เมืองจักรพรรดิเซียวว่านโฉวไปที่ซั่วเป่ยมาพักหนึ่ง ในที่สุดก็กลับมาถึงแต่ทว่ามีแค่เขาที่กลับมาก่อนเท่านั้นคนข้างหลังที่ขนสุรามา เกรงว่าต้องใช้เวลาอีกสองสามวันถึงจะมาถึงเซียวว่านโฉวเองก็ไม่คิดจะเร่งกลับมาถึงเพียงนี้ แต่ทว่าพวกเขาพบเจอกับทูตที่จักรพรรดิเหวินส่งมากลางทางจักรพรรดิเหวินได้รับรายงานที่ฝ่ายของหยุนเจิงโจมตีเป่ยหวนที่หุบผาชันช่องลมได้อีกครั้ง และรู้ว่าเซียวว่านโฉวร่วมภารกิจครั้งนี้ด้วยทว่ารายงานสงครามกลับไม่สามารถบอกรายละเอียดได้มากนักบัดนี้จักรพรรดิเหวินเพียงแค่ต้องการให้เซียวว่านโฉวกลับไปโดยเร็ว ให้เซียวว่านโฉวเล่าเรื่องสงครามครั้งนี้ให้เขาฟังดีๆเซียวว่านโฉวสัมผัสกับเรื่องนี้โดยตรง ดังนั้นจะต้องเล่าได้น่าสนใจมากกว่ารายงานสงครามอยู่แล้ว!เซียวว่านโฉวหมดหนทาง ทำได้เพียงตามทูตกลับไปโดยเร็วแม้แต่น้ำก็ไม่ทันได้ดื่ม ก็ถูกพามายังสวนหลวงแล้วดีเหมือนกัน!เขาเร่งกลับมาเพียงนี้ เรื่องแกล้งป่วยของตนนั่นจะได้สมจริงขึ้นมาบ้างเมื่อคิดเช่นนี้ เซียวว่านโฉวก็ไม่รู้สึกเหนื่อยอีกต่อไป แต่กลับมีความสุขในใจเซียวว่านโฉวมาถึงสวนหลวงก็พบว่า ไม่เพียงแต่มีจักรพรรดิเหวินอยู่เท่า
เมื่อได้ยินคำพูดของสวีสือฝู่แล้ว เซียวว่านโฉวก็ตะลึงงันสรรเสริญแล้วฆ่า!สวีสือฝู่คิดจะสรรเสริญแล้วฆ่าหยุนเจิงหรือนี่!ถึงแม้เขาจะชื่นชมสรรเสริญหยุนเจิง แต่ทว่าในคำพูดกลับกำลังบอกว่า หยุนเจิงวางแผนไว้ตั้งแต่ก่อนออกจากเมืองจักรพรรดิแล้วนี่มันต้องการบอกว่าหยุนเจิงมีแผนการบางอย่างถึงไปซั่วเป่ยชัดๆเป็นไปตามคาด เมื่อได้ยินคำพูดของสวีสือฝู่แล้ว สีพระพักตร์ของจักรพรรดิเหวินก็แข็งทื่อทันใดเซียวว่านโฉวเห็นดังนั้นจึงเอ่ยขำขัน “องค์ชายหกไม่ได้มีแผนการเทพอะไรหรอก เรื่องนี้เป็นความคิดของท่านเหลิ่งคนนั้น…”สวีสือฝู่ขมวดคิ้ว ในในแอบก่นด่าเซียวว่านโฉวไอ้เฒ่าคนนี้ไอ้เฒ่านี่คิดจะทำลายแผนการของตนนั้นรึ?“ท่านเหลิ่ง?”จักรพรรดิเหวินสงสัย “ท่านเหลิ่งไหนกัน? เหตุใดในรายงานสงครามของเจ้าหกถึงไม่ได้เอ่ยถึง?”เซียวว่านโฉวเล่าความเป็นมาของท่านเหลิ่งให้จักรพรรดิเหวินฟัง แล้วกล่าวต่อไปว่า “ท่านเหลิ่งนั้นเป็นปรมาจารย์นอกโลก ไม่อยากมีชื่อเสียงมากมาย ดังนั้นจึงไม่ให้องค์ชายหกเอ่ยถึงเขาในรายงานสงคราม แล้วมอบความดีความชอบทั้งหมดให้กับตู้กุยหยวนพวกเขา…”“นั้นรึ?”จักรพรรดิเหวินยิ่งอยากรู้จึงถามเรื่องท่า
