เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่เจิ้นเป่ย กลายเป็นเป้าหมายแห่งความอัปยศอดสูเมื่อใด?ต่อให้หลายวันก่อนที่ทำสงครามเขาระมัดระวังมากเกินไป อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้นำความสูญเสียใหญ่มาให้ต้าเฉียน?เพราะเรื่องนี้ ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้?ตอนนี้ แม้แต่หยุนเจิงยังกล้าขี่ม้ามาตบหัวเขาแล้ว!เว่ยเหวินจงยิ่งคิดยิ่งโกรธแค้น ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกอึดอัดในใจเขารวมกับมีกองไฟสุมอยู่แต่ตอนนี้เขากลับไม่มีที่ให้ระบายเว่ยเหวินจงลุกขึ้นยืน เดินไปมาอยู่ภายในห้องไม่หยุด สีเต็มไปด้วยความขึงขังไม่ได้! จะเอาแต่นั่งรอความตายไม่ได้!หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ขวัญกำลังใจของกองทหารมณฑลทางเหนือต้องกลายเป็นของหยุนเจิงหมดแล้ว!เมื่อหยุนเจิงควบคุมกองทหารมณฑลทางเหนือได้ เขาเหลือแต่ทางไปตายเท่านั้น!ต่อให้หยุนเจิงไม่ฆ่าเขา ฝ่าบาทก็ไม่มีทางปล่อยเขาไป!จำเป็นต้องทำสิ่งใดสักอย่างแล้ว!จะดีมากหากทำให้หยุนเจิงตายในขณะปฏิบัติหน้าที่!อื้ม!แล้วก็ฉินชีหู่สารเลวนั่นด้วย!คนในกองทัพมากมายที่ไม่พอใจเขา ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับฉินชีหุ่!หนึ่งไม่ทำ สองไม่พัก!หยุนเจิงและฉินชีหู่ ล้วนต้องตายทั้งคู่!เมื่อมีความคิดเหล่านี้ ก็เหมือนถู
ความกังวลใจของหยุนเจิงเหมือนจะมากไปแล้วเว่ยเหวินจงไม่ได้ส่งคนลงมือกับเจียเหยาวันที่สอง ท้องฟ้าเพิ่งสว่าง กองทัพใหญ่ของพวกเขาออกเดินทางจากป้อมเมืองสุยหนิงครั้งนี้ ฉินชีหู่นำทหารม้าหนึ่งหมื่นเคลื่อนขบวน รอจนถึงทางสันดอกเป่ยหยวน บวกกับกองทัพประจำการสามหมื่นของสันดอนเป่ยหวน พร้อมด้วยคนและม้าสองพันคนที่หยุนเจิงพามา เดินทางเข้าสู่เมืองกู้พร้อมกันเมืองกู้เดิมเป็นคูเมืองที่ไม่ได้เข้มงวด เป็นเพียงป้อมปราการทางทหารเท่านั้นทหารสี่หมื่นคนเข้าสู้ชายแดนเมืองกู้ เพียงพอแล้วหลังจากได้รับการยืนยันแล้วว่าเป่ยหวนจะถอนทหารออกจากชายแดนเว่ยและชิง จากนั้นระดมพลจากด้านหลังไปรักษาการณ์ทั้งสองเมืองต้องขอบคุณที่พวกเขาล้วนเป็นทหารม้า พวกเขาเคลื่อนทัพอย่างรวดเร็วตอนบ่าย พวกเขาก็มาถึงสันดอนเป่ยหวนเวลานี้ กองทัพสามหมื่นที่ประจำการสันดอนเป่ยหวนถอยค่ายแล้ว สามารถตามพวกเขาข้ามสันดอนเป่ยได้ตลอดเวลาเว่ยซั่วได้ส่งคนไปสำรวจแล้ว กองทัพใหญ่เป่ยหวนถอนกำลังออกจากเมืองกู้แล้ว บริวเวณโดยรอบไม่มีทหารและม้าเป่ยหวนซุ่มตัวอยู่ทว่า เป่ยหวนเองก็ไม่ได้โง่ ไม่ได้เหลือเมืองกู้ที่สมบูรณ์ทิ้งไว้ให้พวกเขาเมืองกู้ตอนน
