นายพลในกองทหารมณฆลทางเหนือ คนที่หยุนเจิงให้ความสำคัญที่สุด นอกจากฉินชีหู่ ตู๋กูเช่อและตู้กุยหยวนที่เสียชีวิตไปแล้ว ก็ยังมีอวี๋ซื่อจง “ถามก่อนค่อยว่ากันเถอะ!”หยุนเจิงยิ้มเล็กน้อย “อีกอย่าง ตอนนี้เจ้าเป็นผู้บัญชาการองครักษ์ชั่วคราว หลูซิ่งเป็นรองผู้บัญชาการ หากเกอเหอและโจวมี่ยอมกลับมาเป็นองครักษ์ต่อ ก็ให้พวกเขาเป็นหัวหน้าคนละห้าร้อยคน”“หลู่ซิ่ง?”เสิ่นลั่วเยี่ยนประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าคิดจะฝึกฝนเขาให้ดี?”หยุนเจิงมีใจฝึกฝนตู้กุยหยวน เป็นที่รู้กันดีในหมู่กองทัพแรกที่อยู่ซั่วฟางแต่เพราะตู้กุยหยวนไม่ยอมปล่อยวางกองทหารโลหิต จึงไม่อาจเป็นไปดั่งหวังเสียดาย หยุนเจิงไม่มีโอกาสได้ฝึกฝนตู้กุยหยวนอีกแลว้“อื้ม”หยุนเจิงกล่าว “วรยุทธของหลู่ซิ่งไม่เลวเช่นกัน ที่สำคัญคือคนสุขุม ข้าฝึกฝนเขาก่อนสักระยะหนึ่ง ต่อไปให้เขาไปเป็นผู้ช่วยพี่ใหญ่ฉิน รอพี่ใหญ่ฉินคุ้นเคยกองทหารโลหิตแล้ว ค่อยย้ายต่งกังกลับมาข้างกายข้า”ฉินชีหู่แม้กล้าหาญ ทว่าด้านความสุขุมยังขาดไปบ้างมีคนสุขุมอยู่ด้วย เขาก็วางใจใช้ทุกสิ่งทุกอย่างสร้างกองทหารโลหิตออกมา ไม่อาจพังเสียหายได้เพราะสงครามครั้งเดียว“มันก็จริง”เสิ่นลั่
หยุนเจิงไม่รู้ตอนที่จักรพรรดิเหวินเขียนจดหมายฉบับนี้มีทรงมีความรู้สึกเช่นไรทว่า เขารับรู้ได้ถึงสิ่งที่เรียกว่าพลังงานทะลุกระดาษออกมาแล้วพลังงานทะลุกระดาษจริง!ความรู้สึกเหมือนกระดาษจดหมายกำลังแทงทะลุออกมา!ไม่รู้ตอนที่เสด็จพ่อเขียนอักษรเหล่านี้ทรงออกแรงไปเท่าใดระหว่างรู้สึกประหลาด สมองของหยุนเจิงปรากฎภาพหนึ่งนั่นคือภาพจักรพรรดิพระหัตถ์ถือมีดข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งทรงเขียนอักษรเห็นท่าทางของทั้งสองคน หลู่ซิ่งอดไม่ได้ที่จะสงสัย ถามหยั่งเชิง “องค์ชาย ฝ่าบาททรงเขียนสิ่งใด?”“เจ้าดูเอาเถอะ!”หยุนเจิงได้สติกลับมาแล้ว นำจดหมายในมือส่งให้หลู่ซิ่งหลู่ซิ่งปาดตามอง หนังตากระตุกทันใด “ฝ่าบาทจะเสด็จมาซั่วเป่ย?”“ไม่รู้”หยุนเจิงยักไหล่ “บางทีเสด็จพ่ออาจเสด็จมาซั่วเป่ย บางทีอาจจะมาเพื่อเฆี่ยนข้านอกด่านเป่ยลู่โดยเฉพาะ”“……”หลู่ซิ่งสับสน จากนั้นก็ยิ้มแห้ง “องค์ชายมีความดีความชอบมากมาย ฝ่าบาทคงไม่ถึงขั้นเฆี่ยนองค์ชายกระมัง?”“นี่ใครจะกล่าวได้ชัดเจนเล่า?”หยุนเจิงกล่าวแล้วหัวเราะขมขื่นสร้างความดีความชอบก็ส่วนสร้างความดีความชอบ หากบอกว่าจักรพรรดิเหวินอยากเฆี่ยนเขา แม้แต่เด็กสามขว
