ม้าล้ำค่าทั้งสองตัวนี้ล้วนไม่ได้รับบาดเจ็บ กลายเป็นอาวุธยุทธภัณฑ์ของพวกเขาความเสียของสงครามครั้งนี้ มีมากกว่าที่หยุนเจิงคิดเอาไว้มากประมุขใหญ่ฮูเจี๋ยนำทัพบุกมาด้วยตนเอง เพิ่มขวัญกำลังใจของกองทหารศัตรูอย่างมากต่อให้ฮูเจี๋ยสยบกองกำลังโปหลวนชั่วคราว แต่ก็ยังระเบิดกำลังการต่อสู้ออกมาได้ขั้นสุดไม่ว่าภายในเป่ยหวนจะต่อสู้ขัดแย้งกันเช่นไร สำหรับเป่ยหวนแล้ว พวกเขาคือศัตรูที่แท้จริงทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างหนักโดยหมายจะเอาชีวิตแม่ทัพหลักของอีกฝ่ายสู้กันจนสภาพเป็นเช่นนี้ ชนะหรือแพ้ล้วนไม่แตกต่างกันมากความเสียหายรุนแรงเช่นนี้ ทั้งยังทำให้เสียผู้ใต้บังคับบัญชาคนโปรดอย่างตู้กุยหยวนไป หยุนเจิงไม่ดีใจเลยสักนิดกระดูกสีขาวดุจเม็ดทรายและหิมะ แม่ทัพวาดหวังได้เกษียณกลับสู่บ้านเกิดเวลานี้ หยุนเจิงรับรู้ความหมายของกวีบทนี้ท่วมท้นไปทั้งตัวนอกจากความโหดร้าย ก็มีแต่ความโหดร้ายการต่อสู้ที่โหดร้ายเช่นนี้ ทั้งชีวิตเขาไม่อยากทำสงครามเช่นนี้อีกแล้ว!รอจนกองกำลังห้าร้อยคนของนักรบภูตสิบเจ็ดกลับมา หยุนเจิงสั่งคนพาผู้บาดเจ็บและอาวุธยุทธภัณฑ์เริ่มทำการถอยทัพ……กลางดึก ทหารเลือดท่วมตัวเข้ามาในกระ
เพียงไม่นาน เกออาซูและทัวน่าเกอก็รีบร้อนวิ่งเข้ามาทันทีที่ทั้งสองคนเข้ามาในกระโจม ก็เห็นทหารองครักษ์ของฮูเจี๋ยทั้งสองคนใจเต้นกระตุก ถามหยั่งเชิง “องค์หญิง เกิดเรื่องใดขึ้นแล้ว?”เจียเหยาหายใจแรง ความโศกเศร้าในใจเหลือคนา ทำได้เพียงให้สองทหารองครักษ์บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่พวกเขารู้กับเกออาซูและทัวน่าเกอเมื่อรู้ว่าฮูเจี๋ยและไห่เจ๋อตายในสงครามทั้งคู่ ในสมองของทั้งสองคนเกิดเสียงหึ่งๆไม่รอให้ทั้งสองคนได้สติกลับมา เจียเหยาคำรามเสียงต่ำอย่างโหดร้าย “ข้าจะนำทัพทหารม้าหนึ่งหมื่นไล่ตามกองกำลังหยุนเจิงไป! พวกเจ้าอยู่เฝ้าค่ายเอาไว้ นำทุกอย่างบรรจุใส่เกวียน ทันทีที่ทัพศัตรูเข้ามาระยะประชิด พวกเจ้านำกำลังพลที่เหลือถอยล่นไปยังราชสำนัก!”แม้เจียเหยาจะโศกเศร้าเพียงใด แต่ก็ไม่ได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไปในใจนางรู้ดี พวกเขารักษาทุ่งหญ้ามู่หม่าไว้ไม่ได้แล้วตอนนี้ พวกเขาจำเป็นต้องละทิ้งทุ่งหญ้ามู่หม่า ล่าถอยเต็มรูปแบบ เพื่อรักษากำลังที่เหลือเอาไว้ภายในสามปี พวกเขาไม่มีแรงกำลังทำสงครามอีกแล้ว!มีเพียงต้องรักษาแรงที่เหลือเอาไว้ ต่อไปจึงจะไปหาต้าเฉียนเพื่อล้างความอัปยศได้!แต่พวกเขาไม่อาจล่าถอ