“ท่านแม่ทัพใหญ่!”เว่ยซั่วสีหน้าเปลี่ยนไป กัดฟัน “ข้าอยากเป็นพยานกับตาเช่นกัน...”“ไสหัวกลับไป!”เว่ยเหวินจงตัดบทเว่ยซั่วอย่างหยาบคาย จากนั้นก็คำราม “หากกล้าพูดมากอีก จะลงโทษฐานฝ่าฝืน!”เว่ยซั่วสะอึกเล็กน้อย กลืนคำพูดลงคอไปด้วยสีหน้าไม่เต็มใจเว่ยเหวินจงอ้างคำสั่งทหารแล้ว ต่อให้เว่ยซั่วไม่ยินยอม ก็ทำได้เพียงรับคำสั่งอย่างเชื่อฟังเว่ยซั่วจ้องหยุนเจิงและเว่ยเหวินจงด้วยสายตาโหดร้าย จากไปด้วยความโกรธเต็มอกเขาอยากเป็นพยานในการกอบกู้ดินแดนต้าเฉียนกลับมา!เรื่องนี้ ที่จริงแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีส่วนร่วมขอแค่แลกเปลี่ยนสามเมืองชายแดนกลับมาสำเร็จ ต่อให้พวกเขาไม่ทำสงครามกับเป่ยหวน จักรพรรดิดีใจ ทุกคนที่มีส่วนรวมในการกอบกู้ดินแดนอย่างน้อยก็ต้องได้รับรางวัลด้วยเว่ยเหวินจงขับไล่เขาไปตอนนี้ นั่นก็เป็นการตัดโอกาสได้รับรางวัลของเขาไม่ใช่หรือ?มองดูเว่ยซั่วจากไป หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะถากถางในใจหากไม่ใช่เว่ยเหวินจงไล่ไอเลวนี่ออกไปได้ทันเวลา เขาต้องหาโอกาสสั่งสอนเจ้าชั่วนี่สักรอบ“ท่านแม่ทัพใหญ่เว่ย สั่งให้กองทัพข้ามสันดอนเป่ยหยวนเถอะ!”หยุนเจิงออกคำสั่ง“ท่านอ๋องออกคำสั่งเถอะ!”
เสียงร้องตะโกนดังก้องภูเขาและทะเลดังต่อเนื่องในชั่วเวลาครึ่งก้านธูปแล้วค่อยๆ หยุดลงหยุนเจิงเรียกเว่ยเหวินจงและตู๋กูเช่อมา “สั่งให้กองทัพรีบตั้งค่ายพักแรม พรุ่งนี้ยังต้องแลกเปลี่ยนเชลยศึก ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาฉลอง!”“ใช่ๆ!”ตู๋กูเช่อตบหน้าผาก กล่าวด้วยความดีใจ “พวกท่านไปถ่ายทอดคำสั่ง ห้ามดีใจเกินไป!”“รอก่อน!”เว่ยเหวินจงเรียกตู๋กูเช่อเอาไว้ “พี่ตู๋กู วันนี้เมืองกู้ได้คืนกลับมาแล้ว ต่อไปเมืองเว่ยและเมืองชิงต้องส่งคนไปประจำการ ท่านและข้าต้องมีคนกลับไปติ้งเป่ย...”ต้องส่งกองทัพเข้าเมืองเว่ยและเมืองชิง ต้องปรับโยกย้ายคนจากที่อื่นก่อนปรับย้ายคนและม้าแล้ว แนวป้องกันด้านหลังต้องปรับกันใหม่เช่นกันรวมถึงเสบียงอาหารด้วย สั่งคนไปคุ้มกันส่งเสบียงมายังสามเมืองชายแดนแม้แต่สถานที่เก็บเสบียงอาหารยังต้องปรับเคลื่อนย้าย มิฉะนั้น แนวการจัดสรรด้านหลังก็จะยาวเกินไปเมื่อได้ฟังคำเว่ยเหวินจง ตู๋กูเช่ออดไม่ได้ที่จะพยักหน้า“ดูข้าสิ ดีใจมากเกินไปแล้ว ลืมเรื่องนี้หมดแล้ว”ตู๋กูเช่อตบหน้าผากตัวเองแล้วหัวเราะที่จริง กองทัพใหญ่เข้าสู่เมืองกู้เป็นเพียงก้าวแรกเรื่องข้างหลังยังมีมากมาย!ตู๋กูเช่อคร
