คำพูดของตู๋กูเช่อ ได้รับการเห็นด้วยจากทุกคน“ใช่ ใช่!”“ทุ่งหญ้ามู่หม่าจำเป็นต้องแย่งมาให้ได้!”“ต้าเฉียนเราไม่มีสนามเลี้ยงมาที่ดี...”“ขอแค่ยึดครองทุ่งหญ้ามู่หม่า ต่อไปพวกเราก็ไม่ขาดแคลนม้าศึกยอดเยี่ยมแล้ว!”“ใช่แล้ว...”ทุกคนพากันพยักหน้าเห็นด้วยสำหรับทุ่งหญ้ามู่หม่า พวกเขานั่งมองน้ำลายไหลนานแล้วสนามม้าโม่หยางใหญ่สักเท่าใดกันเชียว?ทุ่งหญ้ามู่หม่าหนึ่งแห่ง สามารถทดแทนสนามม้าโม่หยางได้หลายต่อหลายแห่งตั้งแต่ต้าเฉียนเปิดแคว้มาจนถึงตอนนี้ ในเรื่องการทำสงครามเป่ยหวน สิ่งที่เสียเปรียบอย่างมากก็คือไม่มีม้าศึกหกปีก่อน ต้าเฉียนสะสมมาเป็นเวลาหลายสิบปี ในที่สุดก็มีกองทหารม้าที่แข็งแกร่งผลปรากฏว่า หลังสงครามครั้งเดียว กลับถูกตีจนกลับสภาพเดิม!ตอนนี้มีคุณสมบัตินี้แล้ว พวกเขาไม่ยอมปล่อยทุ่งหญ้ามู่หม่าที่สามารถเอามาได้ง่ายดายหากเป็นไปได้ พวกเขายังอยากจะแย่งทุ่งหญ้าฉินหลินที่ใหญ่ที่สุดของเป่ยหวนมาด้วยเมื่อได้ฟังคำของทุกคน หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะส่ายหน้า“ทุ่งหญ้ามู่หม่า พวกเราย่อมต้องครอบครอง!”หยุนเจิงตัดสินใจครั้งสุดท้าย จู่ๆ ก็เปลี่ยนประเด็น “แต่ว่า ตอนนี้พวกเราต้องสร
หลายวันให้หลัง ปัจจัยวัตถุสิ่งของส่งจากชายแดนกู้มาถึงแล้วหยุนเจิงให้รางวัลเหล่าทหารที่ชายแดนเว่ยที่เสื่อมโทรมในกองทัพยามปกติห้ามดื่มสุรา แต่วันนี้เป็นการให้รางวัลกับทุกคน เป็นข้อยกเว้นผ่านช่วงเที่ยง ทุกคนกำลังเริ่มทำงานแพะแต่ละตัวถูกลากไปเชือดคนในกองทัพ ไม่พิถีพิถันนัก หม้อขนาดใหญ่ตุ๋นมั่วซั่วด้วยไชโป๊วแห้ง ไม่ก็เสียบไม้ย่างโดยตรงมีบางคนรู้จักผักป่า ก็วิ่งไปเก็บผักป่าบริเวณโดยรอบแม้ฤดูหนาวผ่านไปแล้ว ทว่าพืชผักยังไม่เจริญเติบโตสำหรับคนมากมาย ได้กินผักแกล้มเนื้อหนึ่งคำ ก็เป็นอาหารอร่อยเลิศรสแล้วหากได้ดื่มเหล้าสักคำ นับว่าเป็นวันแห่งเทพเซียนแล้ว!หยุนเจิงยืนอยู่บนกำแพง มองทุกคนเริ่มทำงาน ใบหน้าเผยรอยยิ้ม“พี่ใหญ่ฉินมาแล้ว”เวลานี้เอง เสียงเสิ่นลั่วเยี่ยนดังลอยมาข้างหูหยุนเจิงหยุนเจิงเก็บสายตากลับมา หันไปมองฉินชีหู่“น้องชาย ช่วงนี้เจ้ามักวิ่งมาบนกำแพงเพื่อสิ่งใด? เจ้าคงไม่รอให้เจียเหยามาเยี่ยมเจ้าหรอกกระมัง?”ฉินชีหู่มาถึง ก็นำหยุนเจิงไปมาหยอกล้อฉินชีหู่นิสัยตรงไปตรงมาเปิดเผย ขอแค่ไม่ใช่ตอนทำศึก ค่อนข้างทำตัวตามสบายกับหยุนเจิง“ข้าหวังว่านางจะมาเยี่ยมข้า!”หยุ
