ทหารยามนำกุญแจออกมาเปิดประตูห้องคลังอย่างรวดเร็วหยุนเจิงสั่งอีกครั้ง “ไปเรียกฮูหยินจื่อมาหน่อย”ทหารยามไปทำตามคำสั่งทันที“เจ้าเรียกคนมาด้วยเหตุใด?”เจียเหยามองหยุนเจิงด้วยความสงสัย“เจ้าโง่หรือ?”หยุนเจิงกรอกตาบนใส่นาง “ข้าเป็นท่านอ๋อง มีหรือจะเวลามาใส่ใจว่าโสมคนวางไว้ตำแหน่งใดในห้องคลัง? เจ้าเฝ้าอยู่ตรงหน้า ข้าอยากเล่นตุกติกกับโสมคน ก็ต้องมีโอกาสด้วยใช่หรือไม่?”เจียเหยาชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ไร้คำจะพูดจริงด้วย!เขาเป็นท่านอ๋อง หากทั้งวันเอาแต่สนใจเรื่องไร้อย่างห้องคลัง เช่นนั้นก็มีปัญหาจริงแล้วเมื่อคิดเช่นนี้ เจียเหยาไม่กังวลอีกต่อไปไม่นาน เยี่ยจื่อรีบเข้ามา“องค์ชาย พวกท่านต้องการทำสิ่งใด?”เยี่ยจื่อถามอย่างไม่เข้าใจหยุนเจิงยักไหล่กล่าว “ข้าเจรจาการค้ากับนาง เจ้าไปนำโสมคนสองหัวมาให้นาง”“ข้าไปเอาเอง!”ไม่ทันรอให้เยี่ยจื่อเอ่ยปาก เจียแหยาชิงพูดก่อน“ได้ ได้!”หยุนเจิงมองเจียเหยาด้วยสายตารำคาญ “ระหว่างคนด้วยกัน ความเชื่อใจพื้นฐานที่สุดก็ยังไม่มี!”เจียเหยาเบ้ปาก คร้านจะสนใจเขาสำหรับหยุนเจิงที่หูตาเยอะยิ่งกว่ารังผึ้ง ต้องป้องกันเอาไว้ทุกทาง!ภายใต้การนำทางขอ
ต่อมา หยุนเจิงและเจียเหยาเริ่มสงครามยื้อแย้งกันเป็นเวลานานเจียเหยาต้องการโสมคนชิ้นใหญ่สองรากนั่นหยุนเจิงแม้อยากจะยกให้นางมาก ทว่ากลับไม่อาจยกให้นางได้อย่างง่ายดายคนเช่นนี้ สิ่งที่ตนเองเปลืองแรงเปลืองความคิดเพื่อได้มา ไม่มีทางไปคิดสงสัยแต่หากเป็นของที่คนอื่นมอบให้ เจ้าก็จะสังสัยว่าผู้นั้นมีเจตนาอื่น ไม่เช่นนั้นก็สงสัยว่าเป็นของปลอมเมื่อเห็นว่าใกล้ได้ที่แล้ว หยุนเจิงรีบแอบส่งสายตาให้เยี่ยจื่อ เป็นสัญญาณให้เยี่ยจื่อเกลี่ยกล่อมเขาในใจเยี่อจื่อแอบด่าไอสารเลว จากนั้นก็แสร้งทำเข้าไปดึงหยุนเจิงไปด้านข้าง จากนั้นก็กระซิบเกลี่ยกล่อมลังเลอยู่นานสองนาน หยุนเจิงหันกลับไปมองเจียงเหยา “ในมือของพวกเจ้ามีเชลยศึกของต้าเฉียนข้าเท่าใด?”“หนึ่งพันแปดร้อยกว่าคน”เจียเหยาตอบหนึ่งพันแปดร้อยกว่าคนหรือ?เชลยศึกเป่ยหวนในมือของเขามีไม่น้อยเช่นกันรวมกันแล้วก็ยังไม่ถึงสองพันคนต่อให้รวมกับเชลยศึกจำนวนน้อยที่ป้อมเมืองสุยหนิง คาดว่ามีเพียงสองพันคนเท่านั้นตอนนี้เจียเหยาเสนอราคาม้าศึกห้าตัวแลกกับเชลยศึกที่เกินมาหนึ่งคนแล้วคำนวณดูแล้ว สามารถแลกม้าศึกมาได้ไม่ถึงหนึ่งพันตัวด้วยซ้ำ“เชลยศึกในมือข
