“น้องชาย องค์หญิงเป่ยหวนคงไม่ได้ถูกใจเจ้ากระมัง?”มองเจียเหยาจากไปไกล ฉินชีหู่อดไม่ได้ที่จะยื่นหน้ามาหาหยุนเจิง จากนั้นก็ด้วยสีหน้าใคร่รู้“นางถูกใจข้าจริง”หยุนเจิงยักไหล่ จากนั้นก็หัวเราะ “นางอยากจับข้าไปเป่ยหวน ทรมารข้าทุกวัน ให้ข้าร้องขอความตายมากกว่ามีชีวิต...”“ใครใช้ให้ท่านทำให้พวกเขาต้องทิ้งสามเมืองชายแดนเล่า?”ฉินชีหู่หัวเราะอย่างไร้ปราณี จากนั้นก็หัวหน้ามองเหล่าเชลยศึกที่เพิ่งส่งกลับมา และโตะโกนเสียงดัง “พวกเจ้าทุกคนโง่เขลาแล้วกระมั้ง? ยังไม่ขอบคุณท่านอ๋องที่แลกเปลี่ยนพวกเจ้ากลับมาอีก?”“ขอบพระทัยท่านอ๋อง!”ทุกคนเมื่อได้สติกลับมา ก็พากันโค้งคำนับของคุณหยุนเจิงในใจพวกเขารู้ดี หากหยุนเจิงไม่แลกเปลี่ยนพวกเขากลับมา พวกเขาทำได้เพียงเป็นวัวเป็นม้าเพื่อเป่ยหวนแล้ว“พอแล้ว พอแล้ว...”หยุนเจิงโบกมือกล่าว “กลับไปกินอะไรสักหน่อย ดูพวกเจ้าแต่ละคนสิ ผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกแล้ว”กล่าวจบ หยุนเจิงทักทายทุกคนก่อนจะถอยออกจากเมืองกู้“ท่านอ๋อง พวกเราจะเดินทัพเข้าชายแดนชิงและเว่ยได้เมื่อใด?”เวลานี้เอง ตู๋กูเช่อถามหยุนเจิงด้วยสีหน้าตื่นเต้น“รออีกสักสองวันเถอะ!”หยุนเจิงตอบ “ให
ความจริง เจียเหยาไม่ได้โทษปานปู้แม้เรื่องนั้นจะเกิดขึ้นเพราะมีดทองของปานปู้ แต่ตัวปานปู้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องมากนักปานปู้เสียมีดให้กับหยุนเจิง เขาไม่สามารถป่าวประกาศบอกกับทุกคนได้กล่าวได้แค่ว่า หยุนเจิงเจ้าเล่ห์มาก นึกไม่ถึงว่าจะใช้มีดทองของปานปู้เคลื่อนทัพของพวกเขาแล้วก็ต้องโทษนางที่ระแวงเกินไป ไม่ส่งคนไปยึดหุบผาชันช่องลมเอาไว้หากนางส่งคนไปยึดหุบผาชันช่องลมก่อน หยุนเจิงไม่มีโอกาสใช้ประโยชน์จากมีดทองของปานปู้มาทำลายพวกเขาได้ด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ เจียเหยาเพิ่มความเร็วอย่างไม่รู้ตัวยังดี!นางได้โสมอายุหนึ่งร้อยปีรากนึงจากหยุนเจิงกลับมาด้วยหวังว่า โสมรากนี้จะทำให้อาจารย์หายในเร็ววัน!ควบม้าอย่างบ้าคลั่งตลอดทาง ในที่สุดเจียเหยาก็มาถึงชายแดนเว่ยก่อนฟ้ามืดเจียเหยาไม่สนใจที่จะพักผ่อน สิ่งแรกที่ทำคือไปห้องของปานปู้สิบกว่าวันไม่ได้พบเจอ สีหน้าของปานปู้แย่ลงกว่าเดิมปานปู้สีหน้าซีดขาว แทบไม่มีเลือดฝาดปานปู้ในเวลานี้ ไม่เห็นท่าทางมีชีวิตชีวาดั่งอดีตอีกต่อไป เหมือนกับคนชราใกล้ถึงฝั่งคนหนึ่ง“อาจารย์!”เจียเหยาขอบตาแดง นั่งลงข้างเตียงของปานปู้ช้าๆปานปู้ฝืนลุกขึ้นอ
