“หยุนเจิงคนไร้ยางอาย…”คนเป่ยหวนยังคงตะโกนไม่หยุดหย่อนได้ยินเสียงตะโกนนี้แล้ว ทุกคนต่างก็มองไปที่หยุนเจิงอย่างพร้อมเพรียงกันหยุนเจิงใช้จางหลิ่วแลกให้กับเจียเหยาแทนโสม โทสะในใจเจียเหยาจะมากก็ไม่แปลก“มองทำพระแสงอะไร!”หยุนเจิงยิ้มจ้องทุกคน “รวบรวมคนแล้วตะโกนกลับไปว่า ‘ข้าได้ยินแล้ว หยุดส่งเสียงหลอนได้แล้ว!’”ให้ตายเถอะ!หยุนเจิงก็หยุนเจิงสิ!ยังจะเพิ่มคำว่าไร้ยางอายอีก!มารดามันเถอะ!รู้เช่นนี้ก่อนหน้านี้น่าจะนอนเจียเหยาซะ!ให้นางได้รู้ซะว่าไร้ยางอายที่แท้จริงเป็นอย่างไร!ถึงแม้จะไม่นอน ก็น่าจะลูบจับสักหน่อย!ไม่อย่างนั้น ตนก็ต้องแบกรับคำขนานว่าไร้ยางอายนี้เปล่าๆ น่ะสิ?เฮ้อ!น่าเสียดายจริงๆ!“ข้าได้ยินแล้ว หยุดส่งเสียงหลอนได้แล้ว!”ไม่นาน ต้าเฉียนก็รวมตัวตะโกนกลับไปหนึ่งในนั้น เสียงของฉินชีหู่ดังที่สุดเสียงของพวกเขาดังขึ้น เจียเหยาก็โบกมือสั่งห้ทหารม้าข้างกายถอยทัพทันที แล้วยืนม้าหนึ่งตัวต่อคนหนึ่งคนอยู่บนพื้นหิมะ เผยท่าทีบุกเดี่ยวข้ามฟากออกมาหยุนเจิงเห็นดังนั้นรีบเดินลงไปจากหอเมือง“ท่านจะไปจริงหรือ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนขมวดคิ้วมองหยุนเจิง “ระวังนางเล่นตุกติก!”
เจียเหยายังคงไม่โกรธ เพียงแค่ยิ้มอ่อน แล้วกล่าวด้วยท่าทีผู้ชนะ “ตอนนี้พวกเจ้านอกจากปากที่ได้เปรียบแล้ว ก็ทำได้แค่โกรธแล้ว!”เมื่อฟังคำพูดของเจียเหยาแล้ว ฉินชีหู่ก็ชะงักเล็กน้อยเขายังคิดจะแกล้งให้สตรีผู้นี้โกรธด้วย!ไม่คิดว่าสตรีผู้นี้จะไม่ติดกับ“อย่าดีใจไปหน่อยเลย กวางจะตกเป็นของใครยังไม่อาจรู้ได้!”หยุนเจิงยิ้มอย่างไม่แยแส แล้วถามว่า “ว่ามา มาหาข้าทำไม?”เจียเหยาจ้องที่หยุนเจิงเขม็ง แล้วกล่าวอมยิ้ม “ข้ามาเตือนให้ยอมแพ้!”“ฝันไปเถอะ!”เมื่อได้ยินคำพูดของเจียเหยา ฉินชีหู่ก็รีบตะคอกเสียงดุโดยไม่ต้องคิดทันที “พวกข้ายอมตาย แต่ไม่ยอมแพ้หรอก!”ตู๋กูเช่อพยักหน้า เห็นด้วยกับฉินชีหู่“จาจา ใครมอบความกล้าให้เจ้ามาเตือนให้ยอมแพ้กัน?”หยุนเจิงมองเจียเหยาอย่างน่าขัน “หากไม่ใช่เพราะคนของต้าเฉียนร่วมมือกับพวกเจ้า เจ้าไม่มีโอกาสได้ล้อมพวกข้าหรอก เจ้าคิดได้อย่างไรว่าพวกข้าจะยอมแพ้?”“เจ้าไม่ต้องหลอกถามข้าหรอก”เจียเหยามองหยุนเจิงทะลุปรุโปร่ง แล้วเอ่ยนิ่งๆ “ข้าไม่กลัวที่จะบอกความจริงกับเจ้า พวกเจ้าถูกคนของตัวเองขายจริงๆ! อีกอย่าง ข้ายังสามารถบอกเจ้าได้ด้วยว่า ข้ากับราชครูต่างก็สงสัยว่าคนค