ตาแก่!ข้าไม่ให้โอกาสเจ้าหรอก!เมื่อได้ฟังคำของหยุนเจิง ทั้งสองคนอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเสิ่นลั่วเยี่ยนเอียงศีรษะครุ่นคิด กล่าวด้วยความสงสัย “เสด็จพ่อทรงมีความคิดเช่นนี้จริง รอจนใกล้ถึงด่านเป่ยลู่ค่อยส่งคนมาส่งจดหมาย จงใจให้พวกเราไปรับไม่ทัน เช่นนั้นก็ได้แล้วกระมัง?”“เจ้าไม่เข้าใจ" หยุนเจิงส่ายหน้าเบาๆ “ตอนนี้ข้าเดาได้ด้วยซ้ำว่าพวกเราไปสาย เสด็จพ่อจะกล่าวเช่นไร”กล่าวจบ หยุนเจิงเลียนแบบสำเนียงจักรพรรดิเหวิน “ลูกทรพี ข้าให้คนไปส่งจดหมายให้เจ้าล่วงหน้าก่อนตั้งนานแล้ว นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะปล่อยให้ข้ารออยู่ตรงนี้? ในสายตาเจ้ายังมีข้าอยู่หรือไม่?!”ต้อนรับไม่ทัน กับจงใจให้มาสาย มันคนละเรื่องกันดีหรือไม่?ตาแก่นี่ เห็นได้ชัดว่าหาโอกาสเรื่องที่เขามาต้อนรับไม่ทันเป็นข้ออ้าง!แจ้งก่อนล่วงหน้าตั้งนาน หากเขายังไปรับไม่ทัน ไม่จมน้ำลายของเสด็จพ่อตายก็แปลกแล้ว!มองดูท่าทางเลียนแบบของหยุนเจิง เสิ่นลั่วเยี่ยนทนไม่ไหวหลุดหัวเราะออกมาหากกล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องรีบไปต้อนรับล่วงหน้าแล้ว!หยุนเจิงครุ่นคิด จากนั้นก็สั่งการหลู่ซิง “ข้าไม่ไปดูเหมืองถ่านหินทางนั้นชั่วคราว สั่งให้ทหารประจำก
จดหมายฉบับเดียวของจักรพรรดิเหวิน ทำลายแผนการเดิมของหยุนเจิงแม้จะบอกว่าเมืองจักรพรรดิอยู่ไกลซั่วเป่ย แต่ก็ไม่แน่ว่าจักรพรรดิเหวินจะหวดม้าเร่งเดินทางมาเช่นไรจักรพรรดิเหวินก็เป็นกษัติรย์ที่เคยนำทัพด้วยตัวเองมาก่อน นำทหารม้าเร่งเดินทางมา ย่อมไม่มีปัญหาอีกทั้ง จักรพรรดิออกเดินทาง แต่ละมณฑลระหว่างทางใครบ้างจะกล้าไม่เตรียมเสบียงให้เขา?ดังนั้น จักรพรรดิเหวินไม่จำเป็นต้องบรรทุกสัมภาระหนักเกินไปหากจักรพรรดิเหวินทรงมีบัญชา ประมาณครึ่งเดือนก็สามารถเร่งเดินทางจากเมืองจักรพรรดิมาถึงซั่วเป่ยได้แล้วแน่นอน ความเป็นไปได้ที่จักรพรรดิเหวินทรงทำเช่นนี้มีน้อยมากถึงเช่นไรก็เป็นจักรพรรดิ ต่อให้มีคนรับใช้ติดตามขบวนมาด้วยรถม้า ขอแค่ขบวนเอิกเกริกสักหน่อย ก็ไม่อาจเดินทางได้เร็วนักหยุนเจิงให้เวลาจักรพรรดิเหวินออกเดินทางจากเมืองจักรพรรดิเร่งรุดมาที่ซั่วเป่ย ประมาณยี่สิบห้าวันไม่ว่าเช่นไรพวกเขาก็ต้องเดินทางไปด่านเป่ยลู่ล่วงหน้าสามวันต่อให้จักรพรรดิเหวินเริ่มเดินทางมาที่ซั่วเป่ยตั้งแต่ที่ได้รับศีรษะของพวกเขาฮูเจี๋ย พวกเขาก็ยังมีเวลาสิบกว่าวันในการเร่งเดินทางไปที่ด่านเป่ยลู่แต่ ในมือหยุนเจิงยังมี
