ห้ามปล่อยให้ไอ้สารเลวไร้ยางอายนี่ชักจูงอีกแล้วต้องตอบโต้!ในเมื่อเป็นการเจรจา เช่นนั้นก็ห้ามปล่อยให้เขาถือไพ่เหนือกว่า!เมื่อได้ยินคำพูดของเจียเหยาแล้ว หยุนเจิงพลันอดไม่ได้แอบด่าในใจผู้หญิงคนนี้ เอาตนเองได้อยู่หมัดจริงๆ“ก็ได้ เช่นนั้นเราก็หยุดเจรจากันก่อนแล้วกัน!”หยุนเจิงลุกขึ้น เปิดประตูแล้วเดินออกไป จากนั้นสั่งการอวี๋ซื่อจงว่า “ขี่ม้าของข้ากลับไปบอกให้พระชายากับเมี่ยวอินเร่งมาที่นี่ แล้วก็นำสุรามาให้มากหน่อย!”“ขอรับ!”อวี๋ซื่อจงรับคำสั่งแล้วปฏิบัติทันที“เจ้าจะต้อนรับข้ารึ?”เจียเหยาเลิกคิ้วถาม“แหง่อยู่แล้วสิ!”หยุนเจิงหันกลับไปยิ้ม “ต้าเฉียนของข้าให้ความสำคัญกับเรื่องมารยาท เจ้าที่เป็นองค์หญิงแห่งเป่ยหวนมาเยือนถึงที่ อย่างไรพวกข้าก็ต้องทำการต้อนรับอยู่แล้ว!”“งั้นรึ?” เจียเหยาเม้มปากยิ้มแย้ม “ในเมื่อจะต้อนรับข้า เหตุใดถึงไม่พาข้าไปที่จวนของเจ้าล่ะ? จะต้อนรับข้าในที่เช่นนี้รึ?”หยุนเจิงแบมือทั้งสองออก “เจ้าไม่สมรสกับข้าสักหน่อย จะไปที่จวนข้าทำไมกัน? ข้าให้เจ้าดื่มสุราที่นี่ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว!”เจียเหยาเบะปาก แค่นเสียงเย็นชา “ข้าว่านะ เจ้าคิดจะมอมสุราข้า แล้วเค
ตกดึก หยุนเจิงสั่งให้คนรับใช้นำเนื้อม้าและข้าวต้มมาให้เจียเหยาหยุนเจิงเองก็ถือชามเนื้อม้าตุ๋นนั่งกินอยู่ตรงหน้าเจียเหยาไอ้สารเลวนี่จงใจชัดๆ!นางไม่รังเกียจการกินเนื้อม้ามิฉะนั้น นางก็คงไม่สั่งทหารให้ฆ่าม้าศึกเป็นอาหารหรอกแต่ทว่านางโกรธเพราะการกระทำของหยุนเจิงต่างหากหยุนเจิงคอยทำท่าทำท่างเป็นผู้ชนะสิบทิศตรงหน้านางอยู่ตลอดเวลา!“อย่ามองข้าสิ! กินของเจ้าไปเลย!”หยุนเจิงเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าใจดีมอบคุณงามความดีให้แก่ข้า ข้าต้องไม่ปล่อยให้เจ้าหิวโซอยู่แล้ว! วางใจเถอะ ข้าไม่วางยาพิษใส่เจ้าหรอก”“เจ้าไม่วางยาพิษใส่ข้าอยู่แล้ว” เจียเหยาเลิกคิ้วกล่าว “เพราะข้าตาย ไม่มีผลประโยชน์อะไรต่อเจ้า”“จริง”หยุนเจิงไม่ปฏิเสธ “ดังนั้น เจ้ากินอย่างสบายได้เลย! ไม่พอเติมได้”“เจ้านี่มันใจกว้างจริงๆ!”เจียเหยากัดฟันมองหยุนเจิง แล้วหยิบเนื้อม้าขึ้นมากัดกินกล่าวตามตรง รสชาตินี้อร่อยกว่าที่พวกเขากินปกติมากทว่าเจียเหยากัดกินอยู่ในปาก ในใจกลับโกรธมากสุดท้าย เจียเหยาทำได้เพียงกินแทนความโกรธ แล้วกัดกินคำโตๆ“ช้าหน่อย ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก!”หยุนเจิงเอ่ยยิ้มแย้ม “อย่างน้อยเจ้าก็เป็นองค์หญิงแห่งเป่ยห