“ข้าด้วย!”เมี่ยวอินพยักหน้าเบาๆ ถอนหายใจเงียบในใจเจียเหยานับว่าเป็นสตรีที่สุดยอดคนหนึ่งไม่พูดถึงอย่างอื่น แค่ความกล้าหาญของนางก็ทำให้คนนับถือแล้วหากนางไม่ได้เป็นองค์หญิงของเป่ยหวน นางเองก็หวังจะได้เป็นเพื่อกับสตรีที่สุดยอดเช่นนี้“ข้าเองก็นับถือนาง แต่นั่นก็ไม่ได้ขัดขวางที่ข้าอยากฆ่านาง”หยุนเจิงยักไหล่ “หากให้โอกาสนาง นางเองก็คิดจะฆ่าข้าเช่นกัน!”นับถือก็ส่วนนับถือ แต่ตำแหน่งก็คือตำแหน่งฐานะของเขาและเจียเหยา กำหนดให้พวกเขาเป็นศัตรูกันความเมตตาต่อศัตรู ก็คือความโหดร้ายต่อตนเอง!“ไร้สาระ!”เมี่ยวอินกรอกตาบนใส่นาง “อย่างเจ้า นางไม่คิดอยากฆ่าก็แปลกแล้ว!”เยี่ยจื่อหัวเราะสดใส พยักหน้าเห็นด้วย……เช้าวันที่สอง เสิ่นลั่วเยี่ยนบัญชาการทหารม้าสองพันห้าร้อยคนด้วยตัวเอง ตามหยุนเจิงคุมขังเชลยศึกกลุ่มหนึ่งไปที่ป้อมเมืองสุยหนิงเขาไม่ได้ส่งคนไปแจ้งกับเว่ยเหวินจง คิดจะรอให้ถึงป้อมเมืองสุยหนิงแล้วค่อยส่งคนไปแจ้งเรื่องนี้ เช่นไรก็ต้องบอกกับเว่ยเหวินจงพวกเขาไม่สามารถทำได้เพียงเงียบๆ!มิฉะนั้น จะกระทบกระเทือนบารมีเว่ยเหวินจงได้เช่นไร?นอกจากนี้ หากต้องส่งทหารเพื่อคุมสามเมือง
เผชิญกับคำถามวิจารณ์ของหยุนเจิง สีหน้าของเว่ยเหวินจงบึ้งตึงขึ้นมาทันที“ข้าไม่ได้บอกว่าไม่แลก!”เว่ยเหวินจงเสียงดังขึ้น ตะคอกเสียงเฉียบ “พวกเราต้องแลก แต่ก็ต้องใส่ใจกับกลยุทธ์ด้วย! ไม่อาจหลับหูหลับตาไปแลกได้! หากพวกเราหลงกลแผนการของเป่ยหวน ใครจะรับผิดชอบ!”“ข้ารับผิดชอบ!”หยุนเจิงขึ้นเสียงเช่นกัน “ข้าส่งคนไปบอกเจ้าแล้ว วันนี้นับว่าเป็นวันสุดท้ายแล้ว! หากพรุ่งนี้พวกเราไม่แลกเปลี่ยนกับเป่ยหวน หากเป่ยหวนเปลี่ยนใจ ก็ไม่นำสามเมืองชายแดนมาแลกได้แล้ว! เจ้า ข้าและทุกคนที่อยู่ที่นี่ ล้วนเป็นคนบาปของต้าเฉียนเรา! พวกเราทุกคน จะถูกสลักชื่อไว้บนเสาอันน่าอับอายของประวัติศาสตร์!” หยุนเจิงแทบคำรามด้วยพลังทั้งหมดที่มีทุกคำที่เขากล่าว เข้าสู่โสตประสาทของทุกคนอย่างชัดเจนเมื่อได้ฟังคำของหยุนเจิง คนไม่น้อยพยักหน้าตามนี่เป็นโอกาสดีที่สุดในการนำดินแดนที่เสียไปกลับมา!และเป็นความที่เป่ยหวนอาจมีแผนการแต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ พวกเขาก็จำเป็นต้องลอง!หากพวกเขาพลาดโอกาสครั้งนี้ไป เมื่อพวกเขาลงไปถึงปรโลก ก็ไม่อาจสู้หน้ากับบรรพบุรษได้“ท่านอ๋องช่างมีคุณธรรมและน่าเกรงขาม!”เว่ยเหวินจงกล่าวด้วยสีหน้าบึ้ง
“พวกเขา...บังอาจ!”เว่ยเหวินจงตัวสั่นไปทั้งตัว กำหมดไว้แน่นต่อต้าน!แต่ละคนล้วนต่อต้าน!เขาเคยบอกว่าจะไม่นำดินแดนที่เสียไปกลับมาหรือ?เขาแค่เตือนให้พวกเขาระวังหน่อย ก็แค่กังวลแผนการของเป่ยหวน พวกเขาก็บังอาจกับเขาถึงเพียงนี้แล้ว?ในสายตาพวกเขา ยังมีกฎทหารอยู่หรือไม่?ยังเห็นเขาเป็นแม่ทัพใหญ่ของเจิ้งเป่ยหรือไม่?”“พอแล้ว พอแล้ว ทุกคนใจเย็นก่อนเถอะ!”ตู๋กูเช่อรีบออกมาไกล่เกลี่ย “ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกครึ่งวันไม่ใช่หรือ? พวกเรามาสรุปกันก่อนค่อยว่ากัน! แลกเปลี่ยนเช่นไรก็ต้องแลก แต่เรื่องต้องระวัง นั่นก็ไม่ผิด!”