เขารู้ข้อเสียของทหารม้าหุ้มเกราะเช่นกันแต่สิ่งที่ควรทำก็ยังต้องทำ!หากนำทหารม้าเหล็กหุ้มเกราะไปแข่งกับทหารม้า ย่อมไม่มีประโยชน์แต่ตอนที่เป่ยหวนหมดหนทางวิ่ง ทหารม้าหุ้มเกราะบุกทะลวงเข้าขบวนทัพ สามารถสร้างความเสียหายมหาศาลให้ทัพศัตรูได้แน่นอน“เช่นนี้หรือ?”ฉินชีหู่ลูบคางครุ่นคิด “เช่นนั้นก็ได้! ขอแค่เจ้ามีความมั่นใจก็พอ! ถึงเช่นไรเรื่องบุกตะลุยโจมตีข้าศึกข้าถนัด! ทว่ากล่าวไปแล้ว กองทัพเกราะเหล็กน่าเกรงขามมากจริง...”กล่าวจบ ฉินชีหู่หัวเราะเจ้าเล่ห์อีกครั้งผู้บัญชาการกองทัพเกราะเหล็กบุกทลวงทัพศัตรู ฆ่าศัตรูเหมือนกับฆ่าไก่!“ได้! เช่นนั้นก็เอาตามนี้”หยุนเจิงพยักหน้าหัวเราะ “ข้าให้ต่งกังเป็นรองแม่ทัพของเจ้าสักระยะ รอเจ้าคุ้นเคยแล้ว ค่อยปรับโยกย้ายเขา!”ต่งกังผู้นี้ ถือว่าเป็นคนมีพรสวรรค์ที่หยุนเจิงค้นพบโดยเฉพาะตอนที่ได้รู้สิ่งที่ต่งกังบอกกับเสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินในสนามรบก่อนหน้านี้ หยุนเจิงวางแผนจะอบรมสั่งสอนคนผู้นี้สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านั้น แสดงให้เห็นว่าตงกังมีวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ระยะยาว คุ้มค่ากับการอบรมสั่งสอน“ไม่มีปัญหา!”ฉินชีหู่ตอบรับอย่างสบายใจ “ไป พวกเร
เผชิญกับสายตาเร้าร้อนของหยุนเจิง เสิ่นลั่วเยี่ยนใบหน้าแดงกล่ำแม้นางกับหยุนเจิงเคยแนบชิดกายกัน แต่สุดท้ายก็ยังไม่เคยไปถึงขั้นสุดท้ายคิดถึงเรื่องต่อไปที่กำลังจะเกิดนั้น หัวใจของเสิ่นลั่วเยี่ยนเต้นตึกตักไม่หยุดเวลานี้ นางคล้ายจะเข้าใจเหตุใดเมี่ยวอินจึงต้องออกไปแล้วดีไม่ดี เมี่ยวอินดูออกนานแล้วว่าหยุนเจิงแกล้งเมามีเพียงนางที่ยังซื่อบื้ออยู่ตรงนี้เสิ่นลั่วเยี่ยนตื่นเต้นอย่างมาก เดิมไม่กล้าสบดวงตาหยุนเจิงโดยตรง กล่าวด้วยความลนลาน “อย่าซน ล้างหน้าก่อน...”เสิ่นลั่วเยี่ยนยังไม่ทันกล่าวจบประโยค หยุนเจิงก็ประทับจูบลงไป“อุ๊บ...”เสิ่นลั่วเยี่ยนดิ้นรน อยากจะหลบริมฝีปากที่เต็มไปด้วยกลิ่นสุราของหยุนเจิงทว่า หยุนเจิงกลับไม่ปล่อยนางไม่นาน เสิ่นลั่วเยี่นจมไปกับจูบเร้าร้อนของหยุนเจิงกลิ่นเหล้าหรือกลิ่นใด ตอนนี้ราวกับไม่ได้กลิ่นแล้วมือของเสิ่นลั่วเยี่ยนที่เดิมทีจับเตียงเอาไว้แน่นเลื่อนมาโอบกอดคอของหยุนเจิงอย่างควบคุมตัวไม่อยู่ขณะที่ทั้งสองจูบดูดดื่ม อุณหภูมิภายในห้องราวกับเพิ่มสูงขึ้นเสื้อผ้าบนตัวทั้งสองลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วสุดท้าย ต่างก็เปลือยเปล่าต่อหน้ากัน“บาดแผลของเจ้า