เยี่ยจื่อไม่ได้หลอกเขา มันเทศแต่ละกิ่งก้านเติบโตได้ดีมากหยุนเจิงย่อตัวนั่งลง มองต้นกล้ามันเทศในมืออย่างรักทะนุถนอมเยี่ยจื่อรู้สึกว่า หยุนเจิงต้นกล้ามันเทศเหล่านี้ เหมือนมองสาวงามไม่มีผิดผ่านไปสักพักใหญ่ หยุนเจิงถามเยี่ยจื่ออีกครั้ง “สถานที่ปลูกถ่ายทำเสร็จแล้วหรือยัง?”“เสร็จแล้ว”เยี่ยจื่อพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ถาม “ที่ดินห้าร้อยหมู่ไม่มากไปหน่อยหรือ?”“มากดีกว่าน้อย!” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ขอแค่ปีนี้มันเทศเก็บเกี่ยวได้อย่างอุดมสมบูรณ์ ปีหน้าก็สามารถ ขยายพื้นที่เพาะปลูกในซั่วเป่ยได้ บีถัดไป พวกเราก็สามารถเก็บเกี่ยวมันเทศได้มากมายมหาศาลแล้ว...” หยุนเจิงเริ่มจินตนาการไปเรื่อยมันเทศเผา วุ้นเส้นมันเทศ มันเทศย่าง มันเทศนึ่ง...มันเทศหัวเล็กๆ กลับมีพลังในการเปลี่ยนแปลงโลกมีคุณค่าทางอาหารหรือไม่ เขาไม่คิดจะไปใส่ใจขอแค่ไม่ปล่อยท้องหิว นี่ก็เป็นสมบัติล้ำค่าจากสวรรค์!“ก็ได้!”เยี่ยจื่อยิ้ม “ข้าอยากลองชิมเหลือเกินว่ามันเทศนี้รสชาติเป็นเช่นไร!”หยุนเจิงบีมมือเยี่ยจื่อ กล่าวอย่างเข้มครึม “รอเก็บเกี่ยวมันเทศในปีนี้แล้ว จะให้เจ้าลองเป็นคนแรก!”“เจ้าลองเป็นคนแรกเถอะ!”เยี่ย
ออกจากแปลงปลูกมันเทศแล้ว หยุนเจิงพาเยี่ยจื่อไปหาจางซูที่โรงฝีมือเนื่องจากที่ดินทางนี้แพงมาก โรงฝีมือของจางซูโดยพื้นฐานแล้วล้วนลือกสร้างบนที่ดินกันดาลบริเวณไหล่เขาจึงไม่ได้กลับติ้งเป่ยช่วงระยะหนึ่ง โรงฝีมือทางนี้หลายแห่งมีเริ่มมีเคร้าโค้งแล้วหยุนเจิงและเยี่ยจื่อรออยู่สักพัก จางซูใบหน้าเปื้อนเถ้าถ่านวิ่งมาบนตัวจางซูสกปรกมอมแมม ใบหน้าเปื้อนรอยดำประปรายราวกับวิ่งออกมาจากเหมืองถ่าน“เหตุใดเจ้าสภาพเป็นเช่นนี้?”หยุนเจิงยิ้มขบขันมองจางซู“ยากที่จะอธิบายได้เพียงคำเดียว”จางซูหัวเราะ “องค์ชาย ของสิ่งนั้นทำยากมาก...”ยากหรือ?หยุนเจิงหัวเราะน่าจะบอกว่ายากมากหยุนเจิงให้เยี่ยจื่อไปสนทนากับหมิงเย่ว์ เขาพาจางซูเดินไปด้านข้าง “มีที่ใดบ้างที่ยาก เจ้าบอกกับข้า ดูว่าข้าจะสามารถจัดการได้หรือไม่”“ยากทั้งหมด”จางซูสีหน้าทุกข์ระทม กล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม “ปืนไฟและปืนยาวนั้นทำได้ไม่ยาก แต่ทำออกมาแล้วก็ไม่สามารถใช้งานได้...”สำหรับจางซูผู้เป็นคนลงมือทำ คิดจะทำต้นแบบปืนไฟและปืนยาวออกมา ความจริงแล้วไม่ยากแต่ว่า ต้นแบบก็มีข้อจำกัด!ก็คือเจ้าต้นแบบสิ่งนี้ ดูได้แต่ใช้งานไม่ได้กระบองจุดไ
