ในเมื่อพวกเขามีความคาดเดา พวกเขาต้องรู้บางอย่างแน่นอนหยุนเจิงหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้มองทุกคน จากนั้นก็เอ่ยปาก “ก่อนหน้านี้จางซูให้ความคิดที่ไม่ดีกับพวกเรา...”กล่าวจบ หยุนเจิงบอกเรื่องที่พวกเขาปลอมผลจางหลิวเป็นโสมคนแลกเปลี่ยนกับเจียเหยาออกมาเมื่อได้ฟังคำของหยุนเจิง ทุกคนอดไม่ได้ที่จะอึ้ง“จางหลิวคือสิ่งใด?”ฉินชีหู่ถามด้วยสีหน้าแปลกประหลาด“คือว่า...”หยุนเจิงยิ้มด้วยสีหน้าขมขื่น “สิ่งนี้หน้าตาเหมือนโสมมาก ทว่ามันมีพิษมาก กินแล้วอาจถึงชีวิต...”มีพิษ?ถึงชีวิต?เมื่อได้ฟังคำของหยุนเจิง ฉินชีหู่พลันลุกขึ้นยืนแม้ว่าเขาไม่รู้ว่าจางหลิวคือสิ่งใด รู้เพียงว่าจางหลิวมีพิษก็พอแล้ว!“ท่านอ๋อง พวกท่าน...คงไม่ได้วางยาพิษเจียเหยาตายหรอกกระมัง?”ตู๋กูเช่อใบหน้ากระตุกเวลานี้ เขาไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือควรหัวเราะใช้จางหลิวปลอมเป็นโสมให้เจียเหยา?พวกเขาก็คิดออกมาได้!ที่สำคัญคือ พวกเขาทำสำเร็จด้วย!เรื่องนี้ ขาดคุณธรรมก็ขาดคุณธรรมอยู่หรอก แต่ก็น่าพอใจมาก!คำถามคือ หากเป็นเพราะเจียเหยาตาย สิ่งนี้นำไปสู่ความล้มเหลวในการกอบกู้ชายแดนเว่ยและชิง ก็แทบไม่ได้ขาดทุนทว่า เปลี่ยนอีกคว
วันที่สอง ทหารเป่ยหวนแบกกระสอบมาถึงชายแดนเมืองเว่ยด้วยคำพูดรุนแรงบอกว่าประมุขฮูเจียมาถึงชายแดนเมืองเว่ยแล้ว ต้องการให้เว่ยเหวินจงส่งมอบหยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนออกมา มิฉะนั้น แม่ทัพและพลทหารทุกคน จะบุกซั่วเป่ยโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งนั้น!ถึงเวลานั้น ทุกที่ที่กองทัพเป่ยหวนผ่านทาง แม้แต่ไก่หรือสุนัขสักตัวก็ไม่เหลือ!หลังจากข่มขู่เสร็จ ทหารม้าเป่ยหวนยิงธนูที่เขียนด้วยรายมือประมุขฮูเจี๋ยอีกครั้งแล้วก็ต้องการให้เว่ยเหวินจงเปิดด้วยตัวเองทว่า จดหมายฉบับนี้ไม่มีทางถึงมือเว่ยเหวินจงต่อให้ถึงมือเว่ยเหวินจง ก็ไม่มีความหมายใดหากต้องการมอบหยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนออกไป มีเพียงจักรพรรดิเหวินผู้เดียวที่มีอำนาจเว่ยเหวินจงไร้อำนาจนี้เว่ยเหวินจงต่อให้คิดจะบังคับหยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนส่งออกไป ก็ต้องถามทหารของกองทหารเป่ยหวนว่าตกลงหรือไม่ไม่มีผู้ใดสนใจคำขู่ของทหารม้าเป่ยหวน ทุกคนเพียงเพิ่มความเร็วในการซ่อมแซมกำแพงเมืองตอนนี้มีการซ่อมแซมเพิ่มเติม ตอนที่เป่ยหวนจะโจมตี ความเสียหายของพวกเขาคงเล็กน้อยมากโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ท้องฟ้ามืดลงแล้วทว่างานซ่อมแซมกำแพงเมืองยังคงไม่หยุดลงความค