เรียกไปเถอะ!ตนตกอยู่ในกำมือเขา ปล่อยให้เขาเรียกตามสบายไปเถอะ!เจียเหยายิ้มตอบ แล้วหันไปมองหยุนเจิง “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าสงสัยมาตลอด”“เรื่องอะไร?”หยุนเจิงถามยิ้มแย้มเจียเหยาเก็บรอยยิ้ม แล้วมองหยุนเจิงด้วยความสงสัย “เจ้าสามารถทำหิมะถล่มที่ใหญ่เพียงนั้นที่หุบเขามรณะได้อย่างไรกัน? แล้วก็เสียงฟ้าผ่านั่นด้วย เจ้าทำออกมาได้อย่างไร?”“เกี่ยวอะไรกับข้า?”หยุนเจิงเอ่ยยิ้มๆ อย่างนิ่งๆ “พวกเจ้าหลบหลู่เทพเจ้าเอง ทำให้ได้รับบทลงโทษจากเทพเจ้า เหตุใดถึงต้องโยนความผิดมาให้ข้าด้วย? ความผิดบาปของข้าก็มากพอแล้ว เจ้าอย่าเพิ่มบาปให้ข้าอีกเลย”เจียเหยาเลิกคิ้วเบาๆ “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือ?”หยุนเจิงหยักไหล่ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าไม่แยแส “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ข้าเชื่อ”เจียเหยาชะงักเล็กน้อย เกือบจะหลุดโมโหออกมาอีกครั้งไม่นาน ข้าวต้มของเจียเหยาก็มาถึงเจียเหยากินข้าวต้มจนหมดอย่างรวดเร็ว แล้วยื่นมือทั้งสองข้างออกไป“ทำอะไรน่ะ?”หยุนเจิงถามอย่างไม่เข้าใจ“พวกเจ้าไม่มัดตัวข้าไว้หรือ?”เจียเหยาเอ่ยนิ่งๆ “มัดข้าไว้ ข้าจะได้ไม่หนีออกไปนำความดีความชอบไปให้กับเว่ยเหวินจงไงล่ะ”“ไม่ต้องหรอ
เที่ยงวันต่อมา เสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินก็มาถึงแล้วแม้แต่จางซูและหมิงเย่ว์ก็ตามมาด้วยพวกเขาอยากรู้เหมือนกันว่าสตรีที่สามารถยิงธนูพร้อมกันสามลูกนั้นหน้าตาเป็นอย่างไรเมื่อเห็นใบหน้าของเจียเหยาแล้ว ทุกคนต่างก็ประหลาดใจเพราะในความคิดของพวกเขานั้น สตรีของเป่ยหวนล้วนแต่มีรูปร่างกำยำ ผิวพรรณหยาบกร้านทั้งนั้นแต่ทว่า สตรีตรงหน้านี้ ไม่เพียงแต่มีรูปร่างผอมบาง ผิวพรรณก็ดีมากด้วยหากไม่ใช่เพราะนางมีหน้าตาที่แข็งแกร่งล่ะก็ พวกเขาคงไม่เชื่อว่านางเป็นสตรีแห่งเป่ยหวนแน่นอนที่สำคัญ สตรีที่ผิวพรรณนิ่มนวลคนนี้ยังมีทักษะการยิงธนูพร้อมกันสามลูกด้วยถึงแม้จะผ่านไปหลายวันแล้ว แต่ภาพที่เจียเหยายิงธนูพร้อมกันสามลูกยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเสิ่นลั่วเยี่ยนสองสามวันนี้ นางก็ฝึกซ้อมวิธีการยิงธนูสามลูกพร้อมกันเช่นกันแต่ผลที่ได้คือ ยิงศรธนูออกไปแล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเล็งเป้าหรือระยะห่างก็ยังห่างไกลอยู่มากแม้ว่านางจะลดความยากลงเป็นยิงธนูพร้อมกันสองลูก ผลที่ได้ก็แย่เหมือนเคยสตรีทั้งสามสำรวจมองเจียเหยา เจียเหยาเองก็สำรวจมองพวกนางเช่นกันหลังจากนั้นไม่นาน เจียเหยาก็เอ่ยถามหยุนเจิงขึ้น “พวก