รอให้แคว้นอื่นวิจัยออกมาแล้ว พวกกเขายังเอาอาวุธเย็นไปสู้ เช่นนั้นก็จบเห่แล้ว“ได้! มีคำพูดนี้ขององค์ชาย ข้าก็วางใจแล้ว”จางซูพยักหน้าหนักๆ จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้ายังกลัวว่าองค์ชายจะบอกว่าข้าทำงานไม่รอบครอบ!”“มีสิ่งใดไม่รอบครอบกัน”หยุนเจิงหัวเราะอย่างไม่เห็นด้วย “ไม่มีเรื่องใดแค่ก้าวเดินก็ขึ้นสู่ท้องฟ้าได้แล้ว พวกเราต้องค่อยเป็นค่อยไป ก็จะค่อยๆ ทิ้งระยะห่างจากคนอื่น! เรื่องนี้เจ้าจับตาให้ความสำคัญก็ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องทุมเททำเองทั้งหมด เจ้าต้องให้ความสำคัญกับการค้าของพวกเราเป็นหลัก ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยข้าหาเงินให้กองทัพ!”ยังดีที่เริ่มทำเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่ที่ต้าเฉียนแล้วแคว้นอื่นมีคนทำเรื่องเหล่านี้หรือไม่เขาไม่รู้ แต่เป่ยหวนไม่มีแน่นอนจัดการเป่ยหวนก่อน อย่างอื่นค่อยคิดเถอะ!“อื้ม!”จางซูพยักหน้าหนักแน่นอีกครั้ง ในใจรู้สึกผ่อยคลายเช่นกัน“พอแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว”หยุนเจิงหัวเราะ จากนั้นก็เปลี่ยนประเด็น “เสด็จพ่อจะเสด็จมาที่ซั่วเป่ยแล้ว ให้ข้าไปต้อนรับ เจ้าก็ไปด้วยกันเถอะ!”“ห๊า?”จางซูพลันกระอึกกระอัก กล่าวด้วยใบหน้าขาวซีด “ข้าไม่ไปดีกว่า
เดิมที เงินบำนาญของทหารที่เสียชีวิตในการรบที่สันดอนเป่ยหยวนและการบุกทะลวงวงล้อมชายแดนกู้มีราชสำนักเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายแต่ว่า เพราะหยุนเจิงยึดอำนาจทางทหาร จากนั้นก็ถูกแต่งตั้งเป็นซั่วเป่ยเจี๋ยตู้สื่อ ดังนั้น ทางราชสำนักจึงไม่ส่งเงินบำนาญมาเงินบำนาญเหล่านี้ หยุนเจิงต้องควักเงินเองเท่านั้นกองทหารมณฑลทางเหนือนับว่าเป็นทหารชายแดน ค่าจ้างจะสูงกว่าทหารที่อื่นค่าจ้างของทหารธรรมดา โดยพื้นฐานแล้วคือเดือนละหนึ่งตำลึงเงินครึ่งถึงสองตำลึงเงินส่วนทหารชาวนาเหล่านั้น ค่าจ้างทุกเดือนคือสี่ตำลึงเงินส่วนนายพลแต่ละระดับในกองทัพ ค่าจ้างย่อมสูงกว่าหน่อยตามหลักเกณฑ์ของราชสำนักต้าเฉียน ทหารเสียชีวิต ได้รับชัยชนะ จ่ายเงินค่าจ้างสามปีเป็นค่าบำเหน็จบำนาญ หากพ่ายแพ้ เงินบำเหน็จบำนาญลดลงครึ่งหนึ่งหากไม่จ่ายด้วยเงิน ก็ให้สิ่งของหรือที่ดินราคาเท่ากันเป็นสิ่งทดแทนแต่ว่า ตอนนี้ซั่วเป่ยขาดแคลนที่สุดก็คือเสบียง ที่นาก็ไม่ได้มีมากมาย ดังนั้น ทั้งหมดจึงต้องอาศัยการแจกเงินเนื่องจากก่อนหน้านี้หยุนเจิงต้องการแจกเงินบำนาญของทุกคนตามมาตราฐานผู้เสียชีวิตที่ได้รับชัยชนะ ดังนั้น ค่าใช้จ่ายจึงเพิ่มขึ้นมากกะทันห