เมื่อได้ฟังคำของหลี่ต้าซาน สีหน้าของหยุนเจิงสีหน้าเปลี่ยนเป็นดูยากขึ้นมาหน่วยคุ้มกันขนส่งเสบียง พบกับการจู่โจมของกองทัพเป่ยหวน!“เสบียงเล่า?”เสิ่นลั่วเยี่ยนสีหน้าเปลี่ยนไป จากนั้นก็ตะโกนถามหลี่ต้าซานคร่ำครวญอย่างไร้เรี่ยวแรง “เสบียงอาหารทั้งหมดถูกเป่ยหวนแย่งไปแล้ว กองทัพสองหมื่นกว่าคนของเราแทบไม่เหลือ ข้าน้อยหนีออกมาสุดชีวิต...”เสิ่นลั่วเยี่ยนเมื่อได้ฟัง อดไม่ได้ที่จะชะงักเสบียงของกองทัพสี่หมื่นพวกเขาถูกเป่ยหวนแย่งไป!โดยไม่ต้องสงสัย กองทัพของเป่ยหวนประจำการอยู่ที่แนวสันดอนเป่ยหยวนใกล้กับบริเวณเมืองกู้!ทางข้างหลังของพวกเขา ถูกตัดขาดแล้ว!อีกทั้งกองทัพใหญ่เป่ยหวนของชายแดนชิงและชายแดนเว่ย ไม่นานก็ต้องออกมากดดัน!ชายแดนเมืองกู้ ถูกล้อมรอบทั้งสามด้าน กลายเป็นเมืองโดดเดี่ยวโดยสิ้นเชิง!อีกทั้งกองทัพเป่ยหวนก็ได้เสบียงอาหารอย่างเพียงพอแล้ว มีกำลังถ่วงเวลากับพวกเขาต่อไป!มองย้อนกลับมาที่พวกเขา เดิมพวกเขาก็ไม่ได้พกเสบียงมามากมายเสบียงที่เหลือ อย่างมากก็เพียงพอกับจำนวนสี่หมื่นคนแค่ประมาณห้าวันเท่านั้น!หยุนเจิงกำหมัดแน่น กัดฟันมองหลี่ต้าซาน “พวกเจ้าคุ้มกันเสบียงอาหารสองหมื่น
คำพูดของหยุนเจิงดังก้องเมื่อได้ฟังคำของหยุนเจิง สีหน้าคนไม่น้อยเปลี่ยนไปดูยากขึ้นมา“น้องชายพูดไม่ผิด ต้องเป็นเว่ยเหวินจงคนสารเลวสมคบคิดศัตรู!”ฉินชีหู่ด่านำออกมาก่อน สองดวงตาเปลี่ยนเป็นแดงกล่ำ“ท่านแม่ทัพใหญ่คงไม่บ้าคลั่งเพียงนี้กระมัง?”“ไม่ใช่ก็แปลกแล้ว เพื่อสังหารท่านอ๋อง เว่ยเหวินจงแอบเล่นตุกติดน้อยหรือ?”“ใช่แล้ว! ไม่น่าเล่าเพียงยึดครองชายแดนกู้ได้ก็หนีแล้ว ที่แท้ก็มีความคิดเช่นนี้!”“เว่ยเหวินจง! ข้าจะต้องสับร่างเจ้าเป็นหมื่นชิ้น...”เวลานี้ อารมณ์ทุกคนพลุกพล่านนอกจากคนจำนวนน้อยมาก แม่ทัพแทบทุกคนล้วนด่าเว่ยเหวินจงยกใหญ่ตู๋กูเช่ออ้าปากเล็กน้อย คิดจะบอกให้ทุนคนเลือกสงสัยไร้เหตุผล แต่ก็ลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ไม่อาจกล่าวออกมาได้เว่ยเหวินจงส่งทหารชาวนาชราและอ่อนแอมาคุ้มกันเสบียง กล่าวได้ว่าทำให้กำลังทหารไม่เพียงพอเขาสั่งให้คนเหล่านี้คุ้มกันขนส่งเสบียงในคืนที่ดาวเต็มท้องฟ้า สามารถกล่าวได้ว่ากังวว่าพวกเขาจะคุ้มครองเสบียงไม่พอเป่ยหวนคาดเดาเวลาที่พวกเขาคุ้มกันขนส่งเสบียงได้อย่างแม่นยำเช่นนี้ บังเอิญเกินไปแล้วต่อให้กล่าวว่าเป่ยหวนสายสืบมาสืบล่วงหน้า สายสืบกลับไปรายงาน