บอกตามตรง ตู๋กูเช่อเองก็ไม่คิดว่าเว่ยเหวินจงทำสิ่งใดผิดกลับกัน ความระมัดระวังของเว่ยเหวินจงเป็นสิ่งสมควรหากเป็นเขา เขาก็ต้องระวังเช่นกันเขาคิดว่า คนมากมายถูกหยุนเจิงและฉินชีหู่ทำให้เข้าใจผิดแล้วเว่ยเหวินจงไม่ได้บอกว่าจะไม่แลกเปลี่ยนดินแดนกับเป่ยหวน เพียงแค่บอกว่าต้องระวังแต่หยุนเจิงและฉินชีหู่กล่าวเช่นนั้น ทำอย่างกับเว่ยเหวินจงจะขัดขวางเรื่องนี้เหล่าคนสะเพร่าที่ด่าเว่ยเหวินจงตามน้ำเหล่านี้ก็ไม่คิดบ้าง เว่ยเหวินจงกล้าที่จะขัดขวางเรื่องนี้หรือ?เห้อนี่คือผลจากก
เผชิญหน้ากับคำถามของเว่ยเหวินจง หยุนเจิงไม่มากความ กล่าวแผนการแลกเปลี่ยนที่เขากับเจียเหยาออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อแสดงถึงความจริงงใจ เป่ยหวนสามารถคืนชายแดนเมืองกู้กลับมาก่อนได้ทันทีที่กองทัพต้าเฉียนเข้าสู่ชายแดนเมืองกู้ ต้าเฉียนจำเป็นต้องปล่อยตัวเจียเหยาส่วนการแลกเปลี่ยนเชลยศึก ตอนนี้ด้านนอกชายแดนเมืองกู้ได้ดำเนินการแล้วเมื่อได้งฟังแผนการแลกเปลี่ยนของหยุนเจิง หัวคิ้วของเว่ยเหวินจงขมวดขึ้นมาทันที “หากพวกเราปล่อยองค์หญิงของพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่ยอมถอยออกจากชายแดนชิงและชายแดนเว่ยล่ะ?”“ทันทีที่พวกเขาเข้าสู้ชายแดนกู้ เป่ยหวนไม่มีทางไม่ถอย” หยุนเจิงกล่าวเรียบๆ “ใจกลางของสามเมืองชายแดนคือเมืองกู้ ขอแค่กองทัพของพวกเขาเข้าสู่เมืองกู้ นั่นก็เท่ากับได้ยึดสันแนวดอนเป่ยหยวนแล้ว หากเป่ยหวนคิดจะครองเมืองชิงและเมืองเว่ยเปลืองทรัพยากรณ์กับพวกเราต่อไป มีแต่ส่งผลเสียไม่มีผลดีต่อพวกเขา!” เมืองกู้ ถูกเรียกว่าลำคอขอแค่ครอบครองเมืองกู้ได้ เมืองชิงและเมืองเว่ยก็จะไร้ความหมายในการป้องกันเป่ยหวนไม่ได้โง่ถึงขนาดรวบรวมกองทัพแย่งเมืองกู้กลับมาหรอกกระมัง?ตอนนี้กองทัพสามหมื่นคนที่ประจำการอยู่ที่สันดอนเป
ผู้นำก็คือรองผู้บัญชาการราชองครักษ์หานจิ้นหานจิ้นกวาดตามองทุกคน พบหยุนเจิงที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กล่าวเสียงสูง “หยุนเจิง เว่ยเหวินจง รับราชโองการ”หยุนเจิงและเว่ยเหวินจงก้าวออกมาข้างหน้า“ฝ่าบาทมีราชโองการ แม่ทัพใหญ่เจิ้นเป่ยเว่ยเหวินจงสนับสนุนจิ้งเป่ยอ๋องจัดการแปลกเปลี่ยนสามเมืองชายแดน...”สิ้นเสียงของหานจิ้น สีหน้าคนจำนวนไม่น้อยแสดงออกความดีใตให้เว่ยเหวินจงสนับสนุนหยุนเจิงจัดการเรื่องนี้ นั่นก็หมายความว่า ต้องหารให้หยุนเจิงเป็นคนตัดสินหลัก!ก่อนที่จะทำการแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น แม้แต่เว่ยเหวินจงก็ต้องฟังคำสั่งหยุนเจิง!ดีเลย!ดีมาก!