ต้องยอมรับว่าสตรีผู้นี้เจ้าเล่ห์จริงๆ“เช่นนั้นท่านจะเอาความดีความชอบนี้หรือไม่?”เมี่ยวอินเอียงศีรษะถาม“เอาอยู่แล้วสิ!”หยุนเจิงพยักหน้า แล้วหัวเราะแห้ง “แม้ว่าจะเป็นแผนการของนาง แต่ข้าก็ต้องเอาความดีความชอบนี้ไว้ให้ได้! เหลือเวลาที่ข้าจะยึดอำนาจควบคุมกองทหารมณฑลฝ่ายเหนือมาไม่มากแล้ว!”หากข้าไม่เอาความดีความชอบนี้ เช่นนั้นก็จะตกเป็นของเว่ยเหวินจง!เขาทำลายความน่าเชื่อถือของเว่ยเหวินจงได้แล้ว เขาจะยอมให้เว่ยเหวินจงใช้โอกาสนี้ทวงคืนความน่าเชื่อถือหรือ?อีกอย่าง ที่พวกเขามาที่ซั่วเป่ยนั้น ก็ตั้งใจจะยึดอำนาจทหารอยู่แล้ว!บัดนี้มีคนช่วยแล้ว พวกเขาจะยอมแพ้นั้นหรือ?เป็นไปไม่ได้หรอก!เสิ่นลั่วเยี่ยนครุ่นคิด แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “หากท่านจะเอาความดีความชอบนี้จริงๆ ก็ต้องเร่งมือสั่งให้คนนำข่าวไปส่งที่เมืองจักรพรรดิ!”“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน”หยุนเจิงส่ายศีรษะ “ตอนนี้ข้ายังลังเลอยู่”“ลังเลอะไร?”เสิ่นลั่วเยี่ยนถามอย่างสงสัยหยุนเจิงเงยหน้ามองจางซู “ตอนนี้ข้ายังต้องทำกิจการกับผู้คน ข้าไม่อยากจ่ายเงิน แต่ก็อยากได้ของ เจ้าคิดว่าควรจะทำอย่างไรดี?”“หา?”จางซูมึนงง ไม่คิดว่า
“สุราดี! สุราคุณภาพดีก็ไม่แรงนี่!”เจียเหยาชื่นชมจากใจ ไม่รอให้พวกเขาได้เอ่ยปาก นางก็รินสุราให้ตนเองอีกถ้วยหนึ่งแล้วจากนั้นดื่มสุราให้หมดในคราวเดียวอีกครั้งหลังจากนั้นราวกับเป็นการแสดงเดี่ยวของเจียเหยาอย่างไรอย่างนั้นเจียเหยาไม่แตะเนื้อเลยแม้แต่นิด เพียงแค่ดื่มสุราถ้วยแล้วถ้วยเล่าเมื่อเห็นว่าสุราถูกนางดื่มไปครึ่งหม้อใหญ่แล้ว แต่นางกลับไม่เป็นอะไรเลยมองดูเจียเหยาที่ไม่มีทีท่าจะมึนเมาเลย ฝูงชนพลันมองหน้ากันอย่างอดไม่ได้พันจอกไม่เมามายจริงหรือนี่?ตามหลักแล้ว สุราที่มีฤทธิ์แรงเพียงนี้ แม้จะคอแข็งมากเพียงใดก็น่าจะเริ่มเมาแล้วนี่!วินาทีนี้ ในใจหยุนเจิงก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นเดียวกันดูท่าแล้ว สตรีผู้นี้จะเป็นคนที่ฤทธิ์สุราทำอะไรไม่ได้แต่กำเนิดสินะให้ตายเถอะ!ผู้หญิงคนนี้เป็นลูกรักพระเจ้าหรือไงกัน?ทักษะการยิงธนูโดดเด่นกว่าใคร ความฉลาดและรูปลักษณ์หน้าตาก็อยู่อันดับต้นๆ ตอนนี้ยังมีทักษะการดื่มสุราเพิ่มมาอีก?นี่มันนักรบครบหกองค์ประกอบชัดๆ!เมื่อเห็นว่าการมอมสุราเจียเหยาไม่เป็นผล ฝูงชนพลันรีบดื่มขึ้นมาหากไม่ดื่ม สุรานี้ก็จะถูกเจียเหยาดื่มจนหมดแล้ว!ขณะที่ฝูงชนกำลัง