อีกทั้ง เป็นไปได้มากว่าว่าไม่มีแม้แต่โอกาสจะบุกฝ่าวงล้อมออกไป!คิดไปคิดมา หยุนเจิงพลันใจกระตุก จากนั้นก็ส่งเสียงออกไป “ห้ามบุกฝ่าวงล้อมออกไปตอนนี้!”ฉินชีหู่หันหน้ามองหยุนเจิง โบกมืออย่างหยาบคาย “น้องชาย เรื่องเคลื่อนทัพสู้รบเจ้าไม่ต้องยุ่ง พวกเรามีขอบเขต! ถึงเช่นไรก็ยังเป็นคำนั้น หากข้าไม่ตาย ต้องปกป้องเจ้าให้ปลอดภัย!”เมื่อได้ฟังคำของฉินชีหู่ ในใจหยุนเจิงทั้งซาบซ้ำทั้งจนปัญญาเขาไม่อยากยุ่ง แต่เขาจำเป็นต้องยุ่ง!“ฟังข้าพูด!”หยุนเจิงส่ายหน้ามองฉินชีหู่ “ตอนนี้ด้านนอกมืดสนิท ในเมื่อเป่ยหวนคิดจู่โจมหน่วยคุ้มกันเสบียงของพวกเรา กองทัพเมืองเว่ยและชิงต้องกดดันเงียบๆ ออกมาแล้ว! หากพวกเขาบุกฝ่าวงล้อมตอนนี้ เป็นไปได้มากว่าจะต้องเผชิญหน้ากับทัพศัตรูสามทาง”นี่เป็นแผนรุกฆาตที่เว่ยเหวินจงและพวกเป่ยหวนร่วมมือกันเป่ยหวนไม่มีทางปล่อยให้กองทัพชายแดนเว่ยและชิงไม่เคลื่อนไหวตอนนี้หากพวกเขาเลือกที่จะบุกฝ่าวงล้อมออกไป บางทีกองทัพทั้งหมดอาจถูกทำลายหมดสิ้นไม่เหลือ!เมื่อได้ฟังคำหยุนเจิง ทุกคนชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็พากันพยักหน้า“จริงด้วย! เดิมเรื่องนี้ก็ออกแบบมาอย่างดี เป่ยหวนไม่มีทางไม่มีการเ
กลับถึงห้อง เสิ่นลั่วเยี่ยนบอกเล่าสถานการณ์กับเมี่ยวอิน เมี่ยวอินอดไม่ได้ที่จะด่ากราดเว่ยเหวินจงคนจิตใจอำมหิตบิดเบี้ยวผู้นี้“พอแล้ว ไม้กลายเป็นเรือแล้ว ต่อให้ด่าไปก็ไร้ประโยชน์ นึกโกรธตัวเองมากกว่า”หยุนเจิงโบกมือ “จะโทษก็ต้องโทษที่พวกเราประมาทเกินไป!”ความจริง ตอนที่เว่ยเหวินจงสั่งให้เว่ยซั่วกลับไปยังป้อมเมืองสุยหนิง เขาควรมีวิธีรับมือแล้วแต่น่าเสียดาย เวลานั้นเขาคิดว่าเว่ยเหวินจงเพียงแค่ไม่อยากให้เว่ยซั่วขัดแย้งกับเขา ถึงสั่งให้เว่ยซั่วกลับไปป้อมเมืองจิ้งอันตอนนี้คิดๆ ดู จึงพบว่าเว่ยเหวินจงอดกลั้นไม่ไหวตั้งแต่เวลานั้นแล้วต่อมา เจียเหยาปล่อยข่าวปลอมว่านางและปานปู้ถูกพิษตาย ทำให้เขาเป็นอัมพาตได้สำเร็จต้องบอกว่า ครั้งนี้เจียเหยาทำได้อย่างสวยงามใช้ประโยชน์ที่เขาแลกเปลี่ยนจางหลิวกับนาง กลับมาทำให้เขาเป็นอัมพาตแล้วโทษที่เขามัวแต่ดีใจอยู่ตรงนั้นผลสุดท้าย คนอื่นกลับสานตาข่ายใหญ่ไว้คลุมพวกเขาแล้ว“เช่นนั้นตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไร?”เมี่ยวอินขมวดคิ้วถาม “รอถูกขังเช่นนี้ต่อไป ก็ไม่ใช่วิธีที่ดี!”“ไม่ต้องรีบร้อน!”หยุนเจิงโบกมือกล่าว “กองกำลังของเป่ยหวนย่อมต้องมีมากกว่าพวกเร