คราวนี้ไม่ติ้งกังวลความห่วงหน้าพะวงหลังของเว่ยเหวินจงจะทำให้พลาดโอกาสดีที่จะนำดินแดนสามเมืองชายแดนกลับมาแล้ว!เว่ยเหวินจงก้มหน้าต่ำ สีหน้าดูยากที่สุดให้เขาสนับสนุนหยุนเจิงจัดการเรื่องนี้?นี่ไม่ใช่การตบหน้าเขาเว่ยเหวินจงหรือ?ความหมายคือ แม้แต่จักรพรรดิเหวินก็คือดว่าเขาจะห่วงหน้าพะวงหลัง ทำให้พลาดโอกาสนำดินแดนสามเมืองชายแดนกลับมา?เขาก็แค่ก่อนทำสงครามระมัดระวังมากเกินไปหน่อยไม่ใช่หรือ?ฝ่าบาทล้วนคิดว่าเขาขี้ขลาด?เว่ยเห
“ฮ่าๆ น้องชายเมื่อกี้เจ้าไม่เห็น ตอนที่ไอเลวเว่ยเหวินจงฟังราชโองการ ทำเหมือนสติหลุดไปเลย!”“ไอเลวนี่อาศัยที่ตัวเองเป็นแม่ทัพใหญ่เจิ้นเป่ยสุนัขนั่น เผด็จการ คราวนี้ต้องยอมรับความพ่ายแพ้แล้วกระมัง?”“ข้าว่า เจ้าควรฉวยโอกาสนี้ มอบรางวัลโบยเขาสักสิบไม้ ทำลายบารมีของเขา...”ตอนออกมา ฉินชีหู่เรียกว่ามีความสุขมากหากคนไม่รู้ คงคิดว่าคนผู้นี้เก็บสมบัติมาได้!“อย่าพูดเลย พี่ใหญ่ฉินช่างสังเกตไม่เลว”หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง “แต่ว่า พวกเราไม่สามารถมอบรางวัลโบยสิบไม้กับเว่ยเหวินจงโดยไร้เหตุผลได้! มิฉะนั้น เสด็จพ่อจะปล่อยข้าไปก็แปลกแล้ว!”“มันก็จริง!”ฉินชีหู่ลูบคาง จากนั้นก็แสยะยิ้มกล่าว “ไม่มีโอกาสพวกเราก็หาโอกาส! กลับไปพวกเราหาวิธียั่วยุเจ้าเลวนั่น ขอแค่เจ้าเลวนั่นกล้าต่อปากต่อคำกับเจ้า เจ้าก็มอบรางวัลโบยเขาสิบไม้! ดูว่าต่อไปเจ้าเลวนั่นยังกล้าหาเรื่องเจ้าหรือไม่!”เมื่อได้ฟังคำของฉินชีหู่ หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะแอบยิ้มไม่กล้า?ไม่กล้าก็แปลกแล้ว!หากมอบรางวัลโบยสิบไม้กับเว่ยเหวินจงจริง เกรงว่าเว่ยเหวินจงคงแตกหักกับเขาแล้วทว่า จากสถาณการณ์ตรงหน้า เขาไม่กลัวแตกหักกับเว่ยเหวินจงแล้วเว่
หยุนเจิงกลับมาจากโรงงานผลิตอาวุธ เพียงแค่เดินมาถึงหน้าจวนอ๋อง ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกวุ่นวายดังมาจากในจวน พอเข้าไปในจวนตามคาด เขาเห็นเหล่าเด็กซนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในลานหน้า ลูกชายสองคนกับลูกสาวหนึ่งคนของฉินชีหู่ รวมถึงลูกชายของอดีตรัชทายาท มาที่จวน และกำลังเล่นปาหิมะกับเสิ่นเนี่ยนฉือและฉีเหยียน เด็กๆ เหล่านั้นต่างสวมเสื้อผ้าหนาเตอะเหมือนหมี แม้จะล้มลงบนพื้นหิมะก็ไม่รู้สึกเจ็บ “คารวะฝ่าบาท!” เมื่อเห็นหยุนเจิงกลับมา อาจารย์ที่คอยดูแลเด็กๆ รีบเข้ามาคารวะ “พอเถอะ ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอยู่ในจวนไม่ต้องเคร่งขนาดนั้น” หยุนเจิงโบกมือพลางถามว่า “พี่สะใภ้ตระกูลฉินมาที่นี่แล้วหรือ?” “เจ้าค่ะ” ซินเซิงยิ้มบางๆ ขณะช่วยปัดหิมะออกจากเสื้อหยุนเจิง พลางตอบว่า “ช่วงบ่ายฮูหยินฉินก็มากับเด็กๆ ตอนนี้คงเล่นไพ่นกกระจอกกับเหล่าพระชายาอยู่” หยุนเจิงว่า “เช่นนั้นข้าไปดูสักหน่อย เจ้าเฝ้าเด็กๆ ไว้ อย่าให้พวกเขาเล่นจนเหงื่อออกมากนัก” “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” ซินเซิงพยักหน้าเบาๆ หยุนเจิงมองดูเด็กซนที่กำลังเล่นอย่างบ้าคลั่ง และครุ่นคิดในใจว่าจะให้พวกเขาทำ “การบ้านช่วงปิดเทอม