ให้ตายเถอะ!แม่นางนี่ไหวพริบดีจริงๆ!นางอ่านจุดประสงค์ของตนออกแล้วจริงหรือ?ได้ยินคำพูดของเจียเหยาแล้ว เสิ่นลั่วเยี่ยนพวกเขาต่างก็พากันมองหน้ากันในนี้ยังมีประตูเช่นนี้อีกบานหรอกหรือ?“เจ้าคิดมากเกินไปแล้วกระมัง?”หมิงเย่ว์กล่าว “ถึงแม้พวกเจ้าจะขาดแคลนเสบียงอาหาร แต่ก็ไม่มีผลกระทบต่อการหมักสุราของพวกเจ้านี่! สุราที่หมักได้นำไปขายเป็นกำไร สามารถซื้อเสบียงมาได้อีกมาก ทำเช่นนี้ซ้ำๆ พวกเจ้าก็จะยิ่งมีเสบียงมากขึ้นไม่ใช่หรือ?”อย่างไรหมิงเย่ว์ก็อยู่กับจางซูพ่อค้าชั่วคนนี้มานานพอควรเช่นกันประสบการณ์การทำกิจการเช่นนี้ นางพอไปวัดไปวาได้อยู่บ้าง“เจ้านั่นแหละคิดมากเกินไป!”เจียเหยาแค่นเสียงเย็นชา “แคว้นเล็กๆ รอบๆ แคว้นพวกข้าเหล่านั้นยังไม่พอจะกินเลย คิดหรือว่าพวกเขาจะมีเสบียงมาแลกสุรากับพวกข้า? มิเช่นนั้น เหตุใดพวกข้าถึงไม่ไปชิงเสบียงจากแคว้นเล็กๆ พวกนั้นแทนที่จะมาชิงเสบียงกับต้าเฉียนล่ะ?”“เอ่อ…”หมิงเย่ว์ชะงักเล็กน้อย พูดอะไรไม่ออกดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง!หากไม่ใช่เพราะหมดหนทาง เป่ยหวนก็ไม่มีเหตุผลต้องมุ่งเป้ามาที่ต้าเฉียนหรอกไปชิงเสบียงจากแคว้นเล็กๆ เหล่านั้น ไม่ง่ายกว
หลังจากที่วิธีวางยาล้มเหลว หยุนเจิงก็เริ่มคิดหาวิธีใหม่เพราะอย่างไร เขาไม่คิดจะปล่อยให้เจียเหยากลับไปอย่างปกติสมบูรณ์อยู่แล้วเพียงแต่น่าเสียดายที่คิดไปคิดมา หยุนเจิงก็คิดหาวิธีที่สมบูรณ์แบบไม่ออกกลางคืน เสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินเดินเข้าไปในห้อง พบว่าหยุนเจิงยังคงครุ่นคิดอย่างคร่ำเครียดอยู่“เจอปัญหายากแล้วสินะ”เมี่ยวอินมองหยุนเจิงยิ้มๆ “ท่านคิดจะเอาชีวิตนางเพียงนี้เชียวหรือ?”หยุนเจิงหลักไหล่ แล้วกล่าวอย่างหมดหนทาง “ก็เพราะจะได้ตัดปัญหาในอนาคตไงเล่า”“ข้าคิดว่าท่านเหมือนมารครอบงำแล้วนะ”เสิ่นลั่วเยี่ยนส่ายศีรษะกล่าว “บนโลกนี้ไม่มีเรื่องสมบูรณ์แบบหรอก ท่านไม่อาจคิดจะได้เปรียบไปเสียหมด! อีกอย่าง ท่านไม่กลัวเจียเหยาเสียหน่อย ไม่ต้องทำให้ตนลำบากขนาดนั้นหรอก…”นางรู้ว่าหยุนเจิงกลัวว่าเจียเหยาจะทำให้ต้าเฉียนต้องสูญเสียมากกว่าเดิมความคิดของหยุนเจิงต้องดีอยู่แล้วเพียงแต่ในสนามรบย่อมต้องเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอยู่แล้วถึงแม้เขาจะได้เมืองสามชายแดนกลับคืนมาตอนนี้ แล้วฆ่าเจียเหยา แต่ในสงครามต่อไป ก็ไม่มีใครรู้ว่าต้าเฉียนจะต้องเผชิญกับการสูญเสียครั้งใหญ่หรือไม่ไม่แน่ หลังจากเขา