“อืม มีเหตุผล!” หยุนเจิงพยักหน้าเบาๆ แล้วถาม “เช่นนั้นฝั่งโขดเป่ยหยวนเป็นอย่างไร?”ตู๋กูเช่อตอบ “ฝั่งโขดเป่ยหยวนส่วนใหญ่เป็นทหารราบ จำนวนทหารน่าจะไม่ต่ำกว่าสามหมื่น ห่างจากชายแดนกู้เพียงเจ็ดแปดลี้เท่านั้น คนเหล่านั้นขุดดินเพื่อสร้างเป็นแนวป้องกันตั้งแต่แรกแล้ว…”ขุดดินสร้างแนวป้องกัน?กับดัก!นี่มันต้องการจะป้องกันการโจมตีจากทหารม้าของพวกเข้า แล้วล้อมพวกเขาไว้ไม่ใช่หรือ?ดูท่าแล้วเป็นไปอย่างที่ตนคิดไว้จริงๆเป่ยหวนเองก็ไม่อยากเดิมพันครั้งใหญ่มาโจมตีเมือง และคิดอยากใช้วิธีที่ง่ายที่สุดมาล้อมพวกเขารอให้พวกเขาขาดแคลนอาหาร พวกเขาก็จะหิวตาย หรือไม่ก็บุกจากการถูกล้อมด้วยตนเองแต่ทว่า เห็นได้ชัดว่าเป่ยหวนคิดมากไปเป่ยหวนรู้จักฆ่าม้าเป็นอาหาร แล้วพวกเขาจะไม่รู้จักหรือ?ถึงแม้จะไม่อยากสูญเสียม้าศึกเหล่านั้น แต่ชีวิตของคนอย่างไรก็สำคัญกว่าม้าศึกอยู่แล้วเป่ยหวนไม่บุก เช่นนั้นก็ยื้อเวลาต่อไปแล้วกัน!ต่อจากนี้ พวกเขามีเวลาคิดแผนรับมืออีกเหลือเฟือหยุนเจิงแอบหัวเราะในใจ แล้วถาม “แม่ทัพตู๋กู เจ้าคิดว่าเว่ยเหวินจงจะส่งคนไปบุกศัตรูที่อยู่บริเวณโขดใกล้ชายแดนกู้หรือไม่?”“เรื่องนี้…”ตู๋
“หยุนเจิงคนไร้ยางอาย…”คนเป่ยหวนยังคงตะโกนไม่หยุดหย่อนได้ยินเสียงตะโกนนี้แล้ว ทุกคนต่างก็มองไปที่หยุนเจิงอย่างพร้อมเพรียงกันหยุนเจิงใช้จางหลิ่วแลกให้กับเจียเหยาแทนโสม โทสะในใจเจียเหยาจะมากก็ไม่แปลก“มองทำพระแสงอะไร!”หยุนเจิงยิ้มจ้องทุกคน “รวบรวมคนแล้วตะโกนกลับไปว่า ‘ข้าได้ยินแล้ว หยุดส่งเสียงหลอนได้แล้ว!’”ให้ตายเถอะ!หยุนเจิงก็หยุนเจิงสิ!ยังจะเพิ่มคำว่าไร้ยางอายอีก!มารดามันเถอะ!รู้เช่นนี้ก่อนหน้านี้น่าจะนอนเจียเหยาซะ!ให้นางได้รู้ซะว่าไร้ยางอายที่แท้จริงเป็นอย่างไร!ถึงแม้จะไม่นอน ก็น่าจะลูบจับสักหน่อย!ไม่อย่างนั้น ตนก็ต้องแบกรับคำขนานว่าไร้ยางอายนี้เปล่าๆ น่ะสิ?เฮ้อ!น่าเสียดายจริงๆ!“ข้าได้ยินแล้ว หยุดส่งเสียงหลอนได้แล้ว!”ไม่นาน ต้าเฉียนก็รวมตัวตะโกนกลับไปหนึ่งในนั้น เสียงของฉินชีหู่ดังที่สุดเสียงของพวกเขาดังขึ้น เจียเหยาก็โบกมือสั่งห้ทหารม้าข้างกายถอยทัพทันที แล้วยืนม้าหนึ่งตัวต่อคนหนึ่งคนอยู่บนพื้นหิมะ เผยท่าทีบุกเดี่ยวข้ามฟากออกมาหยุนเจิงเห็นดังนั้นรีบเดินลงไปจากหอเมือง“ท่านจะไปจริงหรือ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนขมวดคิ้วมองหยุนเจิง “ระวังนางเล่นตุกติก!”