“ตบรางวัล! ต้องตบรางวัลอย่างหนัก!”ภายใต้ความดีใจ จักรพรรดิเหวินจึงรีบโองการ“เสด็จพ่อ ช้าก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนลี่ทนไม่ได้อีกต่อไป จึบรีบห้ามเอาไว้“เจ้าจะพูดอะไร?”จักรพรรดิเหวินมองหยุนลี่อย่างไม่พอพระทัยหยุนลี่ใจกระตุกวูบ รีบโค้งคำนับ “เบื้องต้นเป่ยหวนเพียงแค่คิดจะนำเมืองสามชายแดนมาแลกตัวองค์หญิงเจียเหยาเท่านั้น ทว่าเรื่องนี้ยังเจรจาไม่ชัดเจน ลูกเกรงว่าจะเป็นกับดักของเป่ยหวนอีก…”“นั่นน่ะสิ!”สวีสือฝู่สำทับ “เป่ยหวนกลยุทธ์มากมาย ขณะที่เมืองสามชายแดนยังไม่กลับคืนสู่ต้าเฉียนอย่างเป็นทางการ เรื่องนี้ก็ยังเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา”หลังจากที่ทั้งสองเอ่ยจบ ก็มีผู้คนไม่น้อยเริ่มวิจารณ์ขึ้นมา“เรื่องนี้ซับซ้อน ฝ่าบาททรงสืบให้แน่ชัดก่อนตัดสินพระทัยดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ!”“จริงพ่ะย่ะค่ะ เป่ยหวนสูญเสียกำลังคนไปมากเพียงนั้น แต่กลับละทิ้งเมืองสามชายแดนที่เป็นจุดอันตรายในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ปกติ!”“หากละทิ้งเมืองสามชายแดนในตอนนื้ เช่นนั้นตอนที่เราโจมตีช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ เป่ยหวนก็เสียเปรียบน่ะสิ?”“เรื่องนี้ต้องเป็นกับดักของเป่ยหวนแน่…”คนส่วนใหญ่คิดว่าเรื่องนี้ไม่ปกติแม้แต่จางฮว๋ายก็นึก
ชั่วขณะหนึ่ง จักรพรรดิเหวินพลันรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาหลังจากครุ่นคิดได้พักหนึ่ง จักรพรรดิเหวินก็สั่งการมู่ซุ่นว่า “ถ่ายทอดราชโองการสั่งให้เว่ยเหวินจง…”พูดไปครึ่งประโยค จักรพรรดิเหวินก็หยุดกะทันหันหลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ถึงจะเอ่ยต่อไปว่า “ให้เจ้าหกรับหน้าที่ไปทำการแลกเปลี่ยนทั้งหมด เว่ยเหวินจงคอยช่วยเหลือ! หลังจากที่ได้เมืองสามชายแดนกลับคืนมา เว่ยเหวินจงจะรับหน้าที่ส่งแม่ทัพไปประจำการที่เมืองสามชายแดนต่อ…”“เสด็จพ่อ เช่นนี้ไม่ดีหรอกกระมัง?”หยุนลี่เอ่ยอย่างกังวลใจ “เว่ยเหวินจงเป็นผู้บัญชาการหลักของกองทหารมณฑลฝ่ายเหนือ ให้เขาคอยช่วยเหลือน้องหก ไม่ดู…”“ไม่ดูอะไร?”จักรพรรดิเหวินจ้องหยุนลี่แวบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าเพียงแค่ให้เว่ยเหวินจงช่วยเหลือเจ้าหกจัดการเรื่องแลกเปลี่ยนเท่านั้น เรื่องต่อจากนี้ ก็ต้องเป็นหน้าที่ของเว่ยเหวินจงอยู่แล้ว แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ไม่เข้าใจหรือ?”“องค์รัชทายาท ฝ่าบาทตรัสมีเหตุผล” สวีสือฝู่รีบเอ่ย “ฝ่าบาทเพียงแค่กังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นขณะแลกเปลี่ยน จึงอยากให้ท่านเหลิ่งที่อยู่ข้างกายองค์ชายหกช่วยคิดแผนการรับมือ…”หยุนลี่ชะงั