สิ้นเสียงเจียเหยา สีหน้าของทั้งสามก็เปลี่ยนไปในบัดดลหยุนเจิงรู้ตัวทันทีว่าเขาลืมตระหนักถึงเรื่องนี้ไปจริงๆมารดามันเถอะ!ชายแดนกู้นั่นเป็นป้อมยุทธนาการเชียวนะ!ทุกอย่างของชายแดนกู้ล้วนทำเพื่อยุทธนาการทั้งนั้น!ข้างในนั้นแม้แต่ต้นไม้ก็มีอยู่ไม่กี่ต้น!ถึงแม้จะทุบบ้านเรือนมาให้หมดมาเป็นฟืน เกรงว่าก็คงเผาได้ไม่กี่วันเท่านั้น!ฆ่าม้าศึกไป ก็ต้องทำให้สุกก่อนกินอยู่แล้ว!คงจะกินดิบจริงๆ ไม่ได้หรอกกระมัง?ชาติก่อนเขาเคยฝึกซ้อมมาสามารถกินเนื้อดิบได้บ้างแต่ทว่าแม่ทัพและทหารในกองคงมีไม่กี่คนเท่านั้นที่กินได้กินเข้าไปก็อาเจียนออกมาแน่นอน!นี่ไม่ใช่เรื่องของการหิวตาย แต่เป็นเรื่องของปฏิกิริยาของร่างกาย!ทว่าปัญหาคือ ม้าศึกของพวกเขาเหลืออาหารอีกไม่กี่วันแล้ว!หากถูกล้อมอยู่อย่างนี้ระยะยาว ม้าศึกเหล่านี้จะตายเพราะความหิวแน่นอน!เมื่อถึงครานั้น ไม่อยากฆ่าม้าศึกก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว!คราวนี้ ดูเหมือนจะยากแล้ว!“เป็นอย่างไร ตอนนี้รู้สถานการณ์ของพวกเจ้าแล้วสินะ?”รอยยิ้มบนใบหน้าของเจียเหยายิ่งสดใส “หากเจ้าไม่สามารถให้คำตอบข้าในตอนนี้ ข้าสามารถให้เวลาเจ้าอีกสามวัน! หลังจากสามวัน หากพว
ขณะที่หยุนเจิงคิดว่าเจียเหยาคิดจะลอบโจมตีนั้น เจียเหยาก็เสียบจดหมายนั่นไว้บนศรธนู แล้วยิงออกไปแต่ทว่า เพราะห่างกันไกลเกินไป ศรธนูนั่นจึงไม่ได้ตกอยู่ข้างกายหยุนเจิงพวกเขา“นี่ถือว่าเป็นแผนการรบของเจ้าหรือไม่?”หยุนเจิงมองเจียเหยาด้วยสีหน้าเย็นชา ไร้รอยยิ้ม“ใช่!”เจียเหยาแค่นเสียงเย็นชา “จดหมายฉบับนี้ ถึงแม้ข้าจะมอบให้เจ้า แต่เจ้าก็ไม่มีโอกาสได้ใช้มันหรอก! เจ้าหนีไม่พ้นหรอก!”กล่าวจบ เจียเหยาก็ควบม้าจากไปอย่างสบายๆฉินชีหู่สติหลุดไปเล็กน้อย จากนั้นควบม้าไปยังศรธนูที่ปักอยู่บนพื้นหิมะ แล้วห้อยตัวลงจากม้าดึงศรธนูนั่นขึ้นมา“ไปกันเถอะ! เราต้องกลับไปเจรจาแผนการรับมือจริงๆ จังๆ แล้ว!”หยุนเจิงมองทั้งสองด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วรีบขี่ม้าไปยังชายแดนกู้ทันทีสถานการณ์ตอนนี้คือจะบุกออกไปก็ไม่ง่าย จะอยู่ต่อก็ไม่ใช่เว่ยเหวินจงไอ้สุนัข ทำให้พวกเขาลำบากจริงๆ!เมื่อกลับถึงชายแดนกู้ ตู๋กูเช่อไม่แม้แต่กินข้าว ก็รีบสั่งให้แม่ทัพทุกคนเข้าประชุมทันทีตู๋กูเช่ออ่านเนื้อหาในจดหมายผ่านๆ แล้วส่งให้กับฝูงชนเนื้อหาในจดหมายเป็นวิธีการรับมือกับพวกเขาทั้งตำแหน่งการจัดวางคนและเวลาขนย้ายเสบียงล้วนเขี
มาถึงข้างนอก หยุนเจิงพลันหาสถานที่เงียบสงบแล้วใช้หิมะบนพื้นทำเป็นโต๊ะทรายอย่างง่ายขึ้นมาอย่างรวดเร็วบุกออกไปจากประตูใต้ กองทหารใหญ่เป่ยหวนที่อยู่ทางประตูเหนือจะเข้ามาเสริมทัพแน่นอนบุกออกไปจากประตูเหนือ ถึงแม้พวกเขาจะออกไปได้แล้ว แต่เกรงว่าคนสี่หมื่นนายนี้คงต้องสูญเสียไปมากกว่าหกส่วนที่สำคัญ พวกเขาส่วนใหญ่ยังเป็นทหารราบด้วยทหารม้าออกไปยังสามารถวิ่งได้แต่ทหารราบถึงแม้จะออกไปได้ ก็ไม่อาจหนีรอดจากการถูกทหารม้าเหล็กเป่ยหวนตามสังหารอยู่ดี!