ความผิดปกติกะทันหันของปานปู้ทำให้เจียเหยาตกใจกลัว“อาจารย์!”เจียเหยาอุทานด้วยความตกใจ จากนั้นก็ร้องตะโกนออกไปข้างนอก “เร็ว เรียกหมอ!”ปานปู้โบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง กล่าวด้วยสีหน้าโศกเศร้า “องค์หญิง ท่าน...ท่านถูกหยุนเจิงหลอกแล้ว!”“อะไรนะ?” เจียเหยาไม่อยากเชื่อปานปู้ส่ายหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง กล่าวด้วยลมหายใจโรยริน “นี่...นี่ไม่ใช่โสม! สิ่งนี้คือจางหลิว! นี่คือ...จางหลิวที่มีพิษร้ายแรง...”ปานปู้กล่าวจบ ก็ทนไม่ไหวไอออกมาการค้า...จางหลิว?มีพิษมาก?เจียเหยามองปานปู้ด้วยความมึนงงนี่...เห็นชัดๆ ว่านี่คือโสมคน!เหตุใด...เหตุใดกลายเป็นจางหลิวแล้ว?หรือว่าอาจารย์ป่วยหนัก ตาลายแล้ว?ไม่นาน องครักษ์ด้านนอกพาท่านหมอเข้ามาเจียเหยาถามท่านหมอเป็นสิ่งแรกว่าที่จริงแล้วสิ่งนี้เป็นโสมคือหรือว่าจางหลิวท่านหมอกล่าวอย่างหนักแน่น “นี่คือจางหลิว สิ่งนี้แม้จะหน้าตาเหมือนกับโสมมาก ทว่ามีพิษร้ายแรง...”ตูม!เจียเหยารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงระเบิดในหัวจางหลิว!นี่เป็นจางหลิวจริงด้วย!นางต่อให้ระวังเพียงใด สุดท้าย ก็ยังคงถูกหยุนเจิงหลอกแล้ว?ม้าศึกหนึ่งพันกว่าตัว สำหรับเป่ยหวนแล้ว ไม่นั
กล่าวจบ เจียเหยารีบส่งจดหมายให้ปานปู้เมื่อเห็นเนื้อหาในจดหมาย ปานปู้ดีใจ ใบหน้าซีดขาวพลันมีสีเลือดขึ้นมาแล้วทว่า ไม่นานปานปู้ก็สงบลงพวกเขาเสียเคยเปรียบต้าเฉียนมากมายเกินไป!พวกเขาลอบโจมตีหลายครั้ง ล้วนเจ็บหนักทุกครั้งหากนี่เป็นแผนทรยศของต้าเฉียน พวกเขาต้องเผชิญกับความสูญเสียใหญ่อีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัยปานปู้ไม่สนใจความเจ็บป่วยของร่างกาย ขบคิดอย่างขยันขันแข็งหากนี่เป็นความจริง ไม่ต้องสงสัยเลย เป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะได้รับกำไรมากสุดตั้งแต่เริ่มเปิดสงครามมาที่สำคัญคือ หยุนเจิงที่พวกเขาเกลียดที่สุดอยู่ที่ชายแดนกู้!“อาจารย์ ท่านคิดว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือว่ากับดัก?”เจียเหยาไม่สนใจความเจ็บปวดของปานปู้เช่นกัน เรื่องนี้ นางจำเป็นต้องถามความเห็นของปานปู้ปานปู้ติดต่อกับชาวต้าเฉียนมานานหลายปี รู้จักชาวต้าเฉียนดีกว่านางปานปู้หลับตา คิดเงียบๆ สุดท้ายก็พลันลืมตาขึ้น “อย่างน้อยก็มีความเป็นไปได้หกส่วนว่าจะเป็นความจริง! ภายในกองทหารมณฑลทางเหนือ มีความคิดจะเอาชีวิตหยุนเจิง!”“เรื่องนี้ข้ารู้”เจียเหยาพยักหน้า ทว่ากลับขมวดคิ้วแน่น “แต่พวกเขากล้าเกินไปแล้วกระมัง? พวกเขาโหดร้ายกับ