หลังจากที่ส่งคนไปส่งข่าวให้กับจักรพรรดิเหวินแล้ว หยุนเจิงก็พาเจียเหยากลับที่จวนของตนทันทีสองสามวันนี้ หยุนเจิงพวกเขากินแต่โสมตุ๋นทุกวันโดยอ้างว่าต้องการจะบำรุงร่างกายให้กับเมี่ยวอินที่ตั้งครรภ์อยู่หยุนเจิงเองก็ไม่บังคับเจียเหยาเพราะอย่างไรพวกเขากินอย่างไร เจียเหยาก็กินอย่างนั้นพวกเขาไม่เอ่ยว่าจะมอบ ‘โสม’ ให้กับเจียเหยาเลย เพื่อรอให้เจียเหยาได้ลิ้มลองคุณสมบัติของโสมนี้ก่อน แล้วเอ่ยปากขอด้วยตนเองแต่ทว่าน่าเสียดาย พวกเขารออยู่นานหลายวัน เจียเหยาก็ไม่ยอมปริปากวันๆ เอาแต่บำรุงกาย ทำเอาหยุนเจิงบำรุงจนแทบจะเลือดกำเดาไหลแล้วเมื่อเห็นว่าเวลาที่เจียเหยาให้เหลือไม่กี่วันแล้ว หยุนเจิงจึงได้ตัดสินใจพาเจียเหยาไปที่ป้อมเมืองสุยหนิงขณะที่หยุนเจิงมาถึงเรือนปีกที่กักขังเจียเหยา พบว่าเจียเหยากำลังนอนหลับตาครุ่นคิดอย่างสบายใจอยู่บนใบหน้าของนาง ไม่เห็นถึงความกังวลและร้อนใจเลยแม้แต่น้อย“อารมณ์ดีเชียวนะ!”หยุนเจิงเอ่ยชมลับๆ จากนั้นเดินตรงไปที่ข้างกายเจียเหยา “เหตุใดถึงมานอนอยู่ที่นี่ ไม่หนาวหรือ?”เจียเหยาลืมตาขึ้นช้าๆ “ความหนาวถึงจะทำให้คนมีสติ ไม่ใช่หรือ?”“แต่ความหนาวก็สามารถทำให้
หยุนเจิงหัวเราะ “เจ้าดูสิ เจ้าอยู่กินที่นี่มาตั้งหลายวัน แม้แต่โสมคนที่แสนล้ำค่าของข้าก็ให้เจ้ากินแล้ว พวกเราไม่นานก็ต้องแลกเปลี่ยนกันแล้ว แต่ก่อนหน้านั้น ควรจ่ายค่าอาหารหรือไม่?”ค่าอาหาร?เมื่อได้ฟังคำของหยุนเจิง ใบหน้าที่สวยงามของเจียเหยากระตุกวูบทันทีไอสารเลวไร้ยางอาย ยังกล้าถามหาค่าอาหารกับนางด้วย?“อย่ามองข้าเช่นนั้น”หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ในมือข้ามีโสมคนไม่กี่รากเท่านั้น ยามปกติข้าเองก็ยังเสียดายไม่กล้ากิน หากไม่ใช่ เพื่อใช้รับรองเจ้า จึงนำอาหารมากินเช่นนี้? เจ้าไม่ให้ค่าอาหารกับข้าสักหน่อย คงกล่าวต่อไปไม่ได้กระมัง?”หยุนเจิงพยายามเบี่ยงเบนหัวข้อไปที่โสมคนห้ามไม่ให้เจียเหยามองออก จึงทำได้เพียงดึงดูดความสนใจทั้งหมดไปอยู่ที่ปัญหาเรื่องค่าอาหารเขาเองก็พยายามเป็นครึ่งสุดท้ายหากไม่ได้จริงๆ ก็ทำได้เพียงมอบโสมคนให้เจียเหยาโดยไร้ค่าใช้จ่ายแล้วส่วนนางจะทิ้งหรือว่านำไปมอบให้ผู้อื่น หรือว่านางกินเอง ก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาสามารถควบคุมได้แล้ว“เจ้าคิดค่าอาหารเท่าไหร่ล่ะ?”เจียเหยาเลิกคิ้วถามหยุนเจิงยิ้มเล็กน้อย “โสมคนในมือข้าล้วนเป็นสมบัติล้ำค่า โสมคนหนึ่งรากมูล
ฟังคำพูดของหยุนเจิง เจียเหยาจมอยู่ในความคิดหลายวันนี้นางกินอาหารตุ๋นโสมไปไม่น้อย ผลลัพธ์ของโสมคนนั่น นางรับรู้ได้เช่นกันแต่ว่า หยุนเจิงใจดีเช่นนี้หรือ?ไอสารเลวเจ้าเล่ห์นี่ นำโสมคนมอบให้นาง ให้ไปรักษาชีวิตเชลยศึกเหล่านั้น?คิดไปคิดมาล้วนรู้สึกไม่น่าเชื่อถือ!หากเขาคิดจะเอาชีวิตคนเหล่านั้นค่อยว่าไปอย่าง!“เจ้ามันโหดร้ายจริง!”เจียเหยาตะคอกเสียงเย็น “ข้าเดาว่า เจ้าให้คนวางยาพิษในโสมคน? หากข้านำโสมคนมีพิษไปให้ผู้บาดเจ็บเหล่านั้น เกรงว่าชีวิตของพวกเขาคงไม่เหลือแล้ว! เช่นนั้น เจ้าก็เอาเปรียบได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องกลัวเชลยเหล่านั้นกลับมาสวมชุดเกราะ กลายเป็นศัตรูของพวกเขา ถูกหรือไม่?”