ตอนนี้จะวิ่งก็ไม่ได้ จะสู้ก็ไม่ใช่หากเฝ้าอยู่อย่างนี้ ขอแค่รถขนหินของเป่ยหวนลงสนาม ลำพังแค่ใช้รถขนหินนั่นก็สามารถฆ่าคนของพวdเขาได้ไม่น้อยแล้ว!อีกอย่าง พวกเขาจะเจอกับสถานการณ์มีอาหารแต่ไม่มีไฟได้ในไม่นาน!หากอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีแม้แต่ไฟหุงข้าวนั้น จิตใจทหารของพวกเขาจะไม่แน่วแน่ และไร้ขวัญกำลังใจทันที!ถึงครานั้น เป่ยหวนแค่โจมตีเมือง โอกาสที่พวกเขาจะเฝ้าป้อมได้คงเป็นศูนย์!ดังนั้น หากจะให้เฝ้าอยู่ต่อไป และยื้อเวลากับเป่ยหวนต่อไป ก็ไม่ใช่หนทางที่ดีนัก!หากคิดจะออกไป อย่างไรก็ต้องสู้กับเป่ยหวนเสียก่อน!อีกอย่างต้องลงมือภายในสามวันดีที่สุ
เสิ่นลั่วเยี่ยนถามอย่างไม่เข้าใจหยุนเจิงเหยียดยิ้ม ทว่าในใจกลับเผยรังสีเยือกเย็นออกมา “วิธีน่ะยังไม่มี ตาเราสามารถกัดเนื้อจากคนเป่ยหวนก่อนได้!”หืม?เสิ่นลั่วเยี่ยนไม่เข้าใจเขาหมายความว่าอย่างไร?กัดเนื้อจากศัตรู?กัดอย่างไร?หากกัดไม่ดีขึ้นมา เกรงว่าฟันของตนคงจะร่วงกระมัง?เสิ่นลั่วเยี่ยนสงสัย แล้วส่งสายตาถามให้กับอวี๋ซื่อจงอวี๋ซื่อจงส่ายหน้าเบาๆ บ่งบอกว่าตนเองก็ไม่รู้เช่นกันความคิดของหยุนเจิงไม่อาจคาดเดาได้แต่ไหนแต่ไร เขาจะรู้ความคิดของหยุนเจิงได้อย่างไร!ขณะที่หยุนเจิงพาทั้งสองไปที่ห้องประชุมอีกครั้ง ฝูงชนก็ยังคงเจรจากันอยู่เพียงแต่ เมื่อเห็นท่าทีทอดถอนใจของพวกเขาแล้ว ก็รู้ทันทีว่าไม่มีวิธีรับมือที่เหมาะสมตอนนี้ นอกจากบุกออกไป ดูเหมือนจะไม่มีวิธีที่ดีเท่าไรนักเมื่อเห็นหยุนเจิงกลับมา ฝูงชนทำได้เพียงมองเขาแวบหนึ่ง แล้วครุ่นคิดเหมือนเดิมหยุนเจิงเดินไปตรงหน้าตู๋กูเช่อโดยตรง “แม่ทัพตู๋กู เจ้าลุกขึ้นได้แล้ว!”ลุกขึ้นได้แล้ว?ตู๋กูเช่อขมวดคิ้วมองหยุนเจิงเขาให้ตนลุกขึ้น หมายความว่าอย่างไรกัน?หรือว่าเขาอยากนั่งที่ของตนนั้นหรือ?“ท่านอ๋อง ท่านคงไม่ได้คิดจะยึดอำนา
ทำลายกำแพงเมืองจีนด้วยตนเอง?ฝูงชนมองหยุนเจิงด้วยสีหน้ามึนงงถึงแม้พวกเขาจะไม่เข้าใจว่าอะไรคือกำแพงเมืองจีน แต่ทว่าก็พอเข้าใจความหมายโดยรวมได้หรือว่า หยุนเจิงคิดจะฆ่าตัวตายแล้วค่อยฟื้นคืนชีพ?”ตู๋กูเช่อขมวดคิ้ว ‘ท่านอ๋องพูดให้ละเอียดกว่านี้ได้หรือไม่?”“ได้อยู่แล้ว!”หยุนเจิวพยักหน้า แล้วเพิ่มระดับเสียง “ก่อนที่ข้าจะพูดละเอียดกว่านี้ ข้าต้องทำข้อตกลงสามข้อกับทุกคนก่อน!”ข้อตกลงสามข้อ?ฝูงชนต่าวขมวดคิ้วคิ้วของฉินชีหู่ยิ่งขมวดเข้าติดกันอย่างรวดเร็วหยุนเจิงตรงหน้านี้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้จักเลย“ลองว่ามา!”ตู๋กูเช่อเงยหน้ามองหยุนเจิงหยุนเจิงเองก็ไม่รอช้า ปริปากพูดทันที “ข้อหนึ่ง สถานการณ์ของเราตอนนี้คับขัน ไม่ว่าพวกเจ้าจะมีความคิดอย่างไรกับข้า ก็เก็บเอาไว้ก่อน! สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือบุกออกไปจากการถูกล้อมให้ได้!”