อีกอย่าง จำเป็นต้องเสริมกำลังป้องกันไปในทิศทางของเทียนหู ป้องกันกองทัพเป่ยหวนข้ามแม่น้ำไป๋สุ่ยมาจู่โจม แล้วตอนนี้ซั่วฟางกลายเป็นสถานที่สำคัญในการป้องกันแล้วซั่วฟางวันนี้กลายเป็นตำแหน่งสำคัญปีกซ้ายของกองทหารมณฑลทางเหนือแต่ว่า พวกเว่ยเหวินจงยอมรับ ซั่วฟางมีทหารสองหมื่นคน บวกกับทหารชาวนาชราอ่อนแอเหล่านั้น แค่เฝ้าคุ้มกันซั่วฟางก็น่าจะเพียงพอแล้วด้วยเหตุนี้ จึงไม่ปรับย้ายกำลังจากซั่วฟาง แล้วก็ไม่ส่งกำลังทหารไปเพิ่มเช่นกันตอนที่กำลังสนทนากันเรื่องการจัดการซั่วฟาง เว่ยเหวินจงถามอีกครั้ง “ท่านอ๋อง ท่านเป็นแม่ทัพเฝ้าเมืองซั่วฟาง ท่านคิดว่าการจัดการเช่นนี้เป็นเช่นไร?”“ไม่มีปัญหา”หยุนเจิงพยักหน้าอย่างลวกๆตอนนี้พวกเว่ยเหวินจงยังไม่รู้ ทหารที่ทำศึกได้ของซั่วฟางความจริงมีสามหมื่นกว่าคนแล้วคนมากมายเฝ้ารักษาเมืองซั่วฟาง เพียงพอแล้ว!อีกทั้ง ตอนนี้ใกล้ฤดูใบไม้ผลิเข้ามาเรื่อยๆ แล้วชั้นน้ำแข็งของแม่น้ำไป๋สุ่ยเริ่มแยกตัวกันแล้วขอแค่ชั้นน้ำแข็งของแม่น้ำไป๋สุยบางลง คนและม้าไม่สามารถข้ามได้ ก็ไม่จำเป็นต้องคุ้มกันสถานที่สำคัญอย่างปากเขาเขี้ยวหมาป่าและหุบผาชันช่องลมแล้วเมื่อเห็นว่าหยุน
มีเรื่อง?หยุนเจิงมองเจียเหยาด้วยสายตาผิดปกติ“มีเรื่องใด?”เวลานี้แล้ว นางยังมีเรื่องใดเจรจากับเขา?เจียเหยา “พี่ใหญ่อู้เลี่ยของข้า เป็นองค์ชายใหญ่ของเป่ยหวน เขาตายที่หุบเขามรณะ”“จากนั้นเล่า?” หยุนเจิงถามด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าบอกข้าเรื่องนี้ด้วยเหตุใด? หรือว่า เจ้าต้องการตำหนิข้า อยากบอกว่าจะใช้ม้าฉีกร่างข้า แก้แค้นแทนพี่ใหญ่ของเจ้า?”ตายก็คือตาย!พี่ชายของนางตายแล้ว พ่อตาและท่านลุงของเขาก็ตายเช่นกัน!เขายังไม่คิดบัญชีนางเลย!หืม?รอเดี๋ยว!พ่อตากับท่านลุง?หยุนเจิงสะดุ้ง ทันใดนั้นก็เข้าใจว่าเหตุใดเสิ่นลั่วเยี่ยนจึงร้องไห้แล้วที่แท้ เสิ่นลั่วเหยาคงถามเจียเหยาว่าพวกพี่ชายและท่านพ่อตายในสนามรบเช่นไรนอกจากเรื่องนี้แล้ว ดูเหมือนไม่มีเรื่องใดทำให้เสิ่นลั่วเยียนร้องไห้ได้แล้วมิน่าเล่าเมี่ยวอินจึงส่งสัญญาณบอกให้เขาอย่าถาม!เห้อ!เดิมทีล้วนเป็นเรื่องที่ผ่านไปนานหลายปีแล้ว เหตุใดจึงต้องถามอีกเล่า?ถามแล้ว มีแต่เสียใจยิ่งกว่าเดิมไม่ใช่หรือ?“ข้าไม่ได้น่าเบื่อเช่นนั้น”เจียเหยากล่าวเรียบๆ “บอกตามตรง ความสัมพันธ์ของข้ากับพี่ใหญ่ร่วมบิดาต่างมารดาไม่นับว่าดีนัก เขาตายในหุบเ
เจียเหยาได้ฟัง ก็ยิ้มแห้งอย่างจนปัญญานางคิดจะส่งคนไปขุดทว่า เป็นไปไม่ค่อยได้เรื่องฟ้าลงทัณฑ์ แพร่กระจายอย่างกว้างขวางในเป่ยหวน พวกเขาส่งคนไปขุด ก็ไม่มีผู้ใดกล้าไปอีกทั้ง นางเองก็กลัวที่จะส่งคนเข้าไปขุดศพแล้วพบกับการจู่โจมของหยุนเจิงหากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ยอมเสียดีกว่านิ่งเงียบไปชั่วครู่ เจียเหยายิ้มแห้งกล่าว “เรื่องนี้ ไม่มีที่ให้เจรจาต่อรองแล้ว?”“ไม่มี!”คำตอบของหยุนเจิงหนักแน่นเด็ดขาด“ก็ได้!”เจียเหยาถอนหายใจอย่างจนปัญญา ไม่กล่าวสิ่งใดอีก“เจ้าพักผ่อนเถอะ!”