เยี่ยจื่อโกรธและเขินอาย ลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็หยั่งเชิงเขา “ข้าถามเจ้าเรื่องนึง เจ้าห้ามโกรธ ตกลงหรือไม่?”“เรื่องใด?”หยุนเจิงสงสัย จากนั้นก็ยิ้มร้าย “หากข้าโกรธ เจ้าจูบข้าสักหน่อย ข้ารับประกันไม่โกรธแล้ว!”“คุยเรื่องสำคัญกับเจ้าอยู่! ไม่จริงจังเลยสักนิด!”ใบหน้าเยี่ยจื่อเริ่มร้อนผ่าว หลังจากทำใจสักพัก จึงกระซิบกล่าว “เจ้ากับเมี่ยวอินอยู่ด้วยกันมาตั้งนานเช่นนี้แล้ว ยังไม่เห็นเมี่ยวอินตั้งครรภ์ พวกเจ้าสองคน...สุขภาพใครสักคน...มีปัญหาหรือไม่?”เมื่อได้ฟังคำของเยี่นจื่อ ใบหน้าหยุนเจิงกระตุกทันทีเยี่ยจื่อเห็นดังนั้นก็กล่าวด้วยความกระอักกระอ่วน “หากเจ้าไม่สะดวกพูด เช่นนั้น...”“เจ้ามาหาข้า เพื่อถามเรื่องนี้หรือ?” หยุนเจิงถามอย่างหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้“อื้ม”เยี่ยจื่อพยักหน้าเบาๆ ใบหน้าเริ่มร้อนหยุนเจิงมุมปากยกขึ้น จากนั้นเอ่ยถาม “เจ้าอยากถามเอง หรือว่ามีใครใช้ให้เจ้ามาถาม?”“เป็นท่านแม่...”เยี่ยจื่อกัดริมฝีปากเบาๆ จากนั้นก็พึมพำ “คืนนี้ท่านแม่กับลั่วเยี่ยนพูดถึงปัญหาการให้กำเนิดบุตรของพวกเจ้า ข้านึกขึ้นได้ว่าเจ้ากับเมี่ยวอินอยู่ด้วยกันมาตั้งนานแล้ว แต่ท้องของเมี่ยวอินไ
จุมพิตนี้ เต็มไปด้วยอารมณ์หยุนเจิงแทบทนรอไม่ไหวที่จะกลืนกินสตรีผู้ที่เขาโหยหามาเนิ่นนานหลังจากจุมพิตเร้าร้อน หยุนเจิงปลดอาภรของตัวเองทันทีเวลานี้ หยุนเจิงคิดว่าเสื้อผ้าสมัยโบราณช่างน่ารำคาญเสียจริง!อีกทั้ง ฤดูหนาวต้องสวมเสื้อหลายชั้น!ต่อให้ภายในห้องเผาถ่านไฟเอาไว้ แต่ก็ยังต้องสวมเสื้อหลายชั้น“รอก่อน!”ขณะที่หยุนเจิงใกล้เปลือยเปล่าเหมือนกับเยี่ยจื่อ ทันใดนั้นเยี่ยจื่อตื่นเต้น พลันจับมือหยุนเจิงเอาไว้“……”หยุนเจิงมองเยี่ยจื่อด้วยความเอือมระอา “เจ้าคงไม่บอกกับข้า เจ้ารอบเดือนมาหรอกกระมัง?”ให้ตายสิ!ไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง!“พูดอะไรน่ะ!”เยี่ยจื่อลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็ดึงผ้าห่มมาห่อหุ้มกาย กล่าวด้วยสีหน้าแดงกล่ำ “จู่ๆ ข้าคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมา”“ตอนนี้หากไม่ใช่เรื่องเป่ยหวนบุกมา ล้วนเป็นเรื่องเล็ก!” หยุนเจิงหน้าไม่อายดึงผ้าห่มของเยี่ยจื่อออก จากนั้นก็เกาะกุมร่างอรชรของเยี่ยจื่อ “ตอนนี้ข้าต้องการกินเกี๊ยว ใครก็ไม่อาจรบกวนได้ทั้งนั้น!”“ถุย! พูดอะไร!”เยี่ยจื่อกัดปากเบาๆ จากนั้นหยิกมือที่ซุกซนของเขาเบาๆ จากนั้นก็กล่าวด้วยความเขินหน้าแดง “ตกลงกับข้าหนึ่งเรื่อง ดีหรือไม่?”ห