หยุนเจิงเผยประโยคนี้ออกไป ผู้คนไม่น้อยต่างก็เริ่มครุ่นคิดในใจขึ้นมาหยุนเจิงคาดเดาได้แล้วว่าผู้คนจะคิดอย่างไรกับเขาในเมื่อเขาคาดเดาได้แล้ว เช่นนั้นก็เท่ากับว่าในใจของเขาย่อมต้องมีความคิดที่ไม่ดีเท่าไรนักอยู่แล้วไม่มากก็น้อยดูท่าแล้ว พวกเขาทุกคนล้วนประเมินท่
“ถูกเผง!”หยุนเจิงมองอวี๋ซื่อจงด้วยสายตาชื่นชม แล้วตอบ “หากเป่ยหวนไม่แบ่งกองกำลังไปที่ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เช่นนั้นเราก็ส่งคนจำนวนน้อยออกไปโจมตีศัตรูทางทิศใต้ปลอมๆ ในตอนดึก แล้วทำท่าทีเหมือนต้องการจะจัดการเส้นทางโขดเป่ยหยวนนี้ออกมา!”“ใช่!”อวี๋ซื่อจงกล่าวอย่างตื่นเต้น “ถึงตอนนั้น กองทหารเป่ยหวนต้องส่งกำลังคนไปสนับสนุนที่ประตูทิศเหนืออยู่แล้ว เช่นนั้นพวกเราก็จะสามารถฆ่าออกไปจากทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ทำให้ศัตรูประหลาดใจ หลังจากที่กำจัดกองกำลังของศัตรูไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว ก็รีบถอยทัพกลับเมือง!”อวี๋ซื่อจงอยู่กับหยุนเจิงหลายวันไม่เสียเปล่า เข้าใจแผนการของหยุนเจิงในบัดดลเมื่อได้ยินคำพูดของอวี๋ซื่อจงแล้ว แววตาของฝูงชนต่างก็เป็นประกายนี่ไม่ใช่ความคิดที่ไม่ดีหากศัตรูติดกับ พวกเขาอาจไม่สามารถกำจัดกองกำลังได้มาก แต่ทว่าแม้จะกำจัดได้กี่ร้อยคน ก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน!ตอนนี้พวกเขาถูกล้อม จำเป็นต้องนำชัยชนะมาปลุกขวัญกำลังใจทหาร!“ถ้าหากศัตรูที่ประตูเหนือไม่ไปสนับสนุนล่ะ?”ฉินชีหู่ขมวดคิ้วถาม“เช่นนั้นก็โจมตีทหารศัตรูทางประตูใต้ครั้งใหญ่!”ตู๋กูเช่อตาเป็นประกาย รีบเสนอแผนการทันท
หยุนเจิงกลับมาจากโรงงานผลิตอาวุธ เพียงแค่เดินมาถึงหน้าจวนอ๋อง ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกวุ่นวายดังมาจากในจวน พอเข้าไปในจวนตามคาด เขาเห็นเหล่าเด็กซนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในลานหน้า ลูกชายสองคนกับลูกสาวหนึ่งคนของฉินชีหู่ รวมถึงลูกชายของอดีตรัชทายาท มาที่จวน และกำลังเล่นปาหิมะกับเสิ่นเนี่ยนฉือและฉีเหยียน เด็กๆ เหล่านั้นต่างสวมเสื้อผ้าหนาเตอะเหมือนหมี แม้จะล้มลงบนพื้นหิมะก็ไม่รู้สึกเจ็บ “คารวะฝ่าบาท!” เมื่อเห็นหยุนเจิงกลับมา อาจารย์ที่คอยดูแลเด็กๆ รีบเข้ามาคารวะ “พอเถอะ ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอยู่ในจวนไม่ต้องเคร่งขนาดนั้น” หยุนเจิงโบกมือพลางถามว่า “พี่สะใภ้ตระกูลฉินมาที่นี่แล้วหรือ?” “เจ้าค่ะ” ซินเซิงยิ้มบางๆ ขณะช่วยปัดหิมะออกจากเสื้อหยุนเจิง พลางตอบว่า “ช่วงบ่ายฮูหยินฉินก็มากับเด็กๆ ตอนนี้คงเล่นไพ่นกกระจอกกับเหล่าพระชายาอยู่” หยุนเจิงว่า “เช่นนั้นข้าไปดูสักหน่อย เจ้าเฝ้าเด็กๆ ไว้ อย่าให้พวกเขาเล่นจนเหงื่อออกมากนัก” “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” ซินเซิงพยักหน้าเบาๆ หยุนเจิงมองดูเด็กซนที่กำลังเล่นอย่างบ้าคลั่ง และครุ่นคิดในใจว่าจะให้พวกเขาทำ “การบ้านช่วงปิดเทอม