หยุนเจิงกลับมาจากโรงงานผลิตอาวุธ เพียงแค่เดินมาถึงหน้าจวนอ๋อง ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกวุ่นวายดังมาจากในจวน พอเข้าไปในจวนตามคาด เขาเห็นเหล่าเด็กซนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในลานหน้า ลูกชายสองคนกับลูกสาวหนึ่งคนของฉินชีหู่ รวมถึงลูกชายของอดีตรัชทายาท มาที่จวน และกำลังเล่นปาหิมะกับเสิ่นเนี่ยนฉือและฉีเหยียน เด็กๆ เหล่านั้นต่างสวมเสื้อผ้าหนาเตอะเหมือนหมี แม้จะล้มลงบนพื้นหิมะก็ไม่รู้สึกเจ็บ “คารวะฝ่าบาท!” เมื่อเห็นหยุนเจิงกลับมา อาจารย์ที่คอยดูแลเด็กๆ รีบเข้ามาคารวะ “พอเถอะ ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอยู่ในจวนไม่ต้องเคร่งขนาดนั้น” หยุนเจิงโบกมือพลางถามว่า “พี่สะใภ้ตระกูลฉินมาที่นี่แล้วหรือ?” “เจ้าค่ะ” ซินเซิงยิ้มบางๆ ขณะช่วยปัดหิมะออกจากเสื้อหยุนเจิง พลางตอบว่า “ช่วงบ่ายฮูหยินฉินก็มากับเด็กๆ ตอนนี้คงเล่นไพ่นกกระจอกกับเหล่าพระชายาอยู่” หยุนเจิงว่า “เช่นนั้นข้าไปดูสักหน่อย เจ้าเฝ้าเด็กๆ ไว้ อย่าให้พวกเขาเล่นจนเหงื่อออกมากนัก” “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” ซินเซิงพยักหน้าเบาๆ หยุนเจิงมองดูเด็กซนที่กำลังเล่นอย่างบ้าคลั่ง และครุ่นคิดในใจว่าจะให้พวกเขาทำ “การบ้านช่วงปิดเทอม
ตลอดสองวันที่ผ่านมา เจียเหยาเจรจากับกุ่ยฟางอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าข้อเสนอจากกุ่ยฟางจะเกินกว่าเงื่อนไขขั้นต่ำที่เจียเหยากำหนดไว้ในใจแล้ว แต่นางยังไม่พอใจ นางต้องการต่อรองเพื่อให้ได้ทรัพยากรมากขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่า จุดที่ยังคงเจรจากันไม่ลงตัวอยู่ที่ค่าชดเชยจากสงครามและจำนวนบรรณาการ กุ่ยฟางแสดงเจตนาอย่างชัดเจน หากต้องการค่าชดเชยเพิ่ม จำนวนบรรณาการจะต้องลดลง แต่ในเรื่องจำนวนบรรณาการ เจียเหยาไม่ยอมอ่อนข้อเลย ในที่สุด กุ่ยฟางจำต้องยอมรับข้อกำหนดของเจียเหยาในการถวายบรรณาการตามจำนวนที่นางระบุ ส่วนค่าชดเชยที่กุ่ยฟางสามารถมอบให้ได้ เมื่อคำนวณแล้วอยู่ที่ประมาณร้อยละสี่สิบห้าของข้อเรียกร้องเริ่มต้นของเจียเหยา ผลลัพธ์นี้แม้ไม่ใช่สิ่งที่นางคาดหวังไว้ แต่ก็ดีกว่าที่เจียเหยาประเมินไว้ไม่น้อย เมื่อการเจรจาสิ้นสุด เจียเหยาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ ด้วยทรัพยากรเหล่านี้ ประชาชนแห่งเป่ยหวนจะผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไม่ลำบากนัก “องค์หญิง เหตุใดท่านจึงไม่ยอมอ่อนข้อในเรื่องบรรณาการ?” เกออาซูถามด้วยความไม่เข้าใจ “หากเรายอมลดเงื่อนไขเรื่องบรรณาการ เราก็จะได้สิ่งอื่นเพ
ทว่า สำหรับเจียเหยาในตอนนี้ นี่อาจไม่ใช่เรื่องดีนัก เมื่อผู้ที่เข้าร่วมเจรจาจากกุ่ยฟางมีหลายคน ความเห็นของพวกเขาอาจไม่ตรงกัน การดึงกลยุทธ์นี้อาจทำให้เสียเวลาเพิ่มขึ้น เจียเหยารู้สึกกังวลในใจ แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย “ท่านทูตเชิญนั่งก่อน ข้ามีเรื่องสำคัญต้องจัดการเสียก่อน!” กล่าวจบ เจียเหยาก็ก้มหน้าก้มตาเขียนจดหมายต่อ แต่ความคิดของเจียเหยาในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่จดหมายอีกแล้ว นางดูเหมือนกำลังเขียนจดหมาย แต่แท้จริงแล้วกำลังกดดันอาเคอถูและคณะ นางรู้ว่าชื่อเหยียนต้องมอบอำนาจในการเจรจาบางส่วนให้แก่อาเคอถูและคณะ สิ่งที่นางต้องทำคือการกดดันคณะทูตกุ่ยฟางเพื่อให้ได้ผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น การกระทำของเจียเหยาส่งผลอย่างชัดเจน เมื่อเห็นว่าเจียเหยาดูเหมือนไม่ได้รีบร้อนเจรจาเลย สมาชิกในคณะทูตกุ่ยฟางก็เริ่มมองตากันไปมา สุดท้าย สายตาของทุกคนต่างหันไปที่มู่ลี่จวี เห็นได้ชัดว่ามู่ลี่จวีเป็นผู้คุมการเจรจาครั้งนี้ มู่ลี่จวีรู้สึกโกรธกับความเย็นชาของเจียเหยา แต่เขารู้ดีว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์แสดงความไม่พอใจต่อหน้านาง ชื่อเหยียนมอบอำนาจให้เขาตัดสินใจในบางเรื่องได้จริง แต่ใ
เจียเหยาตัดสินใจหยุดการเคลื่อนทัพต่อ กองทหารของพวกนางถูกส่งออกไปกวาดต้อนทรัพยากร ดินแดนที่พวกนางเข้ายึดครองในตอนนี้เกินกว่าห้าร้อยลี้ไปนานแล้ว แต่เจียเหยาตั้งใจเพียงให้ทัวฮวนและกองทหารยึดครองดินแดนของกุ่ยฟางเพียงสามร้อยลี้ตามเงื่อนไขขั้นต่ำของหยุนเจิงเท่านั้น การยึดครองดินแดนมากกว่านี้ ไม่เพียงเพื่อกวาดต้อนทรัพยากรและกดดันชื่อเหยียน แต่ยังเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในเจรจา ท้ายที่สุด หากนางยอมคืนดินแดนบางส่วนให้ชื่อเหยียน ชื่อเหยียนก็จะไม่สามารถเรียกร้องเงื่อนไขอื่นได้อย่างเข้มงวดนัก