อวี๋ซื่อจงขมวดคิ้ว ทว่าไม่ได้กล่าวโทษหน่วยสอดแนมมืดมิดไม่มีไฟ ทัพศัตรูยังมีสายลับเคลื่อนไหวอยู่ภายนอก พวกเขามองไม่เห็นก็เป็นเรื่องธรรมดาได้ยินทางนั้นมีการเคลื่อนไหว ก็นับว่าไม่เลวแล้วทัพศัตรูต้องการทำสิ่งใดกัน?ฉวยโอกาสออกจากค่ายตอนกลางคืน มีความเป็นไปได้สองอย่างหากไม่ใช่ทัพศัตรูตั้งใจแสดงออก ลวงหลอกว่าภายในค่ายของทัพศัตรูพวกเขาว่างเปล่า เปิดโอกาสให้เขาไปโจมตี ในความเป็นจริงแล้วสร้างกับดักล่อพวกเขา รอให้พวกเขาเข้าไปติดกับเช่นนั้น ก็คือทัพศัตรูทางนั้นมีปฏิบัติการอื่นอาจเป็นการลอบโจมตีพวกเขา หรืออาจมีภารกิจอื่นคิดไปคิดมา อวี๋ซื่อจงหนักตากระตุกก่อนหน้าพี่ใหญ่ตู้ส่งคนมารายงาน!ครั้งนี้เป็นประมุขใหญ่ฮูเจี๋ยนำทัพไปจัดการโปหลวนด้วยตัวเอง!พี่ใหญ่ตู้นำกองทหารโลหิตข้ามแม่น้ำไปร่วมรบด้วยตนเองแล้ว!มารดาเขาสิ!พวกองค์ชายคงไม่ใช่กำลังไล่ล่าประมุขใหญ่ฮูเจี๋ย คนเหล่านั้นกำลังไปช่วยเหลือประมุขฮูเจี๋ย?หรือบางที ฮูเจี๋ยอาจถูกฆ่าตายแล้ว? หากเป็นเช่นนี้คนเหล่านั้นของเป่ยหวนต้องกำลังคลั่งไปล้างแค้นพวกองค์ชาย!ไม่ได้!นั่งดูละครต่อไปเช่นนี้ไม่ได้แล้ว!อวี๋ซื่อสีหน้าเปลี่ยนไป ตะโ
เวลาเดียวกัน กองกำลังหยุนเจิงพักผ่อนหนึ่งคืนเริ่มทำการล่าถอยผ่านการพักผ่อนหนึ่งคืน ศักยภาพร่างกายทหารของพวกเขาฟื้นกลับมาไม่น้อย หยุนเจิงค่อยๆ สลัดความคิดด้านลบออก ฟื้นคืนความสงบบนสนามรบ สามารถเศร้าเสียใจได้ แต่ไม่อาจเศร้าเสียใจไปตลอด!เขาเป็นแม่ทัพหลักของกองทัพ ต่อให้เศร้าเสียใจ เขาจำเป็นต้องปลุกใจขึ้นมาทว่า หนึ่งคืนผ่านไป คนบาดเจ็บสาหัสหลายสิบคนทนไม่ไหวด้วยสถานการณ์เช่นนี้ คนบาดเจ็บสาหัสเหล่านี้อยากให้รอดชีวิตทั้งหมด ความเป็นไปได้เป็นศูนย์สมรรถภาพของม้าศึกพวกเขากลับไม่อาจตามทันแม้ทางนี้มีน้ำและหญ้าอุดมสมบูรณ์ ทว่าม้าศึกเหล่านั้นผ่านการเดินทางไกลและทำสงครามติดต่อกัน ไม่มีธัญพืชเติมท้อง อาศัยแค่การกินหญ้า เดิมก็เพิ่มพูนพลังกายได้ไม่มากอีกมั้ง พวกเขายังยึดมาศึกมาไม่น้อยม้าศึกมากมายเช่นนี้ บริเวณที่พวกเขาพักผ่อนก็ไม่ได้มีหญ้ามากมายให้ม้าศึกกินม้าศึกหลานตัวคงกินอิ่มแค่สามส่วน มีเพียงม้าไม่กี่พันตัวที่หยุนเจิงให้คนดูแลอย่างให้ความสำคัญได้กินอิ่มแปดส่วนพวกเขาจำเป็นต้องรักษาพลังการรบที่แน่นอน หากทัพศัตรูไล่ตามมา เมื่อถึงยามจำเป็นต้องรบ พวกเขายังคงต้องพึ่งพาม้าศึกเหล่านี้เ