ตลอดสองวันที่ผ่านมา เจียเหยาเจรจากับกุ่ยฟางอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าข้อเสนอจากกุ่ยฟางจะเกินกว่าเงื่อนไขขั้นต่ำที่เจียเหยากำหนดไว้ในใจแล้ว แต่นางยังไม่พอใจ นางต้องการต่อรองเพื่อให้ได้ทรัพยากรมากขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่า จุดที่ยังคงเจรจากันไม่ลงตัวอยู่ที่ค่าชดเชยจากสงครามและจำนวนบรรณาการ กุ่ยฟางแสดงเจตนาอย่างชัดเจน หากต้องการค่าชดเชยเพิ่ม จำนวนบรรณาการจะต้องลดลง แต่ในเรื่องจำนวนบรรณาการ เจียเหยาไม่ยอมอ่อนข้อเลย ในที่สุด กุ่ยฟางจำต้องยอมรับข้อกำหนดของเจียเหยาในการถวายบรรณาการตามจำนวนที่นางระบุ ส่วนค่าชดเชยที่กุ่ยฟางสามารถมอบให้ได้ เมื่อคำนวณแล้วอยู่ที่ประมาณร้อยละสี่สิบห้าของข้อเรียกร้องเริ่มต้นของเจียเหยา ผลลัพธ์นี้แม้ไม่ใช่สิ่งที่นางคาดหวังไว้ แต่ก็ดีกว่าที่เจียเหยาประเมินไว้ไม่น้อย เมื่อการเจรจาสิ้นสุด เจียเหยาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ ด้วยทรัพยากรเหล่านี้ ประชาชนแห่งเป่ยหวนจะผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไม่ลำบากนัก “องค์หญิง เหตุใดท่านจึงไม่ยอมอ่อนข้อในเรื่องบรรณาการ?” เกออาซูถามด้วยความไม่เข้าใจ “หากเรายอมลดเงื่อนไขเรื่องบรรณาการ เราก็จะได้สิ่งอื่นเพ
ทว่า สำหรับเจียเหยาในตอนนี้ นี่อาจไม่ใช่เรื่องดีนัก เมื่อผู้ที่เข้าร่วมเจรจาจากกุ่ยฟางมีหลายคน ความเห็นของพวกเขาอาจไม่ตรงกัน การดึงกลยุทธ์นี้อาจทำให้เสียเวลาเพิ่มขึ้น เจียเหยารู้สึกกังวลในใจ แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย “ท่านทูตเชิญนั่งก่อน ข้ามีเรื่องสำคัญต้องจัดการเสียก่อน!” กล่าวจบ เจียเหยาก็ก้มหน้าก้มตาเขียนจดหมายต่อ แต่ความคิดของเจียเหยาในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่จดหมายอีกแล้ว นางดูเหมือนกำลังเขียนจดหมาย แต่แท้จริงแล้วกำลังกดดันอาเคอถูและคณะ นางรู้ว่าชื่อเหยียนต้องมอบอำนาจในการเจรจาบางส่วนให้แก่อาเคอถูและคณะ สิ่งที่นางต้องทำคือการกดดันคณะทูตกุ่ยฟางเพื่อให้ได้ผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น การกระทำของเจียเหยาส่งผลอย่างชัดเจน เมื่อเห็นว่าเจียเหยาดูเหมือนไม่ได้รีบร้อนเจรจาเลย สมาชิกในคณะทูตกุ่ยฟางก็เริ่มมองตากันไปมา สุดท้าย สายตาของทุกคนต่างหันไปที่มู่ลี่จวี เห็นได้ชัดว่ามู่ลี่จวีเป็นผู้คุมการเจรจาครั้งนี้ มู่ลี่จวีรู้สึกโกรธกับความเย็นชาของเจียเหยา แต่เขารู้ดีว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์แสดงความไม่พอใจต่อหน้านาง ชื่อเหยียนมอบอำนาจให้เขาตัดสินใจในบางเรื่องได้จริง แต่ใ