ไม่รู้เลย แม้แต่จักรพรรดิยังไม่อาจทำให้ทุกคนตามใจตัวเองได้ นับประสาสิ่งใดกับคนอื่นล่ะมนุษย์ ไม่อาจไม่ยึดเอาตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ แล้วก็ไม่อาจยึดเอาตัวเองเป็นเรื่องสำคัญตนพิทักษ์ไม่สำเร็จ ความภูมิใจตนไม่เกิด!ตนรู้ ไม่ใช่ว่าจะเห็นแจ้งตนรัก ไม่ใช่ว่าจะมีคุณค่า“เช่นนั้นเหตุใดตอนนี้ไม่อาจครอบครองนางได้?”เยี่ยจื่อเอียงศีรษะ ถามด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย“ข้าเกรงว่านางจะตั้งครรภ์!”หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา “พวกเราใกล้จะเปิดฉากรบกับเป่ยหวนแล้ว นางต้องการนำทัพ หากตั้งครรภ์ จะทำเช่นไร?”“เช่นนั้นเมี่ยวอินเล่า?”เยี่ยจื่อสงสัย “ช่วงนี้เจ้าหลับนอนกับเมี่วอินไม่น้อย เหตุใดนางไม่ตั้งครรภ์?”“นั่นเป็นเพราะเหอฮวนกง”หยุนเจิงยิ้มเรียบๆ บอกคุณสมบัติพิเศษของเหอฮวนกงกับเยี่ยจื่อเมื่อได้ฟังคำของหยุนเจิง เยี่ยจื่ออดไม่ได้ที่จะเบิกตาโตเหอฮวนกง มีคุณสมบัติเช่นนี้ด้วย?อึ้งอยู่ชั่วครู่ เยี่ยจื่อมองหยุนเจิงด้วยความเอือมระอา “นั่นก็หมายความว่า รอจนเป่ยหวนไม่กล้าเปิดศึกกับเรา เจ้าจึงจะสามารถมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากับเสิ่นลั่วเยี่ยนได้?”“ประมาณนั้น! ถึงเช่นไรข้าก็คิดเช่นนั้น”หยุนเจ
ตอนเช้า ตอนที่หยุนเจิงตื่น เยี่ยจื่อยังคงหลับสนิทแม้เมื่อคืนหยุนเจิงจะกินนางไม่ได้ แต่ก็เอาเปรียบนางไม่น้อย มือร้ายของเขาอยู่ไม่สุขแม้ตอนหลับ ก็ทรมานจนเยี่ยจื่อไม่ได้หลับสบายใบหน้าเยี่ยจื่อตอนหลับฝันยังแย้มยิ้มออกมาน้อยๆไม่รู้ว่าร้อนหรืออย่างไร ใบหน้าเยี่ยจื่อแดงเรื่อ ทำให้นางดูอ่อนโยนมีเสน่ห์ภายใต้ความเงียบมองดูคนงามที่กำลังหลับสนิท ในใจหยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะผุดความอ่อนโยนขึ้นมามากมายเดิมเขาอยากจะหอมเยี่ยจื่อ แต่กลัวจะรบกวนนางหลับฝันดี สุดท้ายก็ไม่ได้หอมนาง เพียงแค่ลงจากเตียงอย่างเงียบๆตอนที่หยุนเจิงหยิบเสื้อผ้ามาสวม เยี่ยจื่อตื่นขึ้นมาสะลึมสะลือเห็นหยุนเจิงที่กำลังสวมเสื้อผ้า เยี่ยจื่อที่กำลังสะลึมสะลือพลันตกตะลึงอีกนิดเดียว นางเกือบจะกรีดร้องออกมายังดีที่นางห้ามความคิดนี้ได้ทัน แอบด่าตัวเองว่าโง่ในใจนางกับหยุนเจิงล้วนเป็นสภาพนี้แล้ว ยังต้องตกใจสิ่งใด?นอนจนเบลอ ลืมเรื่องเมื่อคืนไปหมดแล้ว“ปลุกเจ้าตื่นแล้ว?”หยุนเจิงยิ้มมองเยี่ยจื่อ “เจ้านอนต่ออีกหน่อยเถอะ!”“ไม่แล้ว”เยี่ยจื่อปีนลงจากเตียง สวมเสื้อผ้าลวกๆ เดินมาอยู่หน้าหยุนเจิง “ข้าช่วยเจ้าสวมเสื้อเถอะ!”เสื