ชายแดนเมืองกู้วัสดุที่จำเป็นในการซ่อมแซมกำแพงเมืองได้รับการคำนวณมาคร่าวๆ แล้ว ตู๋กูเช่อส่งคนไปป้อมเมืองสุยหนิงและป้อมเมืองจิ้งอันส่งวัสดุที่จำเป็นมาแต่ว่า การขนส่งก็จำเป็นต้องใช้เวลาฉวยโอกาสเวลานี้ หยุนเจิงใช้ประโยชน์จากวัสดุที่จำกัด ซ่อมแซมบ้านใกล้เมืองกู้ที่สามารถซ่อมแซมได้ทั้งเมืองกู้สามารถเรียกได้ว่าเป็นค่ายทหารขนาดใหญ่มหึมาได้แม้ตอนที่พวกเขามาถึงได้นำกระโจมมาด้วยจำนวนหนึ่ง แต่กระโจมไม่อาจเทียบกับค่ายได้ถึงเช่นไรคนเยอะมากมายเช่นนี้ก็กำลังว่าง ไม่สู้ทำงานเสียหน่อยดีกว่าหากพูดถึงสามเมืองชายแดน ก็นับว่าโชคร้ายนักปีนั้นต้าเฉียนต้องยกเมืองใช้แดนให้ ก็ทำให้เมืองเสียหายหนักไปหนึ่งรอบแล้วเพิ่งซ่อมแซมเสร็จไม่กี่ปี ก็ต้องถูกทำลายอีกแล้วหวังว่า สามเมืองชายแดนหลังจากนี้ไปต้องเผชิญหน้ากับการถูกทำลายอีก!หยุนเจิงเตรียมพาเสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินเข้าไปดูหอคอย ตู๋กูเช่อและฉินชีหู่ก็เข้ามาหาแล้ว“น้องชาย นี่หนึ่งวันแล้ว พวกเราควรส่งคนไปชายแดนเมืองเว่ยและชายแดนเมืองชิงหรือไม่?”ฉินชีหู่ถามหยุนเจิงด้วยความตื่นเต้น“ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ”หยุนเจิงส่ายหน้ากล่าว “หากเป่ยหวนต้อ
กล่าวจบ ฉินชีหู่ต้องการจากไปจากนั้น เพิ่งก้าวเดินออกไป ฉินชีหู่พลันลุกขึ้นยืน หันกลับมามองเสิ่นลั่วเยี่ยน หัวเราะเจ้าเล่ห์ “น้องสะใภ้ ได้ยินว่าวรยุทธเจ้าไม่เลวเลย! ไม่เช่นนั้น เจ้าสู้กับข้าสักสองกระบวนท่า?”หืมเมื่อได้ฟังคำฉินชีหู่ หยุนเจิงรู้สึกสนใจขึ้นมาเขาอยากรู้ วรยุทธเสิ่นลั่วเยี่ยนและฉินชีหู่ใครจะเก่งกาญกว่ากัน!“ได้สิ!”ถึงเช่นไรเสิ่นลั่วเยี่ยนก็ไม่มีงานทำ จึงตอบรับด้วยความสบายใจเมื่อเห็นนางตกลง ฉินชีหู่ดีใจขึ้นมาทันใดทั้งสองก็ตั้งท่าอย่างรวดเร็ว พวกเขาหยุนเจิงก็ล้อมวงดูอย่างตื่นเต้น“น้องสะใภ้ เห็นแก่ที่เจ้าเป็นสตรี ข้าจะต่อให้เจ้าก่อนสิบกระบวนท่า!”ฉินชีหู่บิดยืดคอไปมา กล่าวด้วยเสียงหัวเราะ“ไม่ต้องหรอก!”เสิ่นลั่วเยี่ยนปฏิเสธโดยไม่ลังเล “เดิมทีพวกเขาก็แค่ประลองกัน ท่านต่อให้ข้าเพื่อสิ่งใด?”ฉินชีหู่หัวเราะ ยกนิ้วโป่งกล่าว “น้องสะใภ้ไม่เสียแรงที่เป็นวีรสตรี เช่นนั้นข้าก็ไม่ต่อให้เจ้าแล้ว!”“มาเถอะ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนเตรียมหอกลายเมฆของตัวเองเอาไว้เมื่อเห็นเสิ่นลั่วเยี่ยนหยิบอาวุธออกมาแล้ว หยุนเจิงเตือน “พวกท่านอย่าจริงจังเกินไป พอประมาณก็พอแล้ว”“วางใจ พวกเ
สองวันให้หลัง วัสดุซ่อมแซมกำลังส่งมาถึงป้อมเมืองสุยหนิงและป้อมเมืองจิ้งอันทยอยมาถึงบางส่วนแล้วขณะเดียวกัน พวกเขาได้รับข่าวที่เว่ยเหวินจงส่งมาเป่ยหวนมีความผิดปกติที่เทียนหู!เพียงแต่ ตอนนี้เว่ยเหวินจงไม่อาจตัดสินใจได้ว่าเป่ยหวนคิดจะทำสิ่งใดเว่ยเหวินจงระดมกำลังบางส่วนไปยังแนวหน้าเมืองเทียนหู ขณะเดียวกัน เว่ยเหวินจงแนะนำให้พวกเขาทางนี้ไม่ต้องเคลื่อนไหวชั่วคราว ดูว่าแท้จริงเป่ยหวนต้องการทำสิ่งใดกันแน่อีกอย่าง เว่ยเหวินจงได้จัดส่งเสบียงอาหารแห้งสำหรับกองทัพสี่หมื่นคนเพียงพอสำหรับหนึ่งเดือนประมาณการเบื้องต้น เสบียงอาหารแห้งจะส่งมาถึงภายในอีกสองวันเมื่อได้รับข่าวจากเว่ยเหวินจง หลายคนที่เอาแต่หมกมุ่นกับความดีใจที่เมืองกลับมาล้วนสงบลงแล้วเป่ยหวนมีความผิดปกติที่เทียนหู?