เจียเหยาตัดสินใจหยุดการเคลื่อนทัพต่อ กองทหารของพวกนางถูกส่งออกไปกวาดต้อนทรัพยากร ดินแดนที่พวกนางเข้ายึดครองในตอนนี้เกินกว่าห้าร้อยลี้ไปนานแล้ว แต่เจียเหยาตั้งใจเพียงให้ทัวฮวนและกองทหารยึดครองดินแดนของกุ่ยฟางเพียงสามร้อยลี้ตามเงื่อนไขขั้นต่ำของหยุนเจิงเท่านั้น การยึดครองดินแดนมากกว่านี้ ไม่เพียงเพื่อกวาดต้อนทรัพยากรและกดดันชื่อเหยียน แต่ยังเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในเจรจา ท้ายที่สุด หากนางยอมคืนดินแดนบางส่วนให้ชื่อเหยียน ชื่อเหยียนก็จะไม่สามารถเรียกร้องเงื่อนไขอื่นได้อย่างเข้มงวดนัก ดังที่เจียเหยากล่าวไว้ นางกับหยุนเจิงเป็นคนประเภทเดียวกัน และในตอนนี้ ชื่อเหยียนก็ดูคล้ายกับสถานการณ์ของนางเมื่อก่อนที่ถูกหยุนเจิงกดดันจนถึงทางตัน เพราะเหตุนี้ เจียเหยาจึงเข้าใจจิตใจของชื่อเหยียนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจียเหยาเคยคิดอยากเป็นผู้พิฆาตมังกร แต่สุดท้ายนางกลับกลายเป็นมังกรร้ายเสียเอง สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เจียเหยาจะได้รับคำตอบจากชื่อเหยียน นางกลับได้รับข่าวจากหยุนเจิงผ่านเหยี่ยวขาว “รีบกลับมา ก่อนสิ้นปีมาพบข้าที่ติ้งเป่ย” ข้อความจากหยุนเจิงสั้นมาก เมื่
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง!” เจียเหยากล่าวพลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กุ่ยฟางต้องยอมสวามิภักดิ์และถวายบรรณาการอย่างแน่นอน แต่จำนวนบรรณาการต้องเพิ่มขึ้นอีกร้อยละห้าสิบพร้อมกันนี้ กุ่ยฟางต้องเปิดการค้าเสรีกับต้าเฉียนและเป่ยหวน นอกจากนี้ กุ่ยฟางต้องชดเชยความเสียหายที่เป่ยหวนและต้าเฉียนได้รับจากศึกครั้งนี้ โดยจ่ายชดเชยเป็นทองคำ 100,000 ตำลึง แกะ 100,000 ตัว วัว 30,000 ตัว ม้า 10,000 ตัว และเสบียงอาหาร 4 ล้านตัน และเพื่อเป็นการตอบแทน เจียเหยาจะไม่เรียกร้องให้กุ่ยฟางยกดินแดน 500 ลี้ แต่ลดลงเหลือเพียง 300 ลี้เท่านั้น! ส่วนข้อที่ให้กุ่ยฟางถวายหญิงงาม 100 คนแก่ต้าเฉียนนั้น เจียเหยาได้ยกเว้นให้โดยตรง สำหรับเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆ เจียเหยาก็ยอมรับตามที่กุ่ยฟางเสนอมา เมื่อได้ยินเงื่อนไขของเจียเหยา อาเคอถูรู้สึกราวกับสมองของตนกำลังอื้ออึง การเพิ่มบรรณาการขึ้นร้อยละห้าสิบยังพอว่า แต่เจียเหยากลับเรียกร้องให้กุ่ยฟางจ่ายค่าชดเชยจำนวนมหาศาลในคราวเดียว? อย่าว่าแต่ปศุสัตว์และเสบียงเลย เพียงแค่ทองคำ 100,000 ตำลึง กุ่ยฟางก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว ทองคำ 100,000 ตำลึง