หากต้องการหาเงิน ต้องพึ่งพางานอุตสาหกรรม!เสาะหาแหล่งแร่ นี่จึงจะเป็นภารกิจเร่งด่วนกล่าวกันว่า สถานที่อย่างซั่วเป่ยมีเหมืองไม่น้อย?เหมืองถ่านหิน เหมืองเหล็ก เหมืองเกลือ เหมืองทองแดงต้องลองหาหยุนเจิงยิ่งเขียนยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ ด้านหลังล้วนเป็นแผนการปกครองซั่วเป่ยทว่า แผนการมากมายตอนนี้คิดจะนำไปบังคับใช้ ย่อมไร้ซึ่งเงื่อนไขเหล่านั้นทีละก้าวเถอะ!ปกครองซั่วเป่ยที่ใหญ่โตเช่นนี้ ไหนเลยจะง่ายเพียงนั้น!เยี่ยจื่อด้านหนึ่งฝนหมึกให้หยุนเจิง ด้านหนึ่งอ่านสิ่งที่หยุนเจิงเขียน เรื่องบางอย่างนางอ่านเข้าใจ แต่บางอย่างนางไม่เข้าใจจริงๆแต่ว่า ต่อให้เป็นเช่นนี้ นางก็ยังคงตะลึงไม่น้อยทันใดนั้นนางก็ตระหนักบางอย่างได้ หยุนเจงไม่เพียงเชี่ยวชาญสงคราม ทั้งยังเป็นอัจฉริยะอีกด้วย!เจ้าหมอนี่ปกปิดซ่อนเร้นความสามารถมาตลอดหลายปี ก็เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับตอนนี้หรือ?“ก็อกก็อก...” เวลานี้เอง เสียงเคาะประตูจากด้านนอกดังเข้ามาเยี่ยจื่อรีบไปเปิดประตู“พี่สะใภ้?”เมื่อเห็นคนที่เปิดประตูคือเยี่ยจื่อ เสิ่นลั่วเยี่ยนอดตะลึงไม่ได้ มองเยี่ยจื่อด้วยสีหน้าคลุมเครือยังไม่ทันได้เอ่ยถามเยี่ยจื่อเหต
นอกด่านเป่ยลู่ หยุนเจิงพาทุกคนไปส่งฉินลิ่วก่านมาถึงนอกด่าน“เอาล่ะ ไม่ต้องส่งแล้ว!”ฉินลิ่วก่านโบกมือให้ทุกคน “ไปทำงานของพวกเจ้าเถอะ! เจ้าหนุ่ม ซั่วเป่ยต้องยกให้เจ้าแล้ว หากเจ้าทำให้ซั่วเป่ยเสียไป ต่อจะสู้ตายเอาชีวิตเจ้าให้ได้!”“……”หยุนเจิงมองฉินลิ่วก่อนด้วยสายตาเอือมระอา จากนั้นก็กล่าวอย่างเคร่งขรึม “หรงกั๋วกงวางใจ หากซั่วเป่ยเสียไป ข้าคงตายไปแล้ว ไม่ต้องให้ท่านถ่อมาถึงนี่อีกครั้ง!”“ดี! ข้าเชื่อเจ้า!”ฉินลิ่วก่อนหัวเราะ “เอาล่ะ ไปก่อนแล้ว!”กล่าวจบ ฉินลิ่วก่อนเตะท้องม้า ควบม้าออกไปอย่างรวดเร็วมองดูฉินลิ่วก่านที่ไปไกลแล้ว หยุนเจิงไม่ได้มีความเศร้าจากการพรากจากกัน เพียงแค่ตัดสินใจเงียบๆ ต้องทำให้เป่ยหวนไม่กล้ารุกรานต้าเฉียนอีก!ระหว่างทางกลับจวน หยุนเจิงพลันถามฮูหยินเสิ่น “ท่านแม่ยาย ข้าว่าวรยุทธของท่านกับสะใภ้ใหญ่ล้วนไม่เลว ลองบัญชาการทหารในซั่วเป่ยดีหรือไม่?”“พวกเรา...บัญชาการทหาร?”ฮูหยินเสิ่นและเว่ยซวงมองหยุนเจิงด้วยความมึนงง ราวกับไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง“ใช่แล้ว!”หยุนเจิงยิ้มเล็กน้อย “ขอแค่พวกท่านยินดีก็พอ หากไม่ยินดี ก็ไม่เป็นไร”ตอนนี้เขาเป็นซั่วเป่ยเจี๋ยตู้สื่อ