ตลอดสองวันที่ผ่านมา เจียเหยาเจรจากับกุ่ยฟางอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าข้อเสนอจากกุ่ยฟางจะเกินกว่าเงื่อนไขขั้นต่ำที่เจียเหยากำหนดไว้ในใจแล้ว แต่นางยังไม่พอใจ นางต้องการต่อรองเพื่อให้ได้ทรัพยากรมากขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่า จุดที่ยังคงเจรจากันไม่ลงตัวอยู่ที่ค่าชดเชยจากสงครามและจำนวนบรรณาการ กุ่ยฟางแสดงเจตนาอย่างชัดเจน หากต้องการค่าชดเชยเพิ่ม จำนวนบรรณาการจะต้องลดลง แต่ในเรื่องจำนวนบรรณาการ เจียเหยาไม่ยอมอ่อนข้อเลย ในที่สุด กุ่ยฟางจำต้องยอมรับข้อกำหนดของเจียเหยาในการถวายบรรณาการตามจำนวนที่นางระบุ ส่วนค่าชดเชยที่กุ่ยฟางสามารถมอบให้ได้ เมื่อคำนวณแล้วอยู่ที่ประมาณร้อยละสี่สิบห้าของข้อเรียกร้องเริ่มต้นของเจียเหยา ผลลัพธ์นี้แม้ไม่ใช่สิ่งที่นางคาดหวังไว้ แต่ก็ดีกว่าที่เจียเหยาประเมินไว้ไม่น้อย เมื่อการเจรจาสิ้นสุด เจียเหยาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ ด้วยทรัพยากรเหล่านี้ ประชาชนแห่งเป่ยหวนจะผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไม่ลำบากนัก “องค์หญิง เหตุใดท่านจึงไม่ยอมอ่อนข้อในเรื่องบรรณาการ?” เกออาซูถามด้วยความไม่เข้าใจ “หากเรายอมลดเงื่อนไขเรื่องบรรณาการ เราก็จะได้สิ่งอื่นเพ
ทว่า สำหรับเจียเหยาในตอนนี้ นี่อาจไม่ใช่เรื่องดีนัก เมื่อผู้ที่เข้าร่วมเจรจาจากกุ่ยฟางมีหลายคน ความเห็นของพวกเขาอาจไม่ตรงกัน การดึงกลยุทธ์นี้อาจทำให้เสียเวลาเพิ่มขึ้น เจียเหยารู้สึกกังวลในใจ แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย “ท่านทูตเชิญนั่งก่อน ข้ามีเรื่องสำคัญต้องจัดการเสียก่อน!” กล่าวจบ เจียเหยาก็ก้มหน้าก้มตาเขียนจดหมายต่อ แต่ความคิดของเจียเหยาในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่จดหมายอีกแล้ว นางดูเหมือนกำลังเขียนจดหมาย แต่แท้จริงแล้วกำลังกดดันอาเคอถูและคณะ นางรู้ว่าชื่อเหยียนต้องมอบอำนาจในการเจรจาบางส่วนให้แก่อาเคอถูและคณะ สิ่งที่นางต้องทำคือการกดดันคณะทูตกุ่ยฟางเพื่อให้ได้ผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น การกระทำของเจียเหยาส่งผลอย่างชัดเจน เมื่อเห็นว่าเจียเหยาดูเหมือนไม่ได้รีบร้อนเจรจาเลย สมาชิกในคณะทูตกุ่ยฟางก็เริ่มมองตากันไปมา สุดท้าย สายตาของทุกคนต่างหันไปที่มู่ลี่จวี เห็นได้ชัดว่ามู่ลี่จวีเป็นผู้คุมการเจรจาครั้งนี้ มู่ลี่จวีรู้สึกโกรธกับความเย็นชาของเจียเหยา แต่เขารู้ดีว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์แสดงความไม่พอใจต่อหน้านาง ชื่อเหยียนมอบอำนาจให้เขาตัดสินใจในบางเรื่องได้จริง แต่ใ