กุ่ยฟางแม้ว่าขณะนี้ดินแดนกุ่ยฟางจะเต็มไปด้วยหิมะที่ปกคลุมไปทั่ว แต่เจียเหยาก็ยังไม่หยุดการเคลื่อนทัพ ด้วยผลจากสิ่งที่พวกเขายึดได้ระหว่างทาง กองทัพของพวกเขาจึงไม่มีใครต้องทนหนาว ทว่าความหนาวเย็นของอากาศยังคงสร้างความลำบากไม่น้อยให้กับพวกเขา ทัวฮวนและจู่หลู่ได้เสนอให้เจียเหยารับคำขอเจรจาของชื่อเหยียนหลายครั้ง แต่เจียเหยาก็ไม่ได้สนใจในตอนนี้ กองทัพของพวกเขาอยู่ห่างจากเมืองหลวงของกุ่ยฟางไม่ถึงหนึ่งร้อยลี้แล้ว! เมื่อเผชิญกับกองทัพที่ประชิดเข้ามา ชื่อเหยียนจึงส่งคนมาเจรจาขอสงบศึกอีกครั้ง ครั้งนี้ เจียเหยาไม่ได้ขับไล่คนที่ชื่อเหยียนส่งมาอีก เจียเหยาได้พบกับอาเคอถูในกระโจมใหญ่ เมื่ออาเคอถูถูกนำตัวเข้ามา เจียเหยากำลังใช้มีดเล็กๆ ตัดเนื้อแกะชิ้นร้อนๆ จากขาแกะส่งเข้าปาก ข้างกายของนาง เกออาซูยืนอยู่พร้อมถือดาบในมือ อาเคอถูไม่ทราบว่าเนื้อแกะนั้นอร่อยเพียงใด แต่เจียเหยากลับดูเหมือนกำลังเพลิดเพลินอย่างมาก “ข้าน้อยคารวะองค์หญิงเจียเหยา!” อาเคอถูคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อถวายคำนับเจียเหยา เจียเหยาช้อนตามองเล็กน้อย มองอาเคอถูอย่างเรียบเฉย “เจ้าควรเรียกข้าว่า ‘องค์หญิ
ฤดูหนาวอันยาวนาน พวกเขามีสิ่งที่ต้องเตรียมการมากมาย หยุนเจิงเดินหาอยู่ในค่ายอยู่นาน จึงเจอฉินชีหู่ในโรงตีเหล็กของค่าย เมื่อเห็นหยุนเจิง ฉินชีหู่ก็รีบถือกระบองหนามที่เขาสั่งการตีด้วยตัวเองเข้ามาหา พลางกล่าวด้วยความภูมิใจ “น้องชาย เจ้าช่างมาถูกเวลา! มาดูอาวุธใหม่ของข้าหน่อยสิ!” “ข้าดูซิ” หยุนเจิงรับกระบองหนามมาจากมือของฉินชีหู่ เพียงแค่จับก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักมหาศาล แม้หยุนเจิงจะฝึกฝนร่างกายร่วมกับเมี่ยวอินมานาน แต่เมื่อถือกระบองหนามนี้ไว้ในมือก็ยังรู้สึกว่าหนักเกินกำลังเล็กน้อย “นี่คงหนักเจ็ดสิบจินได้กระมัง?” หยุนเจิงมองฉินชีหู่ด้วยความตกตะลึง “เจ็ดสิบแปดจิน!” ฉินชีหู่หัวเราะพลางกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “นี่คืออาวุธที่หนักที่สุดในกองทัพแน่นอน!” ตอนนี้ฉินชีหู่หลงใหลในกระบองหนามชนิดนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดาบใหญ่หรือหอกยาว เมื่อเจอกระบองหนามของเขา ก็ต้องยอมแพ้ทั้งนั้น เพียงแค่ฟาดลงไปครั้งเดียว เกราะใดก็ป้องกันไม่ได้! เรียกได้ว่าเทพมาขวางก็กำจัดเทพ พระมาขวางก็กำจัดพระ!” “เจ้ามันแน่!” หยุนเจิงกล่าวเหน็บแนมพลางคืนกระบองหนามให้ฉินชีหู่ “ช่ว