“ก็ได้!”หยุนเจิงไม่บังคับดูออกว่าจ้าวจี้ไม่พอใจที่เขาแอบยึดอำนาจทหารของกองทหารมณฑลทางเหนือแต่ว่า ไม่เป็นไรในเมื่อเขากล้าทำเรื่องนี้ ก็ไม่หวังให้คนทั่วทั้งใต้หล้าคิดว่าเขาเป็นขุนนางภักดีจ้าวจี๋นิ่งเงียบเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยถามอีกครั้ง “แผนการแสดงบทบาทหนานหยวนเมื่อก่อน ล้วนเป็นฝีมือขององค์ชายหกกระมัง?”“ใช่!”หยุนเจิงพยักหน้ายอมรับเวลานี้แล้ว ยังมีสิ่งใดไม่อาจยอมรับได้อีก“องค์ชายเก่งกาจจริงด้วย!”จ้าวจี๋กล่าวด้วยความเลื่อมใส “องค์ชายหกปกปิดซ่อนเร้นมาตั้งหลายปี หลอกลวงทุกคน ความสามารถและความอดทนขององค์ชายหก ข้าเลื่อมใสยิ่ง!”ข้าปกปิดซ่อนเร้นที่ใดกัน!ก่อนหน้านี้พี่ชายไม่ได้เรื่องจริงๆ!“ล้วนเป็นเพราะความจำเป็น”หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา “หากแม่ทัพอาวุโสคิดว่าข้าเป็นโจรกบฎ ข้าก็ไม่มีสิ่งใดให้กล่าว”“หวังว่าองค์ชายหกจะไม่ใช่!”จ้าวจี๋ยิ้มเรียบๆ ไม่ได้กล่าวสิ่งใดมากความ “องค์ชายส่งคนมารับมอบเสบียงเหล่านี้ได้แล้ว”“ไม่รีบ!”หยุนเจิงหัวเราะ จากนั้นก็หยั่งเชิง “แม่ทัพอาวุโสจ้าว ท่านคงไม่ลงมือกับเสบียงอาหารเหล่านี้หรอกกระมัง?”นี่เป็นเรื่องที่หยุนเจิงกังวลที่สุดตอนนี้ถึ
เสบียงอาหารสามล้านตันนั้นเยอะมากจริงแท้พวกเขารับมอบกันโดยไม่ได้หลับพักผ่อนเป็นเวลาสองวัน จึงสามารถรับมอบเสบียงอาหารทั้งสามล้านตันเสร็จสิ้นระหว่างนั้น หยุนเจิงสั่งให้คนซุ่มตรวจสอบเสบียงเป็นระยะ โดยพื้นฐานแล้วล้วนไม่มีปัญหาใดแต่อาจเพราะอากาศภายในด่านเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว เสบียงบางส่วนได้รับความชื้นมาระหว่างทางพวกหยุนเจิงรับมอบเสบียงเสร็จสิ้น จ้าวจี๋ก็ถอนทัพกลับฟู่โจวแล้ววันถัดมา หยุนลี่เดินทางไกลรอนแรมพาครอบครัวของตู๋กูเช่อมาถึงนอกด่านเป่ยลู่“พวกเจ้าเดาสิ เจ้าสามกำลังตะโกนสิ่งใดอยู่เบื้องล่าง?”หยุนเจิงยืนอยู่บนกำแพงด่าน ยิ้มตาหยีถามเสิ่นลั่วเยี่ยน“แน่นอนกำลังด่าเจ้าหน้าเนื้อใจเสือ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนหัวเราะสดใสเมื่อได้ฟังคำของเสิ่นลั่วเยี่ยน เยี่ยจื่อและเมี่ยวอินพยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่งเจ้าหมอนี่ ไม่ใช่คนหน้าเนื้อใจเสือหรือไร!ขอแค่หยุนลี่มา ไม่ว่าเว่ยเหวินจงจะรอดถึงเมืองจักรพรรดิหรือไม่ เขาล้วนซวยทั้งนั้นต่อให้พวกเขาพี่น้องสองคนมีบรรพบุรุษร่วมกัน คาดว่าหยุนลี่คงเริ่มทักทายบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของหยุนเจิงแล้ว“เจ้าสามผู้นี้ ทะเยอทะยานไม่น้อย สมองกลับมีแต่ขี้เลื่อย”หยุ