เจียเหยาตัดสินใจหยุดการเคลื่อนทัพต่อ กองทหารของพวกนางถูกส่งออกไปกวาดต้อนทรัพยากร ดินแดนที่พวกนางเข้ายึดครองในตอนนี้เกินกว่าห้าร้อยลี้ไปนานแล้ว แต่เจียเหยาตั้งใจเพียงให้ทัวฮวนและกองทหารยึดครองดินแดนของกุ่ยฟางเพียงสามร้อยลี้ตามเงื่อนไขขั้นต่ำของหยุนเจิงเท่านั้น การยึดครองดินแดนมากกว่านี้ ไม่เพียงเพื่อกวาดต้อนทรัพยากรและกดดันชื่อเหยียน แต่ยังเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในเจรจา ท้ายที่สุด หากนางยอมคืนดินแดนบางส่วนให้ชื่อเหยียน ชื่อเหยียนก็จะไม่สามารถเรียกร้องเงื่อนไขอื่นได้อย่างเข้มงวดนัก ดังที่เจียเหยากล่าวไว้ นางกับหยุนเจิงเป็นคนประเภทเดียวกัน และในตอนนี้ ชื่อเหยียนก็ดูคล้ายกับสถานการณ์ของนางเมื่อก่อนที่ถูกหยุนเจิงกดดันจนถึงทางตัน เพราะเหตุนี้ เจียเหยาจึงเข้าใจจิตใจของชื่อเหยียนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจียเหยาเคยคิดอยากเป็นผู้พิฆาตมังกร แต่สุดท้ายนางกลับกลายเป็นมังกรร้ายเสียเอง สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เจียเหยาจะได้รับคำตอบจากชื่อเหยียน นางกลับได้รับข่าวจากหยุนเจิงผ่านเหยี่ยวขาว “รีบกลับมา ก่อนสิ้นปีมาพบข้าที่ติ้งเป่ย” ข้อความจากหยุนเจิงสั้นมาก เมื่
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง!” เจียเหยากล่าวพลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กุ่ยฟางต้องยอมสวามิภักดิ์และถวายบรรณาการอย่างแน่นอน แต่จำนวนบรรณาการต้องเพิ่มขึ้นอีกร้อยละห้าสิบพร้อมกันนี้ กุ่ยฟางต้องเปิดการค้าเสรีกับต้าเฉียนและเป่ยหวน นอกจากนี้ กุ่ยฟางต้องชดเชยความเสียหายที่เป่ยหวนและต้าเฉียนได้รับจากศึกครั้งนี้ โดยจ่ายชดเชยเป็นทองคำ 100,000 ตำลึง แกะ 100,000 ตัว วัว 30,000 ตัว ม้า 10,000 ตัว และเสบียงอาหาร 4 ล้านตัน และเพื่อเป็นการตอบแทน เจียเหยาจะไม่เรียกร้องให้กุ่ยฟางยกดินแดน 500 ลี้ แต่ลดลงเหลือเพียง 300 ลี้เท่านั้น! ส่วนข้อที่ให้กุ่ยฟางถวายหญิงงาม 100 คนแก่ต้าเฉียนนั้น เจียเหยาได้ยกเว้นให้โดยตรง สำหรับเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆ เจียเหยาก็ยอมรับตามที่กุ่ยฟางเสนอมา เมื่อได้ยินเงื่อนไขของเจียเหยา อาเคอถูรู้สึกราวกับสมองของตนกำลังอื้ออึง การเพิ่มบรรณาการขึ้นร้อยละห้าสิบยังพอว่า แต่เจียเหยากลับเรียกร้องให้กุ่ยฟางจ่ายค่าชดเชยจำนวนมหาศาลในคราวเดียว? อย่าว่าแต่ปศุสัตว์และเสบียงเลย เพียงแค่ทองคำ 100,000 ตำลึง กุ่ยฟางก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว ทองคำ 100,000 ตำลึง