เรื่องการอภิเษกสมรสกับเจียเหยา หยุนเจิงไม่ได้ให้ความสำคัญนัก พลังงานทั้งหมดของเขาทุ่มเทไปกับการเตรียมการกองทัพใหม่ สำหรับกองทัพกุยอี้ หยุนเจิงยังคงยึดหลักการเดิม คือ ในหนึ่งกองทัพต้องประกอบด้วยคนจากหลายแคว้น เพื่อให้พวกเขาตรวจสอบกันเองและป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้น กองทัพกุยอี้สี่หมื่นนาย ถูกขยายมาจากกองกำลังหนึ่งหมื่นกว่าคนของฟู่เทียนเหยียนและพรรคพวก ผู้ที่สร้างผลงานจากศึกก่อนหน้านี้จะถูกแต่งตั้งให้เป็นนายทหารระดับกลางและล่าง ฟู่เทียนเหยียน ฮั่วกู้ จั่วเหริน และเกาเหอ ต่างก็นำกองกำลังหนึ่งหมื่นนาย ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมของพวกเขาในศึกก่อนหน้า หยุนเจิงจึงจัดสรรม้าให้กองทัพกุยอี้หนึ่งหมื่นตัว และจัดตั้งกองทหารม้าห้าพันนาย ซึ่งสังกัดในกองกำลังของฟู่เทียนเหยียน หลังจากจัดการเรื่องกองทัพใหม่เรียบร้อย หยุนเจิงจึงพาคนไปเคารพหลุมศพของตู้กุยหยวน ระหว่างทางกลับ หยุนเจิงครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอนาคต เมื่อการเตรียมการเบื้องต้นเสร็จสิ้น กองทัพกุยอี้ทั้งสี่หมื่นนายจะต้องแยกกันไปฝึก ส่วนกองทัพประจำการใหม่สองหมื่นนาย เรื่องนี้ค่อนข้างง่าย กองกำลังสองหมื่นนี้เดิมทีเป็
หากมิใช่เพราะจักรพรรดิเหวินทรงเตือน เขาคงมิได้คำนึงถึงปัญหานี้เลย “พอแล้ว!” จักรพรรดิเหวินโบกพระหัตถ์ “ข้าจะออกเดินทางในไม่ช้า เจ้าอย่ามาติดตามข้าเลย ไปจัดการธุระของเจ้าเถิด!” “เสด็จพ่อจะเสด็จตอนนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” หยุนเจิงรู้สึกแปลกใจ“ข้าควรไปแล้ว! การปล่อยให้พี่สามของเจ้าติดอยู่ที่ฟู่โจวตลอดก็ไม่ดี” จักรพรรดิเหวินตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้าอย่ามาส่งข้าเลย ไปๆ มาๆ จะเสียเวลาไม่น้อย” “เอ่อ…” หยุนเจิงรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย “ลูกขอส่งเสด็จพ่อออกจากด่านเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” เขายังต้องไปที่ค่ายใหญ่บนเขาห่านป่าหวนกลับอีกครั้ง หากออกเดินทางจากชายแดนชิงจะช่วยประหยัดเวลาไปไม่น้อย ทว่าหากจักรพรรดิเหวินจะเสด็จจากไป แล้วเขาไม่ส่งเสด็จ ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องสมควร “ไม่ต้องแล้ว!” จักรพรรดิเหวินทรงปฏิเสธทันที “อย่างไรเสียเจ้าก็ยังต้องพาเจียเหยาไปที่ฟู่โจวอยู่ดี! เรื่องในมือเจ้าก็ยังมีอีกมากมาย อย่าเสียเวลาเลย เรื่องบ้านเมืองสำคัญกว่า!” เป็นเช่นนี้หรือ? หยุนเจิงลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ลูกขอส่งเสด็จพ่อไปถึงชายแดนกู้เถิดพ่ะย่ะค่ะ!” “ก็ได้!” จักรพ