยุนเจิ้งนั่งอยู่คนเดียวที่ศาลาในสวนแม้ว่าเขาจะยอมรับความจริงเรื่องทะลุมิติเวลามาได้แล้ว แต่ในใจยังคงรู้สึกหดหู่อยู่เล็กน้อยเหตุใดจึงทะลุมิติเวลามาอยู่ในร่างขององค์ชายที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้เล่า!ที่สำคัญคือ คนผู้นี้ยังบังเอิญได้รับจดหมายเลือดที่องค์รัชทายาททิ้งไว้เพื่อเปิดโปงเรื่ององค์ชายสามกล่าวหาว่าองค์รัชทายาทก่อกบฏ หลังจากนั้นก็ทำให้เขาถูกองค์ชายสามจับตามองอยู
ตอนมีชีวิตอยู่ก็คับอกคับใจมากอยู่แล้ว ยังจะตายอย่างคับอกคับใจอีก!“คนผู้นั้นไม่ได้ให้อันใดข้าเลยจริงๆ”หยุนเจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าเดาว่าคนผู้นั้นถูกบีบบังคับจนไร้ทางเลือกแล้ว ถึงได้วิ่งเต้นมาหาข้าถึงที่เรือนนี้”หยุนลี่หรี่ตาพลางกล่าวเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่ออย่างนั้นหรือ?”หยุนเจิงแบมือสองข้างพลางกล่าว “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าเชื่อเช่นนั้น!”เมื่อเห็นท่าทางนี้ของหยุนเจิง นางกำนัลหลายคนก็ทำท่าทางเหมือนกับเห็นผีก็มิปานพระเจ้าช่วย!องค์ชายหกผู้อ่อนแอผู้นี้ช่างกล้ายิ่งนัก นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับองค์ชายสามเมื่อวานเขาถูกองค์ชายสามตบหน้าฉาดใหญ่จนสมองเลอะเลือนไปแล้วกระมังเมื่อเห็นหยุนเจิงทำตัวแปลกไปเช่นนี้ สีหน้าของหยุนลี่พลันเคร่งขรึมลง เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “นี่เจ้าดื้อรั้นจะไม่ยอมเอาของที่คนผู้นั้นให้เจ้าออกมาให้ข้าอย่างนั้นรึ?”“ก็ข้าไม่มี ข้าจะเอาให้เจ้าได้อย่างไรกันเล่า”หยุนเจิงยักไหล่ “เอาหล่ะ ข้ายังต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ไม่อยากฟังคำพูดไร้สาระของเจ้า! หากเจ้าคิดว่าข้ามีของที่เจ้าต้องการ เจ้าก็เรียกคนมาค้นหาเองเถอะ!”ขณะท
ภายในตำหนัก จักรพรรดิเหวินเรียกเหล่าขุนนางมารวมตัวกันด่วนเพื่อหารือรับมือเรื่องเป่ยหวนขอเสบียงอาหารณ ตอนนี้จักรพรรดิเหวินกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นอย่างยิ่งหากมอบเสบียงให้เป่ยหวน ก็เท่ากับว่าสนับสนุนศัตรูของแคว้นต้าเฉียนแต่หากไม่มอบเสบียงให้ เป่ยหวนก็ไม่มีทางรอดในเหมันตฤดูที่จะมาถึง และต้องลงทางใต้เพื่อปล้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อถึงตอนนั้น ทางเหนือที่กำลังทำการฟื้นฟูมาเป็นเวลาหลายปี คงต้องเข้าสู่สงครามอันวุ่นวายอีกครั้งแคว้นต้าเฉียนเพิ่งจะประสบกับแผนการก่อกบฏขององค์รัชทายาท ศึกภายในยังไม่นิ่ง ตอนนี้หากต้องทำศึกกับเป่ยหวน โอกาสชนะมีน้อยมาก และแม้ว่าจะชนะ ก็เกรงว่าจะเป็นชัยชนะที่น่าสังเวชและในขณะที่จักรพรรดิเหวินกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่นั้น ฝ่ายสงครามกับฝ่ายสันติก็กำลังโต้เถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใครอย่างไรก็ตาม ฝ่ายสันติมีความได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดจักรพรรดิเหวินฟังการโต้เถียงนี้จนปวดเศียรเวียนเกล้า อีกทั้งยังไม่อาจได้และในตอนนี้เอง ซูเฟยร้องห่มร้องไห้เดินพรวดพราดเข้ามาโดยไม่สนการขัดขวางขององครักษ์ที่อยู่ด้านหน้าตำหนักแต่อย่างใดเลย “ฝ่าบาท ได้โปรดให้ควา