หยุนเจิงกลับมาจากโรงงานผลิตอาวุธ เพียงแค่เดินมาถึงหน้าจวนอ๋อง ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกวุ่นวายดังมาจากในจวน พอเข้าไปในจวนตามคาด เขาเห็นเหล่าเด็กซนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในลานหน้า ลูกชายสองคนกับลูกสาวหนึ่งคนของฉินชีหู่ รวมถึงลูกชายของอดีตรัชทายาท มาที่จวน และกำลังเล่นปาหิมะกับเสิ่นเนี่ยนฉือและฉีเหยียน เด็กๆ เหล่านั้นต่างสวมเสื้อผ้าหนาเตอะเหมือนหมี แม้จะล้มลงบนพื้นหิมะก็ไม่รู้สึกเจ็บ “คารวะฝ่าบาท!” เมื่อเห็นหยุนเจิงกลับมา อาจารย์ที่คอยดูแลเด็กๆ รีบเข้ามาคารวะ “พอเถอะ ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอยู่ในจวนไม่ต้องเคร่งขนาดนั้น” หยุนเจิงโบกมือพลางถามว่า “พี่สะใภ้ตระกูลฉินมาที่นี่แล้วหรือ?” “เจ้าค่ะ” ซินเซิงยิ้มบางๆ ขณะช่วยปัดหิมะออกจากเสื้อหยุนเจิง พลางตอบว่า “ช่วงบ่ายฮูหยินฉินก็มากับเด็กๆ ตอนนี้คงเล่นไพ่นกกระจอกกับเหล่าพระชายาอยู่” หยุนเจิงว่า “เช่นนั้นข้าไปดูสักหน่อย เจ้าเฝ้าเด็กๆ ไว้ อย่าให้พวกเขาเล่นจนเหงื่อออกมากนัก” “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” ซินเซิงพยักหน้าเบาๆ หยุนเจิงมองดูเด็กซนที่กำลังเล่นอย่างบ้าคลั่ง และครุ่นคิดในใจว่าจะให้พวกเขาทำ “การบ้านช่วงปิดเทอม
ตลอดสองวันที่ผ่านมา เจียเหยาเจรจากับกุ่ยฟางอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าข้อเสนอจากกุ่ยฟางจะเกินกว่าเงื่อนไขขั้นต่ำที่เจียเหยากำหนดไว้ในใจแล้ว แต่นางยังไม่พอใจ นางต้องการต่อรองเพื่อให้ได้ทรัพยากรมากขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่า จุดที่ยังคงเจรจากันไม่ลงตัวอยู่ที่ค่าชดเชยจากสงครามและจำนวนบรรณาการ กุ่ยฟางแสดงเจตนาอย่างชัดเจน หากต้องการค่าชดเชยเพิ่ม จำนวนบรรณาการจะต้องลดลง แต่ในเรื่องจำนวนบรรณาการ เจียเหยาไม่ยอมอ่อนข้อเลย ในที่สุด กุ่ยฟางจำต้องยอมรับข้อกำหนดของเจียเหยาในการถวายบรรณาการตามจำนวนที่นางระบุ ส่วนค่าชดเชยที่กุ่ยฟางสามารถมอบให้ได้ เมื่อคำนวณแล้วอยู่ที่ประมาณร้อยละสี่สิบห้าของข้อเรียกร้องเริ่มต้นของเจียเหยา ผลลัพธ์นี้แม้ไม่ใช่สิ่งที่นางคาดหวังไว้ แต่ก็ดีกว่าที่เจียเหยาประเมินไว้ไม่น้อย เมื่อการเจรจาสิ้นสุด เจียเหยาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ ด้วยทรัพยากรเหล่านี้ ประชาชนแห่งเป่ยหวนจะผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไม่ลำบากนัก “องค์หญิง เหตุใดท่านจึงไม่ยอมอ่อนข้อในเรื่องบรรณาการ?” เกออาซูถามด้วยความไม่เข้าใจ “หากเรายอมลดเงื่อนไขเรื่องบรรณาการ เราก็จะได้สิ่งอื่นเพ