กุ่ยฟางแม้ว่าขณะนี้ดินแดนกุ่ยฟางจะเต็มไปด้วยหิมะที่ปกคลุมไปทั่ว แต่เจียเหยาก็ยังไม่หยุดการเคลื่อนทัพ ด้วยผลจากสิ่งที่พวกเขายึดได้ระหว่างทาง กองทัพของพวกเขาจึงไม่มีใครต้องทนหนาว ทว่าความหนาวเย็นของอากาศยังคงสร้างความลำบากไม่น้อยให้กับพวกเขา ทัวฮวนและจู่หลู่ได้เสนอให้เจียเหยารับคำขอเจรจาของชื่อเหยียนหลายครั้ง แต่เจียเหยาก็ไม่ได้สนใจในตอนนี้ กองทัพของพวกเขาอยู่ห่างจากเมืองหลวงของกุ่ยฟางไม่ถึงหนึ่งร้อยลี้แล้ว! เมื่อเผชิญกับกองทัพที่ประชิดเข้ามา ชื่อเหยียนจึงส่งคนมาเจรจาขอสงบศึกอีกครั้ง ครั้งนี้ เจียเหยาไม่ได้ขับไล่คนที่ชื่อเหยียนส่งมาอีก เจียเหยาได้พบกับอาเคอถูในกระโจมใหญ่ เมื่ออาเคอถูถูกนำตัวเข้ามา เจียเหยากำลังใช้มีดเล็กๆ ตัดเนื้อแกะชิ้นร้อนๆ จากขาแกะส่งเข้าปาก ข้างกายของนาง เกออาซูยืนอยู่พร้อมถือดาบในมือ อาเคอถูไม่ทราบว่าเนื้อแกะนั้นอร่อยเพียงใด แต่เจียเหยากลับดูเหมือนกำลังเพลิดเพลินอย่างมาก “ข้าน้อยคารวะองค์หญิงเจียเหยา!” อาเคอถูคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อถวายคำนับเจียเหยา เจียเหยาช้อนตามองเล็กน้อย มองอาเคอถูอย่างเรียบเฉย “เจ้าควรเรียกข้าว่า ‘องค์หญิ
ฤดูหนาวอันยาวนาน พวกเขามีสิ่งที่ต้องเตรียมการมากมาย หยุนเจิงเดินหาอยู่ในค่ายอยู่นาน จึงเจอฉินชีหู่ในโรงตีเหล็กของค่าย เมื่อเห็นหยุนเจิง ฉินชีหู่ก็รีบถือกระบองหนามที่เขาสั่งการตีด้วยตัวเองเข้ามาหา พลางกล่าวด้วยความภูมิใจ “น้องชาย เจ้าช่างมาถูกเวลา! มาดูอาวุธใหม่ของข้าหน่อยสิ!” “ข้าดูซิ” หยุนเจิงรับกระบองหนามมาจากมือของฉินชีหู่ เพียงแค่จับก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักมหาศาล แม้หยุนเจิงจะฝึกฝนร่างกายร่วมกับเมี่ยวอินมานาน แต่เมื่อถือกระบองหนามนี้ไว้ในมือก็ยังรู้สึกว่าหนักเกินกำลังเล็กน้อย “นี่คงหนักเจ็ดสิบจินได้กระมัง?” หยุนเจิงมองฉินชีหู่ด้วยความตกตะลึง “เจ็ดสิบแปดจิน!” ฉินชีหู่หัวเราะพลางกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “นี่คืออาวุธที่หนักที่สุดในกองทัพแน่นอน!” ตอนนี้ฉินชีหู่หลงใหลในกระบองหนามชนิดนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดาบใหญ่หรือหอกยาว เมื่อเจอกระบองหนามของเขา ก็ต้องยอมแพ้ทั้งนั้น เพียงแค่ฟาดลงไปครั้งเดียว เกราะใดก็ป้องกันไม่ได้! เรียกได้ว่าเทพมาขวางก็กำจัดเทพ พระมาขวางก็กำจัดพระ!” “เจ้ามันแน่!” หยุนเจิงกล่าวเหน็บแนมพลางคืนกระบองหนามให้ฉินชีหู่ “ช่ว