ได้!สตรีนางนี้สุดท้ายก็ยังคลางแคลงใจ!เห้อ คิดจะหลอกสตรีนางนี้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ!เขาอ้อมไปตั้งนาน ยังสร้างความสงสัยให้นางแล้วหยุนเจิงยิ้มขมขื่นในใจ ทว่ายังกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าคิดว่าเจ้าเข้าใจข้าผิดแล้ว!”“เข้าใจผิด?”หยุนเจิงเบ้ริมฝีปาก กล่าวถากถาง “ตอนที่เจ้านำศพทหารเหล่านั้นแลกเปลี่ยนม้าศึกกับอาจารย์ข้า ก็ใช้วิธีกลอุบายเล็กน้อยนี่ไม่ใช่หรือ?”“ข้าทำเช่นนั้นเรียกกลอุบายเล็กน้อย?”หยุนเจิ
ทหารยามนำกุญแจออกมาเปิดประตูห้องคลังอย่างรวดเร็วหยุนเจิงสั่งอีกครั้ง “ไปเรียกฮูหยินจื่อมาหน่อย”ทหารยามไปทำตามคำสั่งทันที“เจ้าเรียกคนมาด้วยเหตุใด?”เจียเหยามองหยุนเจิงด้วยความสงสัย“เจ้าโง่หรือ?”หยุนเจิงกรอกตาบนใส่นาง “ข้าเป็นท่านอ๋อง มีหรือจะเวลามาใส่ใจว่าโสมคนวางไว้ตำแหน่งใดในห้องคลัง? เจ้าเฝ้าอยู่ตรงหน้า ข้าอยากเล่นตุกติกกับโสมคน ก็ต้องมีโอกาสด้วยใช่หรือไม่?”เจียเหยาชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ไร้คำจะพูดจริงด้วย!เขาเป็นท่านอ๋อง หากทั้งวันเอาแต่สนใจเรื่องไร้อย่างห้องคลัง เช่นนั้นก็มีปัญหาจริงแล้วเมื่อคิดเช่นนี้ เจียเหยาไม่กังวลอีกต่อไปไม่นาน เยี่ยจื่อรีบเข้ามา“องค์ชาย พวกท่านต้องการทำสิ่งใด?”เยี่ยจื่อถามอย่างไม่เข้าใจหยุนเจิงยักไหล่กล่าว “ข้าเจรจาการค้ากับนาง เจ้าไปนำโสมคนสองหัวมาให้นาง”“ข้าไปเอาเอง!”ไม่ทันรอให้เยี่ยจื่อเอ่ยปาก เจียแหยาชิงพูดก่อน“ได้ ได้!”หยุนเจิงมองเจียเหยาด้วยสายตารำคาญ “ระหว่างคนด้วยกัน ความเชื่อใจพื้นฐานที่สุดก็ยังไม่มี!”เจียเหยาเบ้ปาก คร้านจะสนใจเขาสำหรับหยุนเจิงที่หูตาเยอะยิ่งกว่ารังผึ้ง ต้องป้องกันเอาไว้ทุกทาง!ภายใต้การนำทางขอ
หยุนเจิงกลับมาจากโรงงานผลิตอาวุธ เพียงแค่เดินมาถึงหน้าจวนอ๋อง ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกวุ่นวายดังมาจากในจวน พอเข้าไปในจวนตามคาด เขาเห็นเหล่าเด็กซนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในลานหน้า ลูกชายสองคนกับลูกสาวหนึ่งคนของฉินชีหู่ รวมถึงลูกชายของอดีตรัชทายาท มาที่จวน และกำลังเล่นปาหิมะกับเสิ่นเนี่ยนฉือและฉีเหยียน เด็กๆ เหล่านั้นต่างสวมเสื้อผ้าหนาเตอะเหมือนหมี แม้จะล้มลงบนพื้นหิมะก็ไม่รู้สึกเจ็บ “คารวะฝ่าบาท!” เมื่อเห็นหยุนเจิงกลับมา อาจารย์ที่คอยดูแลเด็กๆ รีบเข้ามาคารวะ “พอเถอะ ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอยู่ในจวนไม่ต้องเคร่งขนาดนั้น” หยุนเจิงโบกมือพลางถามว่า “พี่สะใภ้ตระกูลฉินมาที่นี่แล้วหรือ?” “เจ้าค่ะ” ซินเซิงยิ้มบางๆ ขณะช่วยปัดหิมะออกจากเสื้อหยุนเจิง พลางตอบว่า “ช่วงบ่ายฮูหยินฉินก็มากับเด็กๆ ตอนนี้คงเล่นไพ่นกกระจอกกับเหล่าพระชายาอยู่” หยุนเจิงว่า “เช่นนั้นข้าไปดูสักหน่อย เจ้าเฝ้าเด็กๆ ไว้ อย่าให้พวกเขาเล่นจนเหงื่อออกมากนัก” “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” ซินเซิงพยักหน้าเบาๆ หยุนเจิงมองดูเด็กซนที่กำลังเล่นอย่างบ้าคลั่ง และครุ่นคิดในใจว่าจะให้พวกเขาทำ “การบ้านช่วงปิดเทอม
ตลอดสองวันที่ผ่านมา เจียเหยาเจรจากับกุ่ยฟางอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าข้อเสนอจากกุ่ยฟางจะเกินกว่าเงื่อนไขขั้นต่ำที่เจียเหยากำหนดไว้ในใจแล้ว แต่นางยังไม่พอใจ นางต้องการต่อรองเพื่อให้ได้ทรัพยากรมากขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่า จุดที่ยังคงเจรจากันไม่ลงตัวอยู่ที่ค่าชดเชยจากสงครามและจำนวนบรรณาการ กุ่ยฟางแสดงเจตนาอย่างชัดเจน หากต้องการค่าชดเชยเพิ่ม จำนวนบรรณาการจะต้องลดลง แต่ในเรื่องจำนวนบรรณาการ เจียเหยาไม่ยอมอ่อนข้อเลย ในที่สุด กุ่ยฟางจำต้องยอมรับข้อกำหนดของเจียเหยาในการถวายบรรณาการตามจำนวนที่นางระบุ ส่วนค่าชดเชยที่กุ่ยฟางสามารถมอบให้ได้ เมื่อคำนวณแล้วอยู่ที่ประมาณร้อยละสี่สิบห้าของข้อเรียกร้องเริ่มต้นของเจียเหยา ผลลัพธ์นี้แม้ไม่ใช่สิ่งที่นางคาดหวังไว้ แต่ก็ดีกว่าที่เจียเหยาประเมินไว้ไม่น้อย เมื่อการเจรจาสิ้นสุด เจียเหยาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ ด้วยทรัพยากรเหล่านี้ ประชาชนแห่งเป่ยหวนจะผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไม่ลำบากนัก “องค์หญิง เหตุใดท่านจึงไม่ยอมอ่อนข้อในเรื่องบรรณาการ?” เกออาซูถามด้วยความไม่เข้าใจ “หากเรายอมลดเงื่อนไขเรื่องบรรณาการ เราก็จะได้สิ่งอื่นเพ
ทว่า สำหรับเจียเหยาในตอนนี้ นี่อาจไม่ใช่เรื่องดีนัก เมื่อผู้ที่เข้าร่วมเจรจาจากกุ่ยฟางมีหลายคน ความเห็นของพวกเขาอาจไม่ตรงกัน การดึงกลยุทธ์นี้อาจทำให้เสียเวลาเพิ่มขึ้น เจียเหยารู้สึกกังวลในใจ แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย “ท่านทูตเชิญนั่งก่อน ข้ามีเรื่องสำคัญต้องจัดการเสียก่อน!” กล่าวจบ เจียเหยาก็ก้มหน้าก้มตาเขียนจดหมายต่อ แต่ความคิดของเจียเหยาในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่จดหมายอีกแล้ว นางดูเหมือนกำลังเขียนจดหมาย แต่แท้จริงแล้วกำลังกดดันอาเคอถูและคณะ นางรู้ว่าชื่อเหยียนต้องมอบอำนาจในการเจรจาบางส่วนให้แก่อาเคอถูและคณะ สิ่งที่นางต้องทำคือการกดดันคณะทูตกุ่ยฟางเพื่อให้ได้ผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น การกระทำของเจียเหยาส่งผลอย่างชัดเจน