ไม่นาน ข้างหูของพวกเขาก็ได้ยินเสียงกีบเท้ามาดังสั่นสะเทือนลอยมาบริเวณไกลๆ เจียเหยาเห็นกองทหารม้าต้าเฉียนที่จัดขบวนตั้งรอมองดูทัพศัตรู จากนั้นก็มองไปยังคนข้างหลัง เจียเหยารู้สึกเศร้ารันทดตอนที่นางรู้ว่าคนเหล่านี้หลังจากเดินทางโจมตีระยะไกลเหลือกำลังรบไม่มากแล้วนางเองก็ไม่อยากรบแต่นางจำเป็นต้องรบ!นางไม่อาจมองพวกหยุนเจิงนำศีรษะของเสด็จพ่อล่าถอยไปอย่างปลอดภัยในสายตาต้าเฉียน เสด็จพ่อบางทีอาจเป็นปีศาจร้ายแต่ในสายตานาง เสด็จพ่อก็คือเสด็จพ่อ ในโลกหน้านี้คือคนที่ดีกับนางมากที่สุด!ตอนที่ระหว่างสองกองทัพห่างไม่ถึงห้าร้อยลี้ เจียเหยาควบม้าพุ่งออกมาจากขบวน ควบม้าไปหาพวกหยุนเจิงเพียงลำพัง“หยุนเจิง!”เจียเหยาอยู่ห่างไปสองลี้ ตะโกนร้องเสียงดัง “ข้าต้องการเจรจากับเจ้า!”เจรจา?เมื่อได้ฟังคำของเจียเหยา หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะนิ่งไปเจรจาสิ่งใด?เจรจาเจ้าพาคนมากมายมาเพื่อสิ่งใด?หยุนเจิงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็ควบม้าออกไปหลายคนของกายหยุนเจิงคิดจะติดตามไป ทว่าหยุนเจิงขัดขวางไว้ต่อให้ทักษะธนูของเจียเหยาเทพเพียงใด นางอยู่ไกลเพียงนั้นจะยิงเขาได้หรือ?ไม่นาน หยุนเจิงมาอยู่บริเ
“องค์หญิง!”เมื่อเห็นเจียเหยาคุกเข่า ทหารองครักษ์ที่ยังอยู่ในขบวนรีบพุ่งเข้ามา“ไสหัวกลับไป!”เจียเหยาหันศีรษะกลับมาคำรามใส่สองสามคนที่มุ่งมา จากนั้นก็หันกลับมามองหยุนเจิง กล่าวเสียงดัง “ข้าบานต่อเทพหมาป่า ขอแค่เจ้าคืนศีรษะของพวกเสด็จพ่อให้กับข้า ข้าจากคุกเข่าที่นี่สามวัน ชดใช้ความผิดแทนเสด็จพ่อ”เมื่อได้ฟังคำพูดของเจียเหยา หยุนเจิงขมวดคิ้วแน่นอย่างควบคุมไม่อยู่สตรีผู้นี้!ไม่ปล่อยให้คนหมดความยุ่งยากเพื่อได้สบายใจเลยจำต้องเล่นลูกไม้กับเขาให้ได้เลยหรือ?น่าเสียดาย ไม่ว่าเจียเหยากล่าวสิ่งใดทำสิ่งใด เขาก็ไม่อาจนำศีรษะของฮูเจี๋ยส่งคืนให้ได้เสียงของเจียเหยาดังมาก คำพูดของนาง ย่อมลอยเข้าสู่หูของพวกเสิ่นลั่วเยี่ยนมองดูเจียเหยาที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น เสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินถอนหายใจออกมาพร้อมกันแม้พวกนางกับเจียเหยาจะเป็นศัตรูกัน แต่สำหรับเจียเหยา พวกนางนั้นเลื่อมใสมากเจียเหยานับว่าเป็นยอดสตรีโดยแท้จริงมีรูปลักษณ์สวยงาม มีความสามารถและสติปัญญา มีวิชาการต่อสู้บางที อาจเพราะเหตุนี้ นางจึงได้รับความโปรดปรานจากฮูเจี๋ยเป็นพิเศษ!หากเจียเหยาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหยุนเจิง บางที นาง