ทว่า สำหรับเจียเหยาในตอนนี้ นี่อาจไม่ใช่เรื่องดีนัก เมื่อผู้ที่เข้าร่วมเจรจาจากกุ่ยฟางมีหลายคน ความเห็นของพวกเขาอาจไม่ตรงกัน การดึงกลยุทธ์นี้อาจทำให้เสียเวลาเพิ่มขึ้น เจียเหยารู้สึกกังวลในใจ แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย “ท่านทูตเชิญนั่งก่อน ข้ามีเรื่องสำคัญต้องจัดการเสียก่อน!” กล่าวจบ เจียเหยาก็ก้มหน้าก้มตาเขียนจดหมายต่อ แต่ความคิดของเจียเหยาในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่จดหมายอีกแล้ว นางดูเหมือนกำลังเขียนจดหมาย แต่แท้จริงแล้วกำลังกดดันอาเคอถูและคณะ นางรู้ว่าชื่อเหยียนต้องมอบอำนาจในการเจรจาบางส่วนให้แก่อาเคอถูและคณะ สิ่งที่นางต้องทำคือการกดดันคณะทูตกุ่ยฟางเพื่อให้ได้ผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น การกระทำของเจียเหยาส่งผลอย่างชัดเจน เมื่อเห็นว่าเจียเหยาดูเหมือนไม่ได้รีบร้อนเจรจาเลย สมาชิกในคณะทูตกุ่ยฟางก็เริ่มมองตากันไปมา สุดท้าย สายตาของทุกคนต่างหันไปที่มู่ลี่จวี เห็นได้ชัดว่ามู่ลี่จวีเป็นผู้คุมการเจรจาครั้งนี้ มู่ลี่จวีรู้สึกโกรธกับความเย็นชาของเจียเหยา แต่เขารู้ดีว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์แสดงความไม่พอใจต่อหน้านาง ชื่อเหยียนมอบอำนาจให้เขาตัดสินใจในบางเรื่องได้จริง แต่ใ
เจียเหยาตัดสินใจหยุดการเคลื่อนทัพต่อ กองทหารของพวกนางถูกส่งออกไปกวาดต้อนทรัพยากร ดินแดนที่พวกนางเข้ายึดครองในตอนนี้เกินกว่าห้าร้อยลี้ไปนานแล้ว แต่เจียเหยาตั้งใจเพียงให้ทัวฮวนและกองทหารยึดครองดินแดนของกุ่ยฟางเพียงสามร้อยลี้ตามเงื่อนไขขั้นต่ำของหยุนเจิงเท่านั้น การยึดครองดินแดนมากกว่านี้ ไม่เพียงเพื่อกวาดต้อนทรัพยากรและกดดันชื่อเหยียน แต่ยังเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในเจรจา ท้ายที่สุด หากนางยอมคืนดินแดนบางส่วนให้ชื่อเหยียน ชื่อเหยียนก็จะไม่สามารถเรียกร้องเงื่อนไขอื่นได้อย่างเข้มงวดนัก ดังที่เจียเหยากล่าวไว้ นางกับหยุนเจิงเป็นคนประเภทเดียวกัน และในตอนนี้ ชื่อเหยียนก็ดูคล้ายกับสถานการณ์ของนางเมื่อก่อนที่ถูกหยุนเจิงกดดันจนถึงทางตัน เพราะเหตุนี้ เจียเหยาจึงเข้าใจจิตใจของชื่อเหยียนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจียเหยาเคยคิดอยากเป็นผู้พิฆาตมังกร แต่สุดท้ายนางกลับกลายเป็นมังกรร้ายเสียเอง สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เจียเหยาจะได้รับคำตอบจากชื่อเหยียน นางกลับได้รับข่าวจากหยุนเจิงผ่านเหยี่ยวขาว “รีบกลับมา ก่อนสิ้นปีมาพบข้าที่ติ้งเป่ย” ข้อความจากหยุนเจิงสั้นมาก เมื่
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง!” เจียเหยากล่าวพลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กุ่ยฟางต้องยอมสวามิภักดิ์และถวายบรรณาการอย่างแน่นอน แต่จำนวนบรรณาการต้องเพิ่มขึ้นอีกร้อยละห้าสิบพร้อมกันนี้ กุ่ยฟางต้องเปิดการค้าเสรีกับต้าเฉียนและเป่ยหวน นอกจากนี้ กุ่ยฟางต้องชดเชยความเสียหายที่เป่ยหวนและต้าเฉียนได้รับจากศึกครั้งนี้ โดยจ่ายชดเชยเป็นทองคำ 100,000 ตำลึง แกะ 100,000 ตัว วัว 30,000 ตัว ม้า 10,000 ตัว และเสบียงอาหาร 4 ล้านตัน และเพื่อเป็นการตอบแทน