เมื่อเห็นว่าเจียเหยาดูเหมือนไม่ได้รีบร้อนเจรจาเลย สมาชิกในคณะทูตกุ่ยฟางก็เริ่มมองตากันไปมา สุดท้าย สายตาของทุกคนต่างหันไปที่มู่ลี่จวี เห็นได้ชัดว่ามู่ลี่จวีเป็นผู้คุมการเจรจาครั้งนี้ มู่ลี่จวีรู้สึกโกรธกับความเย็นชาของเจียเหยา แต่เขารู้ดีว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์แสดงความไม่พอใจต่อหน้านาง ชื่อเหยียนมอบอำนาจให้เขาตัดสินใจในบางเรื่องได้จริง แต่ใ
เจียเหยาตัดสินใจหยุดการเคลื่อนทัพต่อ กองทหารของพวกนางถูกส่งออกไปกวาดต้อนทรัพยากร ดินแดนที่พวกนางเข้ายึดครองในตอนนี้เกินกว่าห้าร้อยลี้ไปนานแล้ว แต่เจียเหยาตั้งใจเพียงให้ทัวฮวนและกองทหารยึดครองดินแดนของกุ่ยฟางเพียงสามร้อยลี้ตามเงื่อนไขขั้นต่ำของหยุนเจิงเท่านั้น การยึดครองดินแดนมากกว่านี้ ไม่เพียงเพื่อกวาดต้อนทรัพยากรและกดดันชื่อเหยียน แต่ยังเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในเจรจา ท้ายที่สุด หากนางยอมคืนดินแดนบางส่วนให้ชื่อเหยียน ชื่อเหยียนก็จะไม่สามารถเรียกร้องเงื่อนไขอื่นได้อย่างเข้มงวดนัก ดังที่เจียเหยากล่าวไว้ นางกับหยุนเจิงเป็นคนประเภทเดียวกัน และในตอนนี้ ชื่อเหยียนก็ดูคล้ายกับสถานการณ์ของนางเมื่อก่อนที่ถูกหยุนเจิงกดดันจนถึงทางตัน เพราะเหตุนี้ เจียเหยาจึงเข้าใจจิตใจของชื่อเหยียนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจียเหยาเคยคิดอยากเป็นผู้พิฆาตมังกร แต่สุดท้ายนางกลับกลายเป็นมังกรร้ายเสียเอง สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เจียเหยาจะได้รับคำตอบจากชื่อเหยียน นางกลับได้รับข่าวจากหยุนเจิงผ่านเหยี่ยวขาว “รีบกลับมา ก่อนสิ้นปีมาพบข้าที่ติ้งเป่ย” ข้อความจากหยุนเจิงสั้นมาก เมื่
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง!” เจียเหยากล่าวพลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กุ่ยฟางต้องยอมสวามิภักดิ์และถวายบรรณาการอย่างแน่นอน แต่จำนวนบรรณาการต้องเพิ่มขึ้นอีกร้อยละห้าสิบพร้อมกันนี้ กุ่ยฟางต้องเปิดการค้าเสรีกับต้าเฉียนและเป่ยหวน นอกจากนี้ กุ่ยฟางต้องชดเชยความเสียหายที่เป่ยหวนและต้าเฉียนได้รับจากศึกครั้งนี้ โดยจ่ายชดเชยเป็นทองคำ 100,000 ตำลึง แกะ 100,000 ตัว วัว 30,000 ตัว ม้า 10,000 ตัว และเสบียงอาหาร 4 ล้านตัน และเพื่อเป็นการตอบแทน เจียเหยาจะไม่เรียกร้องให้กุ่ยฟางยกดินแดน 500 ลี้ แต่ลดลงเหลือเพียง 300 ลี้เท่านั้น! ส่วนข้อที่ให้กุ่ยฟางถวายหญิงงาม 100 คนแก่ต้าเฉียนนั้น เจียเหยาได้ยกเว้นให้โดยตรง สำหรับเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆ เจียเหยาก็ยอมรับตามที่กุ่ยฟางเสนอมา เมื่อได้ยินเงื่อนไขของเจียเหยา อาเคอถูรู้สึกราวกับสมองของตนกำลังอื้ออึง การเพิ่มบรรณาการขึ้นร้อยละห้าสิบยังพอว่า แต่เจียเหยากลับเรียกร้องให้กุ่ยฟางจ่ายค่าชดเชยจำนวนมหาศาลในคราวเดียว? อย่าว่าแต่ปศุสัตว์และเสบียงเลย เพียงแค่ทองคำ 100,000 ตำลึง กุ่ยฟางก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว ทองคำ 100,000 ตำลึง