เสิ่นลั่วเยี่ยนหยิกหยุนเจิง “เจ้าไม่รู้จักถนอมร่างกายตัวเองสักนิด”“สิ่งใดกันเชียว?”หยุนเจิงส่ายหน้าเบาๆ กล่าวด้วยใบหน้าขี้เล่น “พวกเราล้วนหลั่งเลือด นี่ถึงจะยุติธรรม”เสิ่นลั่วเยี่ยนเงยหน้ามองรอยเลือดบนเตียง ทันใดนั้นก็รู้สึกอายขึ้นมา“เจ้าหาที่ตายหรือ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนอายไม่ไหว ทุบหน้าอกหยุนเจิงเบาๆเห็นท่าทางของเสิ่นลั่วเยี่ยน หยุนเจิงอดหัวเราะเสียงดังไม่ได้เสิ่นลั่วเยี่ยนหยิกเขาด้วยความอาย จากนั้นก็กล่าว “รีบปล่อยข้า ข้าจะพันแผลให้เจ้าใหม่”“พันสิ่งใดเล่า!”หยุนเจิงลูบส่วนที่อ่อนไหวของเสิ่นลั่วเยี่ยน กระพริบตากล่าว “ตอนนี้พันแผล อีกเดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนอีก!”เปลี่ยนอีก?เสิ่นลั่วเยี่ยนทำหน้าประหลาด ถามอย่างไม่รู้ตัว “เพิ่งเปลี่ยนไปเหตุใด...”กล่าวไปได้ครึ่งเดียว ในที่สุดเสิ่นลั่วเยี่ยนก็เข้าใจแล้ว“เจ้าไม่เคยกินข้าวหรือ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนอายมาก หยิกหยุนเจิงเบาๆ “จำเป็นต้องกินข้าวมื้อนึงทำให้ตัวเองจุกตาย?”“ข้าวต้องกินให้อิ่ม สุร้าต้องดื่มจนหนำใจ!”จูบนี้ เป็นดั่งฟ้าผ่าไฟลามทุ่งกระทั่งทั้งสองคนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอีกครั้ง เสิ่นลั่วเยี่ยนจึงฝืนร่างกายอ่อนปวกเปียกพัน
ตอนเช้า ตอนที่หยุนเจิงตื่น เสิ่นลั่วเยี่ยนไม่อยู่ข้างกายแล้วหยุนเจิงสวมเสื้อผ้าตัวเองเรียบร้อย กำลังจะออกจากประตูไป เสิ่นลั่วเยี่ยนกลับยกถังไม้น้ำร้อนเดินเข้ามา“เหตุใดเจ้าตื่นแล้ว?”เสิ่นลั่วเยี่ยนวางถังไม้ลง “ข้ายังไม่ได้เปลี่ยนเข็มขัดห้ามเลือดให้เจ้าเลย!”ผู้หญิงเป็นสัตว์ที่แปลกประหลาดหลังจากเปลี่ยนจากเด็กสาวเป็นผู้หญิง ความเป็นวีรชนบนตัวเสิ่นลั่วเยี่ยนหายไปไม่น้อย กลับแทนที่ด้วยความอ่อนโยนหลายส่วนที่ไม่ควรมีบนตัวนาง แม้แต่สายตาของนางยังอ่อนโยนขึ้นมากเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของเสิ่นลั่วเยี่ยน หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดปกติเขาไม่รู้ว่าตัวเองเข้าใจผิด หรือว่าเสิ่นลั่วเยี่ยนเกิดการเปลี่ยนแปลงจริง“ดูสิ่งใดกัน?”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองหยุนเจิงอย่างตำหนิ “เจ้าอย่าเพิ่มขยับ ข้าเอาแอลกอฮอล์มาแล้ว ช่วยเจ้าทำความสะอาดบาดแผลก่อน ค่อยพันแผลให้เจ้า”กล่าวจบ เสิ่นลั่วเยี่ยนยืนมือไปหมายจะถอดเสื้อของหยุนเจิง“ไม่เป็นไร”หยุนเจิงยกมือห้ามนางไว้ “ไม่ใช่แผลที่ลึกจนเห็นกระดูก ไม่เป็นไร ไม่ต้องลำบากเช่นนี้! เอาล่ะ เจ้าไปพักผ่อนก่อน เรื่องล้างหน้า ข้าทำเองก็ได้แล้วกล่าวจบ หยุนเจิงเดินเข้