เจียเหยาจะไม่เรียกร้องให้กุ่ยฟางยกดินแดน 500 ลี้ แต่ลดลงเหลือเพียง 300 ลี้เท่านั้น! ส่วนข้อที่ให้กุ่ยฟางถวายหญิงงาม 100 คนแก่ต้าเฉียนนั้น เจียเหยาได้ยกเว้นให้โดยตรง สำหรับเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆ เจียเหยาก็ยอมรับตามที่กุ่ยฟางเสนอมา เมื่อได้ยินเงื่อนไขของเจียเหยา อาเคอถูรู้สึกราวกับสมองของตนกำลังอื้ออึง การเพิ่มบรรณาการขึ้นร้อยละห้าสิบยังพอว่า แต่เจียเหยากลับเรียกร้องให้กุ่ยฟางจ่ายค่าชดเชยจำนวนมหาศาลในคราวเดียว? อย่าว่าแต่ปศุสัตว์และเสบียงเลย เพียงแค่ทองคำ 100,000 ตำลึง กุ่ยฟางก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว ทองคำ 100,000 ตำลึง
กุ่ยฟางแม้ว่าขณะนี้ดินแดนกุ่ยฟางจะเต็มไปด้วยหิมะที่ปกคลุมไปทั่ว แต่เจียเหยาก็ยังไม่หยุดการเคลื่อนทัพ ด้วยผลจากสิ่งที่พวกเขายึดได้ระหว่างทาง กองทัพของพวกเขาจึงไม่มีใครต้องทนหนาว ทว่าความหนาวเย็นของอากาศยังคงสร้างความลำบากไม่น้อยให้กับพวกเขา ทัวฮวนและจู่หลู่ได้เสนอให้เจียเหยารับคำขอเจรจาของชื่อเหยียนหลายครั้ง แต่เจียเหยาก็ไม่ได้สนใจในตอนนี้ กองทัพของพวกเขาอยู่ห่างจากเมืองหลวงของกุ่ยฟางไม่ถึงหนึ่งร้อยลี้แล้ว! เมื่อเผชิญกับกองทัพที่ประชิดเข้ามา ชื่อเหยียนจึงส่งคนมาเจรจาขอสงบศึกอีกครั้ง ครั้งนี้ เจียเหยาไม่ได้ขับไล่คนที่ชื่อเหยียนส่งมาอีก เจียเหยาได้พบกับอาเคอถูในกระโจมใหญ่ เมื่ออาเคอถูถูกนำตัวเข้ามา เจียเหยากำลังใช้มีดเล็กๆ ตัดเนื้อแกะชิ้นร้อนๆ จากขาแกะส่งเข้าปาก ข้างกายของนาง เกออาซูยืนอยู่พร้อมถือดาบในมือ อาเคอถูไม่ทราบว่าเนื้อแกะนั้นอร่อยเพียงใด แต่เจียเหยากลับดูเหมือนกำลังเพลิดเพลินอย่างมาก “ข้าน้อยคารวะองค์หญิงเจียเหยา!” อาเคอถูคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อถวายคำนับเจียเหยา เจียเหยาช้อนตามองเล็กน้อย มองอาเคอถูอย่างเรียบเฉย “เจ้าควรเรียกข้าว่า ‘องค์หญิ
ฤดูหนาวอันยาวนาน พวกเขามีสิ่งที่ต้องเตรียมการมากมาย หยุนเจิงเดินหาอยู่ในค่ายอยู่นาน จึงเจอฉินชีหู่ในโรงตีเหล็กของค่าย เมื่อเห็นหยุนเจิง ฉินชีหู่ก็รีบถือกระบองหนามที่เขาสั่งการตีด้วยตัวเองเข้ามาหา พลางกล่าวด้วยความภูมิใจ “น้องชาย เจ้าช่างมาถูกเวลา! มาดูอาวุธใหม่ของข้าหน่อยสิ!” “ข้าดูซิ” หยุนเจิงรับกระบองหนามมาจากมือของฉินชีหู่ เพียงแค่จับก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักมหาศาล แม้หยุนเจิงจะฝึกฝนร่างกายร่วมกับเมี่ยวอินมานาน แต่เมื่อถือกระบองหนามนี้ไว้ในมือก็ยังรู้สึกว่าหนักเกินกำลังเล็กน้อย “นี่คงหนักเจ็ดสิบจินได้กระมัง?” หยุนเจิงมองฉินชีหู่ด้วยความตกตะลึง “เจ็ดสิบแปดจิน!” ฉินชีหู่หัวเราะพลางกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “นี่คืออาวุธที่หนักที่สุดในกองทัพแน่นอน!” ตอนนี้ฉินชีหู่หลงใหลในกระบองหนามชนิดนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดาบใหญ่หรือหอกยาว เมื่อเจอกระบองหนามของเขา ก็ต้องยอมแพ้ทั้งนั้น เพียงแค่ฟาดลงไปครั้งเดียว เกราะใดก็ป้องกันไม่ได้! เรียกได้ว่าเทพมาขวางก็กำจัดเทพ พระมาขวางก็กำจัดพระ!” “เจ้ามันแน่!” หยุนเจิงกล่าวเหน็บแนมพลางคืนกระบองหนามให้ฉินชีหู่ “ช่ว