“ต่อไป ทหารม้าเป่ยหวนพบพวกเราอีกครั้ง ยังไม่ทันได้เปิดศึก พวกเขาก็จะรู้สึกหวาดกลัวแล้ว!”“หากสู้กันขึ้นมา พวกเราต้องย่อมได้รับความเสียหาย แต่ว่าความเสียหายของศัตรูจะมีมากกว่า!”“ชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญ แต่ยามที่สมควรสู้ก็ต้องสู้...”ความจริงแล้วนี่เป็นหลักการที่ง่ายแสนง่ายถ้าจักรพรรดิเหวินถูกตัดศีรษะโดยชาวเป่ยหวนระหว่างการเดินทางส่วนตัวแล้วถูกนำศีรษะไป ก็เป็นสร้างผลกระทบต่อต้าเฉียนเช่นกันเขาเชื่อ ไม่ว่าอย่างไรหยุนเจิงก็จะนำศีรษะทั้งสองนี้กลับไป เพราะคิดถึงด้านนี้บางที เจียเหยาอาจเข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรจึงต้องการนำศีรษะฮูเจี๋ยกลับไปเมื่อได้ฟังคำของต่งกัง สตรีทั้งสองสับสนอย่างควบคุมไม่อยู่เป็นเช่นนี้หรือ?ตอนที่พวกเขากำลังสนทนากัน หยุนเจิงปฏิเสธคำร้องขอของเจียเหยาอย่างหนักแน่นอีกครั้ง และกล่าวอย่างไม่แยแส “จิ๊ๆ พวกเราพนันกันดีหรือไม่?”“พนันสิ่งใด?”เจียเหยาเงยหน้า ดวงตาเปียกชื้นมองที่หยุนเจิงหยุนเจิงสายตาเย็นชาจองเจียเหยา “พนันว่าข้ารู้จุดประสงค์ของเจ้าหรือไม่!”จุดประสงค์?เมื่อได้ฟังคำของหยุนเจิง เจียเหยาใจกระตุกหยุนเจิงดูจุดประสงค์ของนางออกแล้ว?”
มองดูหยุนเจิงสีหน้านิ่งเรียบสบาย ในใจเจียเหยาเกิดความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอีกครั้งนางพลันเกิดความรู้สึกนี้ นางเมื่ออยู่ต่อหน้าหยุนเจิง ราวกับร่างกายเปลือยเปล่าทุกสิ่งที่นางคิด นางล้วนถูกหยุนเจิงดูจนทะลุปรุโปร่งเวลานี ความกดดันมาสู่ด้านเจียเหยาอีกครั้งสู้ หรือว่าไม่สู้?สู้ตอนนี้ คนและม้าของพวกเขาล้วนไม่มีแรงกำลังแล้ว การคุกเข่าเมื่อครู่ บางทีอาจพอปลุกขวัญกำลังใจทหารได้บางส่วน แต่ผลลัพธ์เมื่อเทียบกับที่นางคาดการณ์ไว้แตกต่างกันมากหากไม่สู้ตอนนี้ หากหยุนเจิงมีกองหนุนจริง รอให้กองหนุนของพวกเขามาถึง เกรงว่าพวกเขาคงต้องหนีไปฝุ่นตลบอย่างครั้งก่อนหากวันนี้พวกเขาล่าถอย นั่นเท่ากับว่าพวกเขาหวาดกลัวต้าเฉียนถึงที่สุดแล้วต่อไป ตต่อให้พวกเขามีกำลังทหารที่ยอดเยี่ยมแล้ว พวกเขาอาจไม่กล้าโจมตีทหารม้าต้าเฉียนแล้ว!พวกเขาถูกหยุนเจิงตีจนเข็ดแล้ว!หยุนจิงได้ฝังเมล็ดพันธุ์ความกลัวเช่นนี้ไว้ในใจชาวเป่ยหวนแล้วหากชนะการรบครั้งนี้ เมล็ดพันธุ์นี้ก็จะถูกบดทำลายไปหากถอยหนีเช่นนี้ เมล็ดพันธูนี้ก็จะแตกรากในใจชาวเป่ยหวนต่อไป เกรงว่าแคได้ยินชื่อหยุนเจิง คนแล้วนี้ก็คงสะดุ้งตัวสั่นแล้วสู้!จำเป็นต้
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