หยุนเจิงเหลือบมองเจียเหยา จากนั้นก็มองเสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอิน “พวกเจ้าก็ควรกลับห้องได้แล้ว”ทั้งสองสาวพยักหน้า ลุกขึ้นยืนเงียบๆไม่นาน พวกเขาก็ออกจากห้องเจียเหยากลับห้องของตัวเองหยุนเจิงไม่รู้ควรปลอบเสิ่นลั่วเยี่ยนเช่นไร ทำได้เพียงกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ล้วนเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว อย่าเศร้าเลย ช้าเร็วข้าจะช่วยเจ้าจับประมุขเป่ยหวน มอบให้เจ้าลงโทษ...”“อื้ม! ข้าเชื่อเจ้า!”เสิ่นลั่วเยี่ยนพยักหน้าหนักๆ จากนั้นก็ช้อนดวงตาแดงกล่ำ “เจ้านำศพของอู้เลี่ยแลกเปลี่ยนกับเจียเหยาเถอะ ข้าไม่มีความเห็น แม้ข้าอยากแก้แค้
“น้องชาย องค์หญิงเป่ยหวนคงไม่ได้ถูกใจเจ้ากระมัง?”มองเจียเหยาจากไปไกล ฉินชีหู่อดไม่ได้ที่จะยื่นหน้ามาหาหยุนเจิง จากนั้นก็ด้วยสีหน้าใคร่รู้“นางถูกใจข้าจริง”หยุนเจิงยักไหล่ จากนั้นก็หัวเราะ “นางอยากจับข้าไปเป่ยหวน ทรมารข้าทุกวัน ให้ข้าร้องขอความตายมากกว่ามีชีวิต...”“ใครใช้ให้ท่านทำให้พวกเขาต้องทิ้งสามเมืองชายแดนเล่า?”ฉินชีหู่หัวเราะอย่างไร้ปราณี จากนั้นก็หัวหน้ามองเหล่าเชลยศึกที่เพิ่งส่งกลับมา และโตะโกนเสียงดัง “พวกเจ้าทุกคนโง่เขลาแล้วกระมั้ง? ยังไม่ขอบคุณท่านอ๋องที่แลกเปลี่ยนพวกเจ้ากลับมาอีก?”“ขอบพระทัยท่านอ๋อง!”ทุกคนเมื่อได้สติกลับมา ก็พากันโค้งคำนับของคุณหยุนเจิงในใจพวกเขารู้ดี หากหยุนเจิงไม่แลกเปลี่ยนพวกเขากลับมา พวกเขาทำได้เพียงเป็นวัวเป็นม้าเพื่อเป่ยหวนแล้ว“พอแล้ว พอแล้ว...”หยุนเจิงโบกมือกล่าว “กลับไปกินอะไรสักหน่อย ดูพวกเจ้าแต่ละคนสิ ผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกแล้ว”กล่าวจบ หยุนเจิงทักทายทุกคนก่อนจะถอยออกจากเมืองกู้“ท่านอ๋อง พวกเราจะเดินทัพเข้าชายแดนชิงและเว่ยได้เมื่อใด?”เวลานี้เอง ตู๋กูเช่อถามหยุนเจิงด้วยสีหน้าตื่นเต้น“รออีกสักสองวันเถอะ!”หยุนเจิงตอบ “ให
หยุนเจิงกลับมาจากโรงงานผลิตอาวุธ เพียงแค่เดินมาถึงหน้าจวนอ๋อง ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกวุ่นวายดังมาจากในจวน พอเข้าไปในจวนตามคาด เขาเห็นเหล่าเด็กซนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในลานหน้า ลูกชายสองคนกับลูกสาวหนึ่งคนของฉินชีหู่ รวมถึงลูกชายของอดีตรัชทายาท มาที่จวน และกำลังเล่นปาหิมะกับเสิ่นเนี่ยนฉือและฉีเหยียน เด็กๆ เหล่านั้นต่างสวมเสื้อผ้าหนาเตอะเหมือนหมี แม้จะล้มลงบนพื้นหิมะก็ไม่รู้สึกเจ็บ “คารวะฝ่าบาท!” เมื่อเห็นหยุนเจิงกลับมา อาจารย์ที่คอยดูแลเด็กๆ รีบเข้ามาคารวะ “พอเถอะ ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอยู่ในจวนไม่ต้องเคร่งขนาดนั้น” หยุนเจิงโบกมือพลางถามว่า “พี่สะใภ้ตระกูลฉินมาที่นี่แล้วหรือ?” “เจ้าค่ะ” ซินเซิงยิ้มบางๆ ขณะช่วยปัดหิมะออกจากเสื้อหยุนเจิง พลางตอบว่า “ช่วงบ่ายฮูหยินฉินก็มากับเด็กๆ ตอนนี้คงเล่นไพ่นกกระจอกกับเหล่าพระชายาอยู่” หยุนเจิงว่า “เช่นนั้นข้าไปดูสักหน่อย เจ้าเฝ้าเด็กๆ ไว้ อย่าให้พวกเขาเล่นจนเหงื่อออกมากนัก” “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” ซินเซิงพยักหน้าเบาๆ หยุนเจิงมองดูเด็กซนที่กำลังเล่นอย่างบ้าคลั่ง และครุ่นคิดในใจว่าจะให้พวกเขาทำ “การบ้านช่วงปิดเทอม
ตลอดสองวันที่ผ่านมา เจียเหยาเจรจากับกุ่ยฟางอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าข้อเสนอจากกุ่ยฟางจะเกินกว่าเงื่อนไขขั้นต่ำที่เจียเหยากำหนดไว้ในใจแล้ว แต่นางยังไม่พอใจ นางต้องการต่อรองเพื่อให้ได้ทรัพยากรมากขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่า จุดที่ยังคงเจรจากันไม่ลงตัวอยู่ที่ค่าชดเชยจากสงครามและจำนวนบรรณาการ กุ่ยฟางแสดงเจตนาอย่างชัดเจน หากต้องการค่าชดเชยเพิ่ม จำนวนบรรณาการจะต้องลดลง แต่ในเรื่องจำนวนบรรณาการ เจียเหยาไม่ยอมอ่อนข้อเลย ในที่สุด กุ่ยฟางจำต้องยอมรับข้อกำหนดของเจียเหยาในการถวายบรรณาการตามจำนวนที่นางระบุ ส่วนค่าชดเชยที่กุ่ยฟางสามารถมอบให้ได้ เมื่อคำนวณแล้วอยู่ที่ประมาณร้อยละสี่สิบห้าของข้อเรียกร้องเริ่มต้นของเจียเหยา ผลลัพธ์นี้แม้ไม่ใช่สิ่งที่นางคาดหวังไว้ แต่ก็ดีกว่าที่เจียเหยาประเมินไว้ไม่น้อย เมื่อการเจรจาสิ้นสุด เจียเหยาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ ด้วยทรัพยากรเหล่านี้ ประชาชนแห่งเป่ยหวนจะผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไม่ลำบากนัก “องค์หญิง เหตุใดท่านจึงไม่ยอมอ่อนข้อในเรื่องบรรณาการ?” เกออาซูถามด้วยความไม่เข้าใจ “หากเรายอมลดเงื่อนไขเรื่องบรรณาการ เราก็จะได้สิ่งอื่นเพ
ทว่า สำหรับเจียเหยาในตอนนี้ นี่อาจไม่ใช่เรื่องดีนัก เมื่อผู้ที่เข้าร่วมเจรจาจากกุ่ยฟางมีหลายคน ความเห็นของพวกเขาอาจไม่ตรงกัน การดึงกลยุทธ์นี้อาจทำให้เสียเวลาเพิ่มขึ้น เจียเหยารู้สึกกังวลในใจ แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย “ท่านทูตเชิญนั่งก่อน ข้ามีเรื่องสำคัญต้องจัดการเสียก่อน!” กล่าวจบ เจียเหยาก็ก้มหน้าก้มตาเขียนจดหมายต่อ แต่ความคิดของเจียเหยาในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่จดหมายอีกแล้ว นางดูเหมือนกำลังเขียนจดหมาย แต่แท้จริงแล้วกำลังกดดันอาเคอถูและคณะ นางรู้ว่าชื่อเหยียนต้องมอบอำนาจในการเจรจาบางส่วนให้แก่อาเคอถูและคณะ สิ่งที่นางต้องทำคือการกดดันคณะทูตกุ่ยฟางเพื่อให้ได้ผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น การกระทำของเจียเหยาส่งผลอย่างชัดเจน เมื่อเห็นว่าเจียเหยาดูเหมือนไม่ได้รีบร้อนเจรจาเลย