เรื่องการอภิเษกสมรสกับเจียเหยา หยุนเจิงไม่ได้ให้ความสำคัญนัก พลังงานทั้งหมดของเขาทุ่มเทไปกับการเตรียมการกองทัพใหม่ สำหรับกองทัพกุยอี้ หยุนเจิงยังคงยึดหลักการเดิม คือ ในหนึ่งกองทัพต้องประกอบด้วยคนจากหลายแคว้น เพื่อให้พวกเขาตรวจสอบกันเองและป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้น กองทัพกุยอี้สี่หมื่นนาย ถูกขยายมาจากกองกำลังหนึ่งหมื่นกว่าคนของฟู่เทียนเหยียนและพรรคพวก ผู้ที่สร้างผลงานจากศึกก่อนหน้านี้จะถูกแต่งตั้งให้เป็นนายทหารระดับกลางและล่าง ฟู่เทียนเหยียน ฮั่วกู้ จั่วเหริน และเกาเหอ ต่างก็นำกองกำลังหนึ่งหมื่นนาย ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมของพวกเขาในศึกก่อนหน้า หยุนเจิงจึงจัดสรรม้าให้กองทัพกุยอี้หนึ่งหมื่นตัว และจัดตั้งกองทหารม้าห้าพันนาย ซึ่งสังกัดในกองกำลังของฟู่เทียนเหยียน หลังจากจัดการเรื่องกองทัพใหม่เรียบร้อย หยุนเจิงจึงพาคนไปเคารพหลุมศพของตู้กุยหยวน ระหว่างทางกลับ หยุนเจิงครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอนาคต เมื่อการเตรียมการเบื้องต้นเสร็จสิ้น กองทัพกุยอี้ทั้งสี่หมื่นนายจะต้องแยกกันไปฝึก ส่วนกองทัพประจำการใหม่สองหมื่นนาย เรื่องนี้ค่อนข้างง่าย กองกำลังสองหมื่นนี้เดิมทีเป็
หากมิใช่เพราะจักรพรรดิเหวินทรงเตือน เขาคงมิได้คำนึงถึงปัญหานี้เลย “พอแล้ว!” จักรพรรดิเหวินโบกพระหัตถ์ “ข้าจะออกเดินทางในไม่ช้า เจ้าอย่ามาติดตามข้าเลย ไปจัดการธุระของเจ้าเถิด!” “เสด็จพ่อจะเสด็จตอนนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” หยุนเจิงรู้สึกแปลกใจ“ข้าควรไปแล้ว! การปล่อยให้พี่สามของเจ้าติดอยู่ที่ฟู่โจวตลอดก็ไม่ดี” จักรพรรดิเหวินตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้าอย่ามาส่งข้าเลย ไปๆ มาๆ จะเสียเวลาไม่น้อย” “เอ่อ…” หยุนเจิงรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย “ลูกขอส่งเสด็จพ่อออกจากด่านเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” เขายังต้องไปที่ค่ายใหญ่บนเขาห่านป่าหวนกลับอีกครั้ง หากออกเดินทางจากชายแดนชิงจะช่วยประหยัดเวลาไปไม่น้อย ทว่าหากจักรพรรดิเหวินจะเสด็จจากไป แล้วเขาไม่ส่งเสด็จ ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องสมควร “ไม่ต้องแล้ว!” จักรพรรดิเหวินทรงปฏิเสธทันที “อย่างไรเสียเจ้าก็ยังต้องพาเจียเหยาไปที่ฟู่โจวอยู่ดี! เรื่องในมือเจ้าก็ยังมีอีกมากมาย อย่าเสียเวลาเลย เรื่องบ้านเมืองสำคัญกว่า!” เป็นเช่นนี้หรือ? หยุนเจิงลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ลูกขอส่งเสด็จพ่อไปถึงชายแดนกู้เถิดพ่ะย่ะค่ะ!” “ก็ได้!” จักรพ