เรื่องการอภิเษกสมรสกับเจียเหยา หยุนเจิงไม่ได้ให้ความสำคัญนัก พลังงานทั้งหมดของเขาทุ่มเทไปกับการเตรียมการกองทัพใหม่ สำหรับกองทัพกุยอี้ หยุนเจิงยังคงยึดหลักการเดิม คือ ในหนึ่งกองทัพต้องประกอบด้วยคนจากหลายแคว้น เพื่อให้พวกเขาตรวจสอบกันเองและป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้น กองทัพกุยอี้สี่หมื่นนาย ถูกขยายมาจากกองกำลังหนึ่งหมื่นกว่าคนของฟู่เทียนเหยียนและพรรคพวก ผู้ที่สร้างผลงานจากศึกก่อนหน้านี้จะถูกแต่งตั้งให้เป็นนายทหารระดับกลางและล่าง ฟู่เทียนเหยียน ฮั่วกู้ จั่วเหริน และเกาเหอ ต่างก็นำกองกำลังหนึ่งหมื่นนาย ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมของพวกเขาในศึกก่อนหน้า หยุนเจิงจึงจัดสรรม้าให้กองทัพกุยอี้หนึ่งหมื่นตัว และจัดตั้งกองทหารม้าห้าพันนาย ซึ่งสังกัดในกองกำลังของฟู่เทียนเหยียน หลังจากจัดการเรื่องกองทัพใหม่เรียบร้อย หยุนเจิงจึงพาคนไปเคารพหลุมศพของตู้กุยหยวน ระหว่างทางกลับ หยุนเจิงครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอนาคต เมื่อการเตรียมการเบื้องต้นเสร็จสิ้น กองทัพกุยอี้ทั้งสี่หมื่นนายจะต้องแยกกันไปฝึก ส่วนกองทัพประจำการใหม่สองหมื่นนาย เรื่องนี้ค่อนข้างง่าย กองกำลังสองหมื่นนี้เดิมทีเป็
หากมิใช่เพราะจักรพรรดิเหวินทรงเตือน เขาคงมิได้คำนึงถึงปัญหานี้เลย “พอแล้ว!” จักรพรรดิเหวินโบกพระหัตถ์ “ข้าจะออกเดินทางในไม่ช้า เจ้าอย่ามาติดตามข้าเลย ไปจัดการธุระของเจ้าเถิด!” “เสด็จพ่อจะเสด็จตอนนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” หยุนเจิงรู้สึกแปลกใจ“ข้าควรไปแล้ว! การปล่อยให้พี่สามของเจ้าติดอยู่ที่ฟู่โจวตลอดก็ไม่ดี” จักรพรรดิเหวินตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้าอย่ามาส่งข้าเลย ไปๆ มาๆ จะเสียเวลาไม่น้อย” “เอ่อ…” หยุนเจิงรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย “ลูกขอส่งเสด็จพ่อออกจากด่านเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” เขายังต้องไปที่ค่ายใหญ่บนเขาห่านป่าหวนกลับอีกครั้ง หากออกเดินทางจากชายแดนชิงจะช่วยประหยัดเวลาไปไม่น้อย ทว่าหากจักรพรรดิเหวินจะเสด็จจากไป แล้วเขาไม่ส่งเสด็จ ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องสมควร “ไม่ต้องแล้ว!” จักรพรรดิเหวินทรงปฏิเสธทันที “อย่างไรเสียเจ้าก็ยังต้องพาเจียเหยาไปที่ฟู่โจวอยู่ดี! เรื่องในมือเจ้าก็ยังมีอีกมากมาย อย่าเสียเวลาเลย เรื่องบ้านเมืองสำคัญกว่า!” เป็นเช่นนี้หรือ? หยุนเจิงลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ลูกขอส่งเสด็จพ่อไปถึงชายแดนกู้เถิดพ่ะย่ะค่ะ!” “ก็ได้!” จักรพ