สมาชิกในคณะทูตกุ่ยฟางก็เริ่มมองตากันไปมา สุดท้าย สายตาของทุกคนต่างหันไปที่มู่ลี่จวี เห็นได้ชัดว่ามู่ลี่จวีเป็นผู้คุมการเจรจาครั้งนี้ มู่ลี่จวีรู้สึกโกรธกับความเย็นชาของเจียเหยา แต่เขารู้ดีว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์แสดงความไม่พอใจต่อหน้านาง ชื่อเหยียนมอบอำนาจให้เขาตัดสินใจในบางเรื่องได้จริง แต่ใ
เจียเหยาตัดสินใจหยุดการเคลื่อนทัพต่อ กองทหารของพวกนางถูกส่งออกไปกวาดต้อนทรัพยากร ดินแดนที่พวกนางเข้ายึดครองในตอนนี้เกินกว่าห้าร้อยลี้ไปนานแล้ว แต่เจียเหยาตั้งใจเพียงให้ทัวฮวนและกองทหารยึดครองดินแดนของกุ่ยฟางเพียงสามร้อยลี้ตามเงื่อนไขขั้นต่ำของหยุนเจิงเท่านั้น การยึดครองดินแดนมากกว่านี้ ไม่เพียงเพื่อกวาดต้อนทรัพยากรและกดดันชื่อเหยียน แต่ยังเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในเจรจา ท้ายที่สุด หากนางยอมคืนดินแดนบางส่วนให้ชื่อเหยียน ชื่อเหยียนก็จะไม่สามารถเรียกร้องเงื่อนไขอื่นได้อย่างเข้มงวดนัก ดังที่เจียเหยากล่าวไว้ นางกับหยุนเจิงเป็นคนประเภทเดียวกัน และในตอนนี้ ชื่อเหยียนก็ดูคล้ายกับสถานการณ์ของนางเมื่อก่อนที่ถูกหยุนเจิงกดดันจนถึงทางตัน เพราะเหตุนี้ เจียเหยาจึงเข้าใจจิตใจของชื่อเหยียนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจียเหยาเคยคิดอยากเป็นผู้พิฆาตมังกร แต่สุดท้ายนางกลับกลายเป็นมังกรร้ายเสียเอง สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เจียเหยาจะได้รับคำตอบจากชื่อเหยียน นางกลับได้รับข่าวจากหยุนเจิงผ่านเหยี่ยวขาว “รีบกลับมา ก่อนสิ้นปีมาพบข้าที่ติ้งเป่ย” ข้อความจากหยุนเจิงสั้นมาก เมื่
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง!” เจียเหยากล่าวพลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กุ่ยฟางต้องยอมสวามิภักดิ์และถวายบรรณาการอย่างแน่นอน แต่จำนวนบรรณาการต้องเพิ่มขึ้นอีกร้อยละห้าสิบพร้อมกันนี้ กุ่ยฟางต้องเปิดการค้าเสรีกับต้าเฉียนและเป่ยหวน นอกจากนี้ กุ่ยฟางต้องชดเชยความเสียหายที่เป่ยหวนและต้าเฉียนได้รับจากศึกครั้งนี้ โดยจ่ายชดเชยเป็นทองคำ 100,000 ตำลึง แกะ 100,000 ตัว วัว 30,000 ตัว ม้า 10,000 ตัว และเสบียงอาหาร 4 ล้านตัน และเพื่อเป็นการตอบแทน เจียเหยาจะไม่เรียกร้องให้กุ่ยฟางยกดินแดน 500 ลี้ แต่ลดลงเหลือเพียง 300 ลี้เท่านั้น! ส่วนข้อที่ให้กุ่ยฟางถวายหญิงงาม 100 คนแก่ต้าเฉียนนั้น เจียเหยาได้ยกเว้นให้โดยตรง สำหรับเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆ เจียเหยาก็ยอมรับตามที่กุ่ยฟางเสนอมา เมื่อได้ยินเงื่อนไขของเจียเหยา อาเคอถูรู้สึกราวกับสมองของตนกำลังอื้ออึง การเพิ่มบรรณาการขึ้นร้อยละห้าสิบยังพอว่า แต่เจียเหยากลับเรียกร้องให้กุ่ยฟางจ่ายค่าชดเชยจำนวนมหาศาลในคราวเดียว? อย่าว่าแต่ปศุสัตว์และเสบียงเลย เพียงแค่ทองคำ 100,000 ตำลึง กุ่ยฟางก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว ทองคำ 100,000 ตำลึง