หรือว่า กองทัพเป่ยหวนจะไม่ถอยตัวออกจากชายแดนเมืองเว่ยและเมืองชิง หรือว่ามีแผนอื่น?รองผู้บัญชาการตู๋กูเช่อเรียกประชุมด่วน หารือแผนการต่อไปสถานการณ์ตรงหน้าไม่เหมือนกับที่พวกเขาคิดก่อนหน้านี้!ใช้วิธีกอบกู้ชายแดนเมืองเว่ยและเมืองชิงกลับมาด้วยความสันติ แทบเป็นไปไม่ได้เลย!พวกเขาจำเป็นต้องรับมือแผนสำรองตู๋กูเช่
ในเมื่อพวกเขามีความคาดเดา พวกเขาต้องรู้บางอย่างแน่นอนหยุนเจิงหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้มองทุกคน จากนั้นก็เอ่ยปาก “ก่อนหน้านี้จางซูให้ความคิดที่ไม่ดีกับพวกเรา...”กล่าวจบ หยุนเจิงบอกเรื่องที่พวกเขาปลอมผลจางหลิวเป็นโสมคนแลกเปลี่ยนกับเจียเหยาออกมาเมื่อได้ฟังคำของหยุนเจิง ทุกคนอดไม่ได้ที่จะอึ้ง“จางหลิวคือสิ่งใด?”ฉินชีหู่ถามด้วยสีหน้าแปลกประหลาด“คือว่า...”หยุนเจิงยิ้มด้วยสีหน้าขมขื่น “สิ่งนี้หน้าตาเหมือนโสมมาก ทว่ามันมีพิษมาก กินแล้วอาจถึงชีวิต...”มีพิษ?ถึงชีวิต?เมื่อได้ฟังคำของหยุนเจิง ฉินชีหู่พลันลุกขึ้นยืนแม้ว่าเขาไม่รู้ว่าจางหลิวคือสิ่งใด รู้เพียงว่าจางหลิวมีพิษก็พอแล้ว!“ท่านอ๋อง พวกท่าน...คงไม่ได้วางยาพิษเจียเหยาตายหรอกกระมัง?”ตู๋กูเช่อใบหน้ากระตุกเวลานี้ เขาไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือควรหัวเราะใช้จางหลิวปลอมเป็นโสมให้เจียเหยา?พวกเขาก็คิดออกมาได้!ที่สำคัญคือ พวกเขาทำสำเร็จด้วย!เรื่องนี้ ขาดคุณธรรมก็ขาดคุณธรรมอยู่หรอก แต่ก็น่าพอใจมาก!คำถามคือ หากเป็นเพราะเจียเหยาตาย สิ่งนี้นำไปสู่ความล้มเหลวในการกอบกู้ชายแดนเว่ยและชิง ก็แทบไม่ได้ขาดทุนทว่า เปลี่ยนอีกคว
หยุนเจิงกลับมาจากโรงงานผลิตอาวุธ เพียงแค่เดินมาถึงหน้าจวนอ๋อง ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกวุ่นวายดังมาจากในจวน พอเข้าไปในจวนตามคาด เขาเห็นเหล่าเด็กซนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในลานหน้า ลูกชายสองคนกับลูกสาวหนึ่งคนของฉินชีหู่ รวมถึงลูกชายของอดีตรัชทายาท มาที่จวน และกำลังเล่นปาหิมะกับเสิ่นเนี่ยนฉือและฉีเหยียน เด็กๆ เหล่านั้นต่างสวมเสื้อผ้าหนาเตอะเหมือนหมี แม้จะล้มลงบนพื้นหิมะก็ไม่รู้สึกเจ็บ “คารวะฝ่าบาท!” เมื่อเห็นหยุนเจิงกลับมา อาจารย์ที่คอยดูแลเด็กๆ รีบเข้ามาคารวะ “พอเถอะ ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอยู่ในจวนไม่ต้องเคร่งขนาดนั้น” หยุนเจิงโบกมือพลางถามว่า “พี่สะใภ้ตระกูลฉินมาที่นี่แล้วหรือ?” “เจ้าค่ะ” ซินเซิงยิ้มบางๆ ขณะช่วยปัดหิมะออกจากเสื้อหยุนเจิง พลางตอบว่า “ช่วงบ่ายฮูหยินฉินก็มากับเด็กๆ ตอนนี้คงเล่นไพ่นกกระจอกกับเหล่าพระชายาอยู่” หยุนเจิงว่า “เช่นนั้นข้าไปดูสักหน่อย เจ้าเฝ้าเด็กๆ ไว้ อย่าให้พวกเขาเล่นจนเหงื่อออกมากนัก” “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” ซินเซิงพยักหน้าเบาๆ หยุนเจิงมองดูเด็กซนที่กำลังเล่นอย่างบ้าคลั่ง และครุ่นคิดในใจว่าจะให้พวกเขาทำ “การบ้านช่วงปิดเทอม
ตลอดสองวันที่ผ่านมา เจียเหยาเจรจากับกุ่ยฟางอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าข้อเสนอจากกุ่ยฟางจะเกินกว่าเงื่อนไขขั้นต่ำที่เจียเหยากำหนดไว้ในใจแล้ว แต่นางยังไม่พอใจ นางต้องการต่อรองเพื่อให้ได้ทรัพยากรมากขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่า จุดที่ยังคงเจรจากันไม่ลงตัวอยู่ที่ค่าชดเชยจากสงครามและจำนวนบรรณาการ กุ่ยฟางแสดงเจตนาอย่างชัดเจน หากต้องการค่าชดเชยเพิ่ม จำนวนบรรณาการจะต้องลดลง แต่ในเรื่องจำนวนบรรณาการ เจียเหยาไม่ยอมอ่อนข้อเลย ในที่สุด กุ่ยฟางจำต้องยอมรับข้อกำหนดของเจียเหยาในการถวายบรรณาการตามจำนวนที่นางระบุ ส่วนค่าชดเชยที่กุ่ยฟางสามารถมอบให้ได้ เมื่อคำนวณแล้วอยู่ที่ประมาณร้อยละสี่สิบห้าของข้อเรียกร้องเริ่มต้นของเจียเหยา ผลลัพธ์นี้แม้ไม่ใช่สิ่งที่นางคาดหวังไว้ แต่ก็ดีกว่าที่เจียเหยาประเมินไว้ไม่น้อย เมื่อการเจรจาสิ้นสุด เจียเหยาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ ด้วยทรัพยากรเหล่านี้ ประชาชนแห่งเป่ยหวนจะผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไม่ลำบากนัก “องค์หญิง เหตุใดท่านจึงไม่ยอมอ่อนข้อในเรื่องบรรณาการ?” เกออาซูถามด้วยความไม่เข้าใจ “หากเรายอมลดเงื่อนไขเรื่องบรรณาการ เราก็จะได้สิ่งอื่นเพ
ทว่า สำหรับเจียเหยาในตอนนี้ นี่อาจไม่ใช่เรื่องดีนัก เมื่อผู้ที่เข้าร่วมเจรจาจากกุ่ยฟางมีหลายคน ความเห็นของพวกเขาอาจไม่ตรงกัน การดึงกลยุทธ์นี้อาจทำให้เสียเวลาเพิ่มขึ้น เจียเหยารู้สึกกังวลในใจ แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย “ท่านทูตเชิญนั่งก่อน ข้ามีเรื่องสำคัญต้องจัดการเสียก่อน!” กล่าวจบ เจียเหยาก็ก้มหน้าก้มตาเขียนจดหมายต่อ แต่ความคิดของเจียเหยาในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่จดหมายอีกแล้ว นางดูเหมือนกำลังเขียนจดหมาย แต่แท้จริงแล้วกำลังกดดันอาเคอถูและคณะ นางรู้ว่าชื่อเหยียนต้องมอบอำนาจในการเจรจาบางส่วนให้แก่อาเคอถูและคณะ สิ่งที่นางต้องทำคือการกดดันคณะทูตกุ่ยฟางเพื่อให้ได้ผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น การกระทำของเจียเหยาส่งผลอย่างชัดเจน เมื่อเห็นว่าเจียเหยาดูเหมือนไม่ได้รีบร้อนเจรจาเลย สมาชิกในคณะทูตกุ่ยฟางก็เริ่มมองตากันไปมา สุดท้าย สายตาของทุกคนต่างหันไปที่มู่ลี่จวี เห็นได้ชัดว่ามู่ลี่จวีเป็นผู้คุมการเจรจาครั้งนี้ มู่ลี่จวีรู้สึกโกรธกับความเย็นชาของเจียเหยา แต่เขารู้ดีว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์แสดงความไม่พอใจต่อหน้านาง ชื่อเหยียนมอบอำนาจให้เขาตัดสินใจในบางเรื่องได้จริง แต่ใ