กุ่ยฟางแม้ว่าขณะนี้ดินแดนกุ่ยฟางจะเต็มไปด้วยหิมะที่ปกคลุมไปทั่ว แต่เจียเหยาก็ยังไม่หยุดการเคลื่อนทัพ ด้วยผลจากสิ่งที่พวกเขายึดได้ระหว่างทาง กองทัพของพวกเขาจึงไม่มีใครต้องทนหนาว ทว่าความหนาวเย็นของอากาศยังคงสร้างความลำบากไม่น้อยให้กับพวกเขา ทัวฮวนและจู่หลู่ได้เสนอให้เจียเหยารับคำขอเจรจาของชื่อเหยียนหลายครั้ง แต่เจียเหยาก็ไม่ได้สนใจในตอนนี้ กองทัพของพวกเขาอยู่ห่างจากเมืองหลวงของกุ่ยฟางไม่ถึงหนึ่งร้อยลี้แล้ว! เมื่อเผชิญกับกองทัพที่ประชิดเข้ามา ชื่อเหยียนจึงส่งคนมาเจรจาขอสงบศึกอีกครั้ง ครั้งนี้ เจียเหยาไม่ได้ขับไล่คนที่ชื่อเหยียนส่งมาอีก เจียเหยาได้พบกับอาเคอถูในกระโจมใหญ่ เมื่ออาเคอถูถูกนำตัวเข้ามา เจียเหยากำลังใช้มีดเล็กๆ ตัดเนื้อแกะชิ้นร้อนๆ จากขาแกะส่งเข้าปาก ข้างกายของนาง เกออาซูยืนอยู่พร้อมถือดาบในมือ อาเคอถูไม่ทราบว่าเนื้อแกะนั้นอร่อยเพียงใด แต่เจียเหยากลับดูเหมือนกำลังเพลิดเพลินอย่างมาก “ข้าน้อยคารวะองค์หญิงเจียเหยา!” อาเคอถูคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อถวายคำนับเจียเหยา เจียเหยาช้อนตามองเล็กน้อย มองอาเคอถูอย่างเรียบเฉย “เจ้าควรเรียกข้าว่า ‘องค์หญิ
ฤดูหนาวอันยาวนาน พวกเขามีสิ่งที่ต้องเตรียมการมากมาย หยุนเจิงเดินหาอยู่ในค่ายอยู่นาน จึงเจอฉินชีหู่ในโรงตีเหล็กของค่าย เมื่อเห็นหยุนเจิง ฉินชีหู่ก็รีบถือกระบองหนามที่เขาสั่งการตีด้วยตัวเองเข้ามาหา พลางกล่าวด้วยความภูมิใจ “น้องชาย เจ้าช่างมาถูกเวลา! มาดูอาวุธใหม่ของข้าหน่อยสิ!” “ข้าดูซิ” หยุนเจิงรับกระบองหนามมาจากมือของฉินชีหู่ เพียงแค่จับก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักมหาศาล แม้หยุนเจิงจะฝึกฝนร่างกายร่วมกับเมี่ยวอินมานาน แต่เมื่อถือกระบองหนามนี้ไว้ในมือก็ยังรู้สึกว่าหนักเกินกำลังเล็กน้อย “นี่คงหนักเจ็ดสิบจินได้กระมัง?” หยุนเจิงมองฉินชีหู่ด้วยความตกตะลึง “เจ็ดสิบแปดจิน!” ฉินชีหู่หัวเราะพลางกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “นี่คืออาวุธที่หนักที่สุดในกองทัพแน่นอน!” ตอนนี้ฉินชีหู่หลงใหลในกระบองหนามชนิดนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดาบใหญ่หรือหอกยาว เมื่อเจอกระบองหนามของเขา ก็ต้องยอมแพ้ทั้งนั้น เพียงแค่ฟาดลงไปครั้งเดียว เกราะใดก็ป้องกันไม่ได้! เรียกได้ว่าเทพมาขวางก็กำจัดเทพ พระมาขวางก็กำจัดพระ!” “เจ้ามันแน่!” หยุนเจิงกล่าวเหน็บแนมพลางคืนกระบองหนามให้ฉินชีหู่ “ช่ว