หากมิใช่เพราะจักรพรรดิเหวินทรงเตือน เขาคงมิได้คำนึงถึงปัญหานี้เลย “พอแล้ว!” จักรพรรดิเหวินโบกพระหัตถ์ “ข้าจะออกเดินทางในไม่ช้า เจ้าอย่ามาติดตามข้าเลย ไปจัดการธุระของเจ้าเถิด!” “เสด็จพ่อจะเสด็จตอนนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” หยุนเจิงรู้สึกแปลกใจ“ข้าควรไปแล้ว! การปล่อยให้พี่สามของเจ้าติดอยู่ที่ฟู่โจวตลอดก็ไม่ดี” จักรพรรดิเหวินตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้าอย่ามาส่งข้าเลย ไปๆ มาๆ จะเสียเวลาไม่น้อย” “เอ่อ…” หยุนเจิงรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย “ลูกขอส่งเสด็จพ่อออกจากด่านเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” เขายังต้องไปที่ค่ายใหญ่บนเขาห่านป่าหวนกลับอีกครั้ง หากออกเดินทางจากชายแดนชิงจะช่วยประหยัดเวลาไปไม่น้อย ทว่าหากจักรพรรดิเหวินจะเสด็จจากไป แล้วเขาไม่ส่งเสด็จ ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องสมควร “ไม่ต้องแล้ว!” จักรพรรดิเหวินทรงปฏิเสธทันที “อย่างไรเสียเจ้าก็ยังต้องพาเจียเหยาไปที่ฟู่โจวอยู่ดี! เรื่องในมือเจ้าก็ยังมีอีกมากมาย อย่าเสียเวลาเลย เรื่องบ้านเมืองสำคัญกว่า!” เป็นเช่นนี้หรือ? หยุนเจิงลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ลูกขอส่งเสด็จพ่อไปถึงชายแดนกู้เถิดพ่ะย่ะค่ะ!” “ก็ได้!” จักรพ
จักรพรรดิเหวินอาจอยู่ในเมืองหลวงนานเกินไป หรืออาจเป็นเพราะอยากสำรวจความมั่งคั่งของหยุนเจิง ในไม่กี่วันที่ผ่านมา จักรพรรดิเหวินให้หยุนเจิงพาไปชมสถานที่หลายแห่ง เยี่ยจื่อและเสิ่นลั่วเยี่ยนตั้งครรภ์อยู่ ส่วนเมี่ยวอินไม่อยากพบกับจักรพรรดิเหวินบ่อยนัก จักรพรรดิเหวินจึงเลือกให้หยุนเจิงเป็นผู้ติดตามเพียงคนเดียว ในช่วงหลายวันนั้น จักรพรรดิเหวินได้ไปชมเหมืองถ่านหิน โรงงานผลิตถ่านน้ำผึ้ง โรงงานปูนซีเมนต์ และเตาเผาต่างๆ อย่างครบถ้วน โชคดีอย่างเดียวคือ จักรพรรดิเหวินไม่ได้ไปดูโรงงานผลิตเกลือบริสุทธิ์ ไม่แน่ชัดว่าจักรพรรดิเหวินตั้งใจหรือไม่ แต่ครั้งนี้พระองค์ไม่ได้ไปชมกองทัพซั่วเป่ย สิ่งที่พระองค์สนใจล้วนเป็นเรื่องเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน ในที่สุด หยุนเจิงก็ไม่อาจขัดขวางจักรพรรดิเหวินไม่ให้เดินทางไปยังชายแดนชิงเปียนได้ หยุนเจิงนำกองทัพองครักษ์ของตน พร้อมด้วยทหารองครักษ์ส่วนพระองค์ที่นำโดยโจวไต้ เดินทางไปยังชิงเปียนพร้อมจักรพรรดิเหวิน ระหว่างทางไปยังชิงเปียน หิมะหนาแน่นราวขนนกก็เริ่มตกลงมา จักรพรรดิเหวินยืนอยู่บนกำแพงเมืองชิงเปียน มือไขว้หลังโดยไม่ขยับเขยื้อน
พวกเขาล้วนเป็นคนใกล้ชิดของหยุนลี่ หยุนลี่จึงมิได้ปิดบัง ตั้งใจบอกเรื่องที่ต้องการซุ่มโจมตีหยุนเจิงในหัวเมืองสี่ทิศให้พวกเขารับรู้ เมื่อทราบแผนการของหยุนลี่ มีเพียงหยวนกุยที่ยังคงสงบนิ่ง ขณะที่คนอื่นต่างตกใจไปตามๆ กัน หยวนกุยหลังจากชดเชยความผิด ก็ได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการทหารในสำนักไทจื่อ แม้จะมิได้บัญชาทหารมากมาย แต่เขามีความภักดีอย่างยิ่ง ในการเดินทางครั้งนี้ หยุนลี่จึงพาหยวนกุยมาด้วย เฉียวเหยียนเซียน หัวหน้าทหารรักษาการณ์ซ้ายของไทจื่อขมวดคิ้ว กล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท ด้วยฐานะของหยุนเจิง หากไร้พระราชโองการ ใครเล่าจะ…” “เรื่องนี้ เจ้าต้องคอยเตือนข้าด้วยหรือ?” หยุนลี่ขัดจังหวะเฉียวเหยียนเซียน “เรื่องนี้ ข้าจะหารือกับเสด็จพ่อเอง! อย่างไรก็ดี พวกเราต้องเตรียมพร้อมสำหรับกรณีที่เสด็จพ่อไม่เห็นชอบ! นี่คือโอกาสทองในการซุ่มโจมตีหยุนเจิง หลังจากนี้ คงไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก!” ครั้งนี้ หยุนลี่ตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ว่าองค์จักรพรรดิเหวินจะทรงเห็นด้วยหรือไม่ เขาก็คิดจะลองสังหารหยุนเจิงอยู่ดี ในตอนนี้ หยุนเจิงเปรียบดั่งดาบที่แขวนอยู่บนคอเขา หากหยุนเจิงยังมีชีวิตอยู่ เขาย่อ
บรรยากาศในมื้ออาหารนี้ไม่สู้ดีนัก หยุนลี่มีความขุ่นเคืองในใจ แต่ไม่อาจระบายออกได้ ต้องพยายามปลอบประโลมบรรดาแม่ทัพ จึงไม่มีทางจะอารมณ์ดีได้เลย หลังอาหาร หยุนลี่ได้เอ่ยปากเชิญโจวเต้ากงให้เดินพูดคุยเป็นการส่วนตัว โจวเต้ากงก็ไม่รู้ว่าหยุนลี่ต้องการสิ่งใด แต่ก็จำต้องตอบรับ หยุนลี่กอดอก เดินนำโจวเต้ากงไปยังลานกว้างในค่ายทหาร “เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับหยุนเจิง?” ขณะเดินอยู่ หยุนลี่ก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน คิดเห็นต่อหยุนเจิงหรือ?โจวเต้ากงสะดุ้งในใจ รีบตอบกลับไปว่า “องค์ชายหกทรงเป็นโอรสสวรรค์ ข้าน้อยไม่บังอาจแสดงความคิดเห็นโดยพลการ” “ไม่เป็นไร กล่าวตามที่เจ้าคิดเถิด” หยุนลี่กล่าวอย่างเรียบเฉย เมื่อเห็นหยุนลี่ยืนกรานจะถาม โจวเต้ากงก็จำต้องตอบไปด้วยความหวั่นเกรง “องค์ชายหกทรงมีฝีมือในการศึก ปราบปรามศัตรูอย่างกล้าหาญ นับเป็นคุณูปการใหญ่หลวงต่อแผ่นดินต้าฉวน! แต่การที่ทรงมีอำนาจทหารอยู่ในพระหัตถ์และไม่เชื่อฟังราชโองการนั้น กลายเป็นภัยใหญ่หลวงต่อราชสำนัก...” เมื่ออยู่ต่อหน้าหยุนลี่ในฐานะรัชทายาท โจวเต้ากงจึงจำต้องกล่าวเช่นนี้ หยุนลี่รู้สึกพอใจกับคำตอบของโจวเต้ากง จ
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