เจียเหยาตัดสินใจหยุดการเคลื่อนทัพต่อ กองทหารของพวกนางถูกส่งออกไปกวาดต้อนทรัพยากร ดินแดนที่พวกนางเข้ายึดครองในตอนนี้เกินกว่าห้าร้อยลี้ไปนานแล้ว แต่เจียเหยาตั้งใจเพียงให้ทัวฮวนและกองทหารยึดครองดินแดนของกุ่ยฟางเพียงสามร้อยลี้ตามเงื่อนไขขั้นต่ำของหยุนเจิงเท่านั้น การยึดครองดินแดนมากกว่านี้ ไม่เพียงเพื่อกวาดต้อนทรัพยากรและกดดันชื่อเหยียน แต่ยังเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในเจรจา ท้ายที่สุด หากนางยอมคืนดินแดนบางส่วนให้ชื่อเหยียน ชื่อเหยียนก็จะไม่สามารถเรียกร้องเงื่อนไขอื่นได้อย่างเข้มงวดนัก ดังที่เจียเหยากล่าวไว้ นางกับหยุนเจิงเป็นคนประเภทเดียวกัน และในตอนนี้ ชื่อเหยียนก็ดูคล้ายกับสถานการณ์ของนางเมื่อก่อนที่ถูกหยุนเจิงกดดันจนถึงทางตัน เพราะเหตุนี้ เจียเหยาจึงเข้าใจจิตใจของชื่อเหยียนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจียเหยาเคยคิดอยากเป็นผู้พิฆาตมังกร แต่สุดท้ายนางกลับกลายเป็นมังกรร้ายเสียเอง สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เจียเหยาจะได้รับคำตอบจากชื่อเหยียน นางกลับได้รับข่าวจากหยุนเจิงผ่านเหยี่ยวขาว “รีบกลับมา ก่อนสิ้นปีมาพบข้าที่ติ้งเป่ย” ข้อความจากหยุนเจิงสั้นมาก เมื่
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง!” เจียเหยากล่าวพลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กุ่ยฟางต้องยอมสวามิภักดิ์และถวายบรรณาการอย่างแน่นอน แต่จำนวนบรรณาการต้องเพิ่มขึ้นอีกร้อยละห้าสิบพร้อมกันนี้ กุ่ยฟางต้องเปิดการค้าเสรีกับต้าเฉียนและเป่ยหวน นอกจากนี้ กุ่ยฟางต้องชดเชยความเสียหายที่เป่ยหวนและต้าเฉียนได้รับจากศึกครั้งนี้ โดยจ่ายชดเชยเป็นทองคำ 100,000 ตำลึง แกะ 100,000 ตัว วัว 30,000 ตัว ม้า 10,000 ตัว และเสบียงอาหาร 4 ล้านตัน และเพื่อเป็นการตอบแทน เจียเหยาจะไม่เรียกร้องให้กุ่ยฟางยกดินแดน 500 ลี้ แต่ลดลงเหลือเพียง 300 ลี้เท่านั้น! ส่วนข้อที่ให้กุ่ยฟางถวายหญิงงาม 100 คนแก่ต้าเฉียนนั้น เจียเหยาได้ยกเว้นให้โดยตรง สำหรับเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆ เจียเหยาก็ยอมรับตามที่กุ่ยฟางเสนอมา เมื่อได้ยินเงื่อนไขของเจียเหยา อาเคอถูรู้สึกราวกับสมองของตนกำลังอื้ออึง การเพิ่มบรรณาการขึ้นร้อยละห้าสิบยังพอว่า แต่เจียเหยากลับเรียกร้องให้กุ่ยฟางจ่ายค่าชดเชยจำนวนมหาศาลในคราวเดียว? อย่าว่าแต่ปศุสัตว์และเสบียงเลย เพียงแค่ทองคำ 100,000 ตำลึง กุ่ยฟางก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว ทองคำ 100,000 ตำลึง