หากไม่หนีจะอยู่ทำหอกอันใดในวังหลวงล่ะ?หากอยู่ในวังหลวงต่อ ก็ต้องถูกฆ่าตายเป็นแน่!หนี!ต้องหนี!สายตาของจักรพรรดิเหวินดุดันขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา จ้องมองหยุนเจิงพลางกล่าว “เจ้าลูกทรพี เหตุใดเจ้าถึงไม่พูด เราจะให้เจ้าพูด ให้โอกาสเจ้าอธิบาย!”หยุนเจิงรับกับความโกรธโค้งคำนับพลางกล่าว “ลูกไม่อยากอธิบายพ่ะย่ะค่ะ และไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายด้วย! ไม่ว่าอย่างไร ลูกก็บังอาจทำร้ายพี่สามเช่นนั้น ไปแล้ว! ลูกยอมรับโทษพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยอนคำพูดนี้ของหยุนเจิง สวีสือฝู่ก็อดที่จะทำเสียงเหอะๆ อยู่ในใจไม่ได้ สวะไร้ประโยชน์ก็ยังเป็นสวะไร้ประโยชน์อยู่วันยังค่ำ!ให้โอกาสไปแล้วก็ไม่ใช้ทว่า ต่อให้ให้โอกาสคนไร้ประโยชน์อธิบายมันก็ไร้ค่าอยู่ดี!เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ให้จักรพรรดิเหวินถอดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายไร้ประโยชน์นี้ให้เป็นสามัญชนคนธรรมดาสวีสือฝู่ครุ่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโค้งคำนับและกล่าวว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อองค์ชายหกยอมรับโทษแล้ว โปรดฝ่าบาทลดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายหกเป็นสามัญชนคนธรรมดา เพื่อไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง!”“โปรดฝ่าบาทลดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายหกเป็นสามัญชนเพื่อไม่
เช่นนั้น ให้เริ่มที่หยุนเจิงเป็นคนแรกเลยก็แล้วกัน!คำพูดของหยุนเจิงทรงพลัง ดังก้องไปทั้งตำหนักเมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเจิง ความเป็นวีรบุรุษก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในใจของคนหลายคนแม่ทัพหลายคนไม่ได้สนิทมักคุ้นกับหยุนเจิง ยากมากที่จะได้รับความชื่นชมจากพวกเขาไม่นานนักหลายคนต่างเอ่ยปากกล่าวออกมาว่า“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าเรากับเป่ยหวนจะเปิดศึกรบกัน! หากองค์ชายหกลงสนามออกรบด้วยตัวเอง จะเป็นการเพิ่มขวัญกำลังใจให้กองทัพได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท! องค์ชายหกมีฐานะสูงศักดิ์ แต่ยังใจกล้าออกรบไม่กลัวตาย กระหม่อมเป็นชาวต้าเฉียน จะเสียดายชีวิตได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ?”“ได้โปรดฝ่าบาทอนุญาตองค์ชายหกด้วยพ่ะย่ะค่ะ เพื่อเป็นการเพิ่มขวัญกำลังให้ให้เหล่าทหาร!”ในขณะที่แม่ทัพกล่าวนั้น ก็มีเสียงสนับสนุนปรากฏขึ้นไม่น้อยโดยเฉพาะฝ่ายบู๊พวกเขาไม่ได้หวังว่าหยุนเจิงจะฆ่าศัตรูในสนาม แต่หยุนเจิงสามารถทำให้ขวัญกำลังของกองทัพแข็งแกร่งขึ้นได้จริงๆสำหรับทางเหนือที่อาจเปิดศึกสงครามได้ตลอดเวลานั้น เรื่องนี้เป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัยเลยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ขอ