กุ่ยฟางแม้ว่าขณะนี้ดินแดนกุ่ยฟางจะเต็มไปด้วยหิมะที่ปกคลุมไปทั่ว แต่เจียเหยาก็ยังไม่หยุดการเคลื่อนทัพ ด้วยผลจากสิ่งที่พวกเขายึดได้ระหว่างทาง กองทัพของพวกเขาจึงไม่มีใครต้องทนหนาว ทว่าความหนาวเย็นของอากาศยังคงสร้างความลำบากไม่น้อยให้กับพวกเขา ทัวฮวนและจู่หลู่ได้เสนอให้เจียเหยารับคำขอเจรจาของชื่อเหยียนหลายครั้ง แต่เจียเหยาก็ไม่ได้สนใจในตอนนี้ กองทัพของพวกเขาอยู่ห่างจากเมืองหลวงของกุ่ยฟางไม่ถึงหนึ่งร้อยลี้แล้ว! เมื่อเผชิญกับกองทัพที่ประชิดเข้ามา ชื่อเหยียนจึงส่งคนมาเจรจาขอสงบศึกอีกครั้ง ครั้งนี้ เจียเหยาไม่ได้ขับไล่คนที่ชื่อเหยียนส่งมาอีก เจียเหยาได้พบกับอาเคอถูในกระโจมใหญ่ เมื่ออาเคอถูถูกนำตัวเข้ามา เจียเหยากำลังใช้มีดเล็กๆ ตัดเนื้อแกะชิ้นร้อนๆ จากขาแกะส่งเข้าปาก ข้างกายของนาง เกออาซูยืนอยู่พร้อมถือดาบในมือ อาเคอถูไม่ทราบว่าเนื้อแกะนั้นอร่อยเพียงใด แต่เจียเหยากลับดูเหมือนกำลังเพลิดเพลินอย่างมาก “ข้าน้อยคารวะองค์หญิงเจียเหยา!” อาเคอถูคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อถวายคำนับเจียเหยา เจียเหยาช้อนตามองเล็กน้อย มองอาเคอถูอย่างเรียบเฉย “เจ้าควรเรียกข้าว่า ‘องค์หญิ
ฤดูหนาวอันยาวนาน พวกเขามีสิ่งที่ต้องเตรียมการมากมาย หยุนเจิงเดินหาอยู่ในค่ายอยู่นาน จึงเจอฉินชีหู่ในโรงตีเหล็กของค่าย เมื่อเห็นหยุนเจิง ฉินชีหู่ก็รีบถือกระบองหนามที่เขาสั่งการตีด้วยตัวเองเข้ามาหา พลางกล่าวด้วยความภูมิใจ “น้องชาย เจ้าช่างมาถูกเวลา! มาดูอาวุธใหม่ของข้าหน่อยสิ!” “ข้าดูซิ” หยุนเจิงรับกระบองหนามมาจากมือของฉินชีหู่ เพียงแค่จับก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักมหาศาล แม้หยุนเจิงจะฝึกฝนร่างกายร่วมกับเมี่ยวอินมานาน แต่เมื่อถือกระบองหนามนี้ไว้ในมือก็ยังรู้สึกว่าหนักเกินกำลังเล็กน้อย “นี่คงหนักเจ็ดสิบจินได้กระมัง?” หยุนเจิงมองฉินชีหู่ด้วยความตกตะลึง “เจ็ดสิบแปดจิน!” ฉินชีหู่หัวเราะพลางกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “นี่คืออาวุธที่หนักที่สุดในกองทัพแน่นอน!” ตอนนี้ฉินชีหู่หลงใหลในกระบองหนามชนิดนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดาบใหญ่หรือหอกยาว เมื่อเจอกระบองหนามของเขา ก็ต้องยอมแพ้ทั้งนั้น เพียงแค่ฟาดลงไปครั้งเดียว เกราะใดก็ป้องกันไม่ได้! เรียกได้ว่าเทพมาขวางก็กำจัดเทพ พระมาขวางก็กำจัดพระ!” “เจ้ามันแน่!” หยุนเจิงกล่าวเหน็บแนมพลางคืนกระบองหนามให้ฉินชีหู่ “ช่ว