กุ่ยฟางแม้ว่าขณะนี้ดินแดนกุ่ยฟางจะเต็มไปด้วยหิมะที่ปกคลุมไปทั่ว แต่เจียเหยาก็ยังไม่หยุดการเคลื่อนทัพ ด้วยผลจากสิ่งที่พวกเขายึดได้ระหว่างทาง กองทัพของพวกเขาจึงไม่มีใครต้องทนหนาว ทว่าความหนาวเย็นของอากาศยังคงสร้างความลำบากไม่น้อยให้กับพวกเขา ทัวฮวนและจู่หลู่ได้เสนอให้เจียเหยารับคำขอเจรจาของชื่อเหยียนหลายครั้ง แต่เจียเหยาก็ไม่ได้สนใจในตอนนี้ กองทัพของพวกเขาอยู่ห่างจากเมืองหลวงของกุ่ยฟางไม่ถึงหนึ่งร้อยลี้แล้ว! เมื่อเผชิญกับกองทัพที่ประชิดเข้ามา ชื่อเหยียนจึงส่งคนมาเจรจาขอสงบศึกอีกครั้ง ครั้งนี้ เจียเหยาไม่ได้ขับไล่คนที่ชื่อเหยียนส่งมาอีก เจียเหยาได้พบกับอาเคอถูในกระโจมใหญ่ เมื่ออาเคอถูถูกนำตัวเข้ามา เจียเหยากำลังใช้มีดเล็กๆ ตัดเนื้อแกะชิ้นร้อนๆ จากขาแกะส่งเข้าปาก ข้างกายของนาง เกออาซูยืนอยู่พร้อมถือดาบในมือ อาเคอถูไม่ทราบว่าเนื้อแกะนั้นอร่อยเพียงใด แต่เจียเหยากลับดูเหมือนกำลังเพลิดเพลินอย่างมาก “ข้าน้อยคารวะองค์หญิงเจียเหยา!” อาเคอถูคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อถวายคำนับเจียเหยา เจียเหยาช้อนตามองเล็กน้อย มองอาเคอถูอย่างเรียบเฉย “เจ้าควรเรียกข้าว่า ‘องค์หญิ
ฤดูหนาวอันยาวนาน พวกเขามีสิ่งที่ต้องเตรียมการมากมาย หยุนเจิงเดินหาอยู่ในค่ายอยู่นาน จึงเจอฉินชีหู่ในโรงตีเหล็กของค่าย เมื่อเห็นหยุนเจิง ฉินชีหู่ก็รีบถือกระบองหนามที่เขาสั่งการตีด้วยตัวเองเข้ามาหา พลางกล่าวด้วยความภูมิใจ “น้องชาย เจ้าช่างมาถูกเวลา! มาดูอาวุธใหม่ของข้าหน่อยสิ!” “ข้าดูซิ” หยุนเจิงรับกระบองหนามมาจากมือของฉินชีหู่ เพียงแค่จับก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักมหาศาล แม้หยุนเจิงจะฝึกฝนร่างกายร่วมกับเมี่ยวอินมานาน แต่เมื่อถือกระบองหนามนี้ไว้ในมือก็ยังรู้สึกว่าหนักเกินกำลังเล็กน้อย “นี่คงหนักเจ็ดสิบจินได้กระมัง?” หยุนเจิงมองฉินชีหู่ด้วยความตกตะลึง “เจ็ดสิบแปดจิน!” ฉินชีหู่หัวเราะพลางกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “นี่คืออาวุธที่หนักที่สุดในกองทัพแน่นอน!” ตอนนี้ฉินชีหู่หลงใหลในกระบองหนามชนิดนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดาบใหญ่หรือหอกยาว เมื่อเจอกระบองหนามของเขา ก็ต้องยอมแพ้ทั้งนั้น เพียงแค่ฟาดลงไปครั้งเดียว เกราะใดก็ป้องกันไม่ได้! เรียกได้ว่าเทพมาขวางก็กำจัดเทพ พระมาขวางก็กำจัดพระ!” “เจ้ามันแน่!” หยุนเจิงกล่าวเหน็บแนมพลางคืนกระบองหนามให้ฉินชีหู่ “ช่ว