เรื่องการอภิเษกสมรสกับเจียเหยา หยุนเจิงไม่ได้ให้ความสำคัญนัก พลังงานทั้งหมดของเขาทุ่มเทไปกับการเตรียมการกองทัพใหม่ สำหรับกองทัพกุยอี้ หยุนเจิงยังคงยึดหลักการเดิม คือ ในหนึ่งกองทัพต้องประกอบด้วยคนจากหลายแคว้น เพื่อให้พวกเขาตรวจสอบกันเองและป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้น กองทัพกุยอี้สี่หมื่นนาย ถูกขยายมาจากกองกำลังหนึ่งหมื่นกว่าคนของฟู่เทียนเหยียนและพรรคพวก ผู้ที่สร้างผลงานจากศึกก่อนหน้านี้จะถูกแต่งตั้งให้เป็นนายทหารระดับกลางและล่าง ฟู่เทียนเหยียน ฮั่วกู้ จั่วเหริน และเกาเหอ ต่างก็นำกองกำลังหนึ่งหมื่นนาย ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมของพวกเขาในศึกก่อนหน้า หยุนเจิงจึงจัดสรรม้าให้กองทัพกุยอี้หนึ่งหมื่นตัว และจัดตั้งกองทหารม้าห้าพันนาย ซึ่งสังกัดในกองกำลังของฟู่เทียนเหยียน หลังจากจัดการเรื่องกองทัพใหม่เรียบร้อย หยุนเจิงจึงพาคนไปเคารพหลุมศพของตู้กุยหยวน ระหว่างทางกลับ หยุนเจิงครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอนาคต เมื่อการเตรียมการเบื้องต้นเสร็จสิ้น กองทัพกุยอี้ทั้งสี่หมื่นนายจะต้องแยกกันไปฝึก ส่วนกองทัพประจำการใหม่สองหมื่นนาย เรื่องนี้ค่อนข้างง่าย กองกำลังสองหมื่นนี้เดิมทีเป็
หากมิใช่เพราะจักรพรรดิเหวินทรงเตือน เขาคงมิได้คำนึงถึงปัญหานี้เลย “พอแล้ว!” จักรพรรดิเหวินโบกพระหัตถ์ “ข้าจะออกเดินทางในไม่ช้า เจ้าอย่ามาติดตามข้าเลย ไปจัดการธุระของเจ้าเถิด!” “เสด็จพ่อจะเสด็จตอนนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” หยุนเจิงรู้สึกแปลกใจ“ข้าควรไปแล้ว! การปล่อยให้พี่สามของเจ้าติดอยู่ที่ฟู่โจวตลอดก็ไม่ดี” จักรพรรดิเหวินตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้าอย่ามาส่งข้าเลย ไปๆ มาๆ จะเสียเวลาไม่น้อย” “เอ่อ…” หยุนเจิงรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย “ลูกขอส่งเสด็จพ่อออกจากด่านเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” เขายังต้องไปที่ค่ายใหญ่บนเขาห่านป่าหวนกลับอีกครั้ง หากออกเดินทางจากชายแดนชิงจะช่วยประหยัดเวลาไปไม่น้อย ทว่าหากจักรพรรดิเหวินจะเสด็จจากไป แล้วเขาไม่ส่งเสด็จ ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องสมควร “ไม่ต้องแล้ว!” จักรพรรดิเหวินทรงปฏิเสธทันที “อย่างไรเสียเจ้าก็ยังต้องพาเจียเหยาไปที่ฟู่โจวอยู่ดี! เรื่องในมือเจ้าก็ยังมีอีกมากมาย อย่าเสียเวลาเลย เรื่องบ้านเมืองสำคัญกว่า!” เป็นเช่นนี้หรือ? หยุนเจิงลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ลูกขอส่งเสด็จพ่อไปถึงชายแดนกู้เถิดพ่ะย่ะค่ะ!” “ก็ได้!” จักรพ