เรื่องการอภิเษกสมรสกับเจียเหยา หยุนเจิงไม่ได้ให้ความสำคัญนัก พลังงานทั้งหมดของเขาทุ่มเทไปกับการเตรียมการกองทัพใหม่ สำหรับกองทัพกุยอี้ หยุนเจิงยังคงยึดหลักการเดิม คือ ในหนึ่งกองทัพต้องประกอบด้วยคนจากหลายแคว้น เพื่อให้พวกเขาตรวจสอบกันเองและป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้น กองทัพกุยอี้สี่หมื่นนาย ถูกขยายมาจากกองกำลังหนึ่งหมื่นกว่าคนของฟู่เทียนเหยียนและพรรคพวก ผู้ที่สร้างผลงานจากศึกก่อนหน้านี้จะถูกแต่งตั้งให้เป็นนายทหารระดับกลางและล่าง ฟู่เทียนเหยียน ฮั่วกู้ จั่วเหริน และเกาเหอ ต่างก็นำกองกำลังหนึ่งหมื่นนาย ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมของพวกเขาในศึกก่อนหน้า หยุนเจิงจึงจัดสรรม้าให้กองทัพกุยอี้หนึ่งหมื่นตัว และจัดตั้งกองทหารม้าห้าพันนาย ซึ่งสังกัดในกองกำลังของฟู่เทียนเหยียน หลังจากจัดการเรื่องกองทัพใหม่เรียบร้อย หยุนเจิงจึงพาคนไปเคารพหลุมศพของตู้กุยหยวน ระหว่างทางกลับ หยุนเจิงครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอนาคต เมื่อการเตรียมการเบื้องต้นเสร็จสิ้น กองทัพกุยอี้ทั้งสี่หมื่นนายจะต้องแยกกันไปฝึก ส่วนกองทัพประจำการใหม่สองหมื่นนาย เรื่องนี้ค่อนข้างง่าย กองกำลังสองหมื่นนี้เดิมทีเป็
หากมิใช่เพราะจักรพรรดิเหวินทรงเตือน เขาคงมิได้คำนึงถึงปัญหานี้เลย “พอแล้ว!” จักรพรรดิเหวินโบกพระหัตถ์ “ข้าจะออกเดินทางในไม่ช้า เจ้าอย่ามาติดตามข้าเลย ไปจัดการธุระของเจ้าเถิด!” “เสด็จพ่อจะเสด็จตอนนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” หยุนเจิงรู้สึกแปลกใจ“ข้าควรไปแล้ว! การปล่อยให้พี่สามของเจ้าติดอยู่ที่ฟู่โจวตลอดก็ไม่ดี” จักรพรรดิเหวินตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้าอย่ามาส่งข้าเลย ไปๆ มาๆ จะเสียเวลาไม่น้อย” “เอ่อ…” หยุนเจิงรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย “ลูกขอส่งเสด็จพ่อออกจากด่านเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” เขายังต้องไปที่ค่ายใหญ่บนเขาห่านป่าหวนกลับอีกครั้ง หากออกเดินทางจากชายแดนชิงจะช่วยประหยัดเวลาไปไม่น้อย ทว่าหากจักรพรรดิเหวินจะเสด็จจากไป แล้วเขาไม่ส่งเสด็จ ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องสมควร “ไม่ต้องแล้ว!” จักรพรรดิเหวินทรงปฏิเสธทันที “อย่างไรเสียเจ้าก็ยังต้องพาเจียเหยาไปที่ฟู่โจวอยู่ดี! เรื่องในมือเจ้าก็ยังมีอีกมากมาย อย่าเสียเวลาเลย เรื่องบ้านเมืองสำคัญกว่า!” เป็นเช่นนี้หรือ? หยุนเจิงลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ลูกขอส่งเสด็จพ่อไปถึงชายแดนกู้เถิดพ่ะย่ะค่ะ!” “ก็ได้!” จักรพ