เรื่องการอภิเษกสมรสกับเจียเหยา หยุนเจิงไม่ได้ให้ความสำคัญนัก พลังงานทั้งหมดของเขาทุ่มเทไปกับการเตรียมการกองทัพใหม่ สำหรับกองทัพกุยอี้ หยุนเจิงยังคงยึดหลักการเดิม คือ ในหนึ่งกองทัพต้องประกอบด้วยคนจากหลายแคว้น เพื่อให้พวกเขาตรวจสอบกันเองและป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้น กองทัพกุยอี้สี่หมื่นนาย ถูกขยายมาจากกองกำลังหนึ่งหมื่นกว่าคนของฟู่เทียนเหยียนและพรรคพวก ผู้ที่สร้างผลงานจากศึกก่อนหน้านี้จะถูกแต่งตั้งให้เป็นนายทหารระดับกลางและล่าง ฟู่เทียนเหยียน ฮั่วกู้ จั่วเหริน และเกาเหอ ต่างก็นำกองกำลังหนึ่งหมื่นนาย ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมของพวกเขาในศึกก่อนหน้า หยุนเจิงจึงจัดสรรม้าให้กองทัพกุยอี้หนึ่งหมื่นตัว และจัดตั้งกองทหารม้าห้าพันนาย ซึ่งสังกัดในกองกำลังของฟู่เทียนเหยียน หลังจากจัดการเรื่องกองทัพใหม่เรียบร้อย หยุนเจิงจึงพาคนไปเคารพหลุมศพของตู้กุยหยวน ระหว่างทางกลับ หยุนเจิงครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอนาคต เมื่อการเตรียมการเบื้องต้นเสร็จสิ้น กองทัพกุยอี้ทั้งสี่หมื่นนายจะต้องแยกกันไปฝึก ส่วนกองทัพประจำการใหม่สองหมื่นนาย เรื่องนี้ค่อนข้างง่าย กองกำลังสองหมื่นนี้เดิมทีเป็
หากมิใช่เพราะจักรพรรดิเหวินทรงเตือน เขาคงมิได้คำนึงถึงปัญหานี้เลย “พอแล้ว!” จักรพรรดิเหวินโบกพระหัตถ์ “ข้าจะออกเดินทางในไม่ช้า เจ้าอย่ามาติดตามข้าเลย ไปจัดการธุระของเจ้าเถิด!” “เสด็จพ่อจะเสด็จตอนนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” หยุนเจิงรู้สึกแปลกใจ“ข้าควรไปแล้ว! การปล่อยให้พี่สามของเจ้าติดอยู่ที่ฟู่โจวตลอดก็ไม่ดี” จักรพรรดิเหวินตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้าอย่ามาส่งข้าเลย ไปๆ มาๆ จะเสียเวลาไม่น้อย” “เอ่อ…” หยุนเจิงรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย “ลูกขอส่งเสด็จพ่อออกจากด่านเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” เขายังต้องไปที่ค่ายใหญ่บนเขาห่านป่าหวนกลับอีกครั้ง หากออกเดินทางจากชายแดนชิงจะช่วยประหยัดเวลาไปไม่น้อย ทว่าหากจักรพรรดิเหวินจะเสด็จจากไป แล้วเขาไม่ส่งเสด็จ ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องสมควร “ไม่ต้องแล้ว!” จักรพรรดิเหวินทรงปฏิเสธทันที “อย่างไรเสียเจ้าก็ยังต้องพาเจียเหยาไปที่ฟู่โจวอยู่ดี! เรื่องในมือเจ้าก็ยังมีอีกมากมาย อย่าเสียเวลาเลย เรื่องบ้านเมืองสำคัญกว่า!” เป็นเช่นนี้หรือ? หยุนเจิงลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ลูกขอส่งเสด็จพ่อไปถึงชายแดนกู้เถิดพ่ะย่ะค่ะ!” “ก็ได้!” จักรพ