นายพลในกองทหารมณฆลทางเหนือ คนที่หยุนเจิงให้ความสำคัญที่สุด นอกจากฉินชีหู่ ตู๋กูเช่อและตู้กุยหยวนที่เสียชีวิตไปแล้ว ก็ยังมีอวี๋ซื่อจง “ถามก่อนค่อยว่ากันเถอะ!”หยุนเจิงยิ้มเล็กน้อย “อีกอย่าง ตอนนี้เจ้าเป็นผู้บัญชาการองครักษ์ชั่วคราว หลูซิ่งเป็นรองผู้บัญชาการ หากเกอเหอและโจวมี่ยอมกลับมาเป็นองครักษ์ต่อ ก็ให้พวกเขาเป็นหัวหน้าคนละห้าร้อยคน”“หลู่ซิ่ง?”เสิ่นลั่วเยี่ยนประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าคิดจะฝึกฝนเขาให้ดี?”หยุนเจิงมีใจฝึกฝนตู้กุยหยวน เป็นที่รู้กันดีในหมู่กองทัพแรกที่อยู่ซั่วฟางแต่เพราะตู้กุยหยวนไม่ยอมปล่อยวางกองทหารโลหิต จึงไม่อาจเป็นไปดั่งหวังเสียดาย หยุนเจิงไม่มีโอกาสได้ฝึกฝนตู้กุยหยวนอีกแลว้“อื้ม”หยุนเจิงกล่าว “วรยุทธของหลู่ซิ่งไม่เลวเช่นกัน ที่สำคัญคือคนสุขุม ข้าฝึกฝนเขาก่อนสักระยะหนึ่ง ต่อไปให้เขาไปเป็นผู้ช่วยพี่ใหญ่ฉิน รอพี่ใหญ่ฉินคุ้นเคยกองทหารโลหิตแล้ว ค่อยย้ายต่งกังกลับมาข้างกายข้า”ฉินชีหู่แม้กล้าหาญ ทว่าด้านความสุขุมยังขาดไปบ้างมีคนสุขุมอยู่ด้วย เขาก็วางใจใช้ทุกสิ่งทุกอย่างสร้างกองทหารโลหิตออกมา ไม่อาจพังเสียหายได้เพราะสงครามครั้งเดียว“มันก็จริง”เสิ่นลั่
หยุนเจิงไม่รู้ตอนที่จักรพรรดิเหวินเขียนจดหมายฉบับนี้มีทรงมีความรู้สึกเช่นไรทว่า เขารับรู้ได้ถึงสิ่งที่เรียกว่าพลังงานทะลุกระดาษออกมาแล้วพลังงานทะลุกระดาษจริง!ความรู้สึกเหมือนกระดาษจดหมายกำลังแทงทะลุออกมา!ไม่รู้ตอนที่เสด็จพ่อเขียนอักษรเหล่านี้ทรงออกแรงไปเท่าใดระหว่างรู้สึกประหลาด สมองของหยุนเจิงปรากฎภาพหนึ่งนั่นคือภาพจักรพรรดิพระหัตถ์ถือมีดข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งทรงเขียนอักษรเห็นท่าทางของทั้งสองคน หลู่ซิ่งอดไม่ได้ที่จะสงสัย ถามหยั่งเชิง “องค์ชาย ฝ่าบาททรงเขียนสิ่งใด?”“เจ้าดูเอาเถอะ!”หยุนเจิงได้สติกลับมาแล้ว นำจดหมายในมือส่งให้หลู่ซิ่งหลู่ซิ่งปาดตามอง หนังตากระตุกทันใด “ฝ่าบาทจะเสด็จมาซั่วเป่ย?”“ไม่รู้”หยุนเจิงยักไหล่ “บางทีเสด็จพ่ออาจเสด็จมาซั่วเป่ย บางทีอาจจะมาเพื่อเฆี่ยนข้านอกด่านเป่ยลู่โดยเฉพาะ”“……”หลู่ซิ่งสับสน จากนั้นก็ยิ้มแห้ง “องค์ชายมีความดีความชอบมากมาย ฝ่าบาทคงไม่ถึงขั้นเฆี่ยนองค์ชายกระมัง?”“นี่ใครจะกล่าวได้ชัดเจนเล่า?”หยุนเจิงกล่าวแล้วหัวเราะขมขื่นสร้างความดีความชอบก็ส่วนสร้างความดีความชอบ หากบอกว่าจักรพรรดิเหวินอยากเฆี่ยนเขา แม้แต่เด็กสามขว
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