ดังที่เจียเหยากล่าวไว้ นางกับหยุนเจิงเป็นคนประเภทเดียวกัน และในตอนนี้ ชื่อเหยียนก็ดูคล้ายกับสถานการณ์ของนางเมื่อก่อนที่ถูกหยุนเจิงกดดันจนถึงทางตัน เพราะเหตุนี้ เจียเหยาจึงเข้าใจจิตใจของชื่อเหยียนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจียเหยาเคยคิดอยากเป็นผู้พิฆาตมังกร แต่สุดท้ายนางกลับกลายเป็นมังกรร้ายเสียเอง สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เจียเหยาจะได้รับคำตอบจากชื่อเหยียน นางกลับได้รับข่าวจากหยุนเจิงผ่านเหยี่ยวขาว “รีบกลับมา ก่อนสิ้นปีมาพบข้าที่ติ้งเป่ย” ข้อความจากหยุนเจิงสั้นมาก เมื่
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง!” เจียเหยากล่าวพลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กุ่ยฟางต้องยอมสวามิภักดิ์และถวายบรรณาการอย่างแน่นอน แต่จำนวนบรรณาการต้องเพิ่มขึ้นอีกร้อยละห้าสิบพร้อมกันนี้ กุ่ยฟางต้องเปิดการค้าเสรีกับต้าเฉียนและเป่ยหวน นอกจากนี้ กุ่ยฟางต้องชดเชยความเสียหายที่เป่ยหวนและต้าเฉียนได้รับจากศึกครั้งนี้ โดยจ่ายชดเชยเป็นทองคำ 100,000 ตำลึง แกะ 100,000 ตัว วัว 30,000 ตัว ม้า 10,000 ตัว และเสบียงอาหาร 4 ล้านตัน และเพื่อเป็นการตอบแทน เจียเหยาจะไม่เรียกร้องให้กุ่ยฟางยกดินแดน 500 ลี้ แต่ลดลงเหลือเพียง 300 ลี้เท่านั้น! ส่วนข้อที่ให้กุ่ยฟางถวายหญิงงาม 100 คนแก่ต้าเฉียนนั้น เจียเหยาได้ยกเว้นให้โดยตรง สำหรับเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆ เจียเหยาก็ยอมรับตามที่กุ่ยฟางเสนอมา เมื่อได้ยินเงื่อนไขของเจียเหยา อาเคอถูรู้สึกราวกับสมองของตนกำลังอื้ออึง การเพิ่มบรรณาการขึ้นร้อยละห้าสิบยังพอว่า แต่เจียเหยากลับเรียกร้องให้กุ่ยฟางจ่ายค่าชดเชยจำนวนมหาศาลในคราวเดียว? อย่าว่าแต่ปศุสัตว์และเสบียงเลย เพียงแค่ทองคำ 100,000 ตำลึง กุ่ยฟางก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว ทองคำ 100,000 ตำลึง
กุ่ยฟางแม้ว่าขณะนี้ดินแดนกุ่ยฟางจะเต็มไปด้วยหิมะที่ปกคลุมไปทั่ว แต่เจียเหยาก็ยังไม่หยุดการเคลื่อนทัพ ด้วยผลจากสิ่งที่พวกเขายึดได้ระหว่างทาง กองทัพของพวกเขาจึงไม่มีใครต้องทนหนาว ทว่าความหนาวเย็นของอากาศยังคงสร้างความลำบากไม่น้อยให้กับพวกเขา ทัวฮวนและจู่หลู่ได้เสนอให้เจียเหยารับคำขอเจรจาของชื่อเหยียนหลายครั้ง แต่เจียเหยาก็ไม่ได้สนใจในตอนนี้ กองทัพของพวกเขาอยู่ห่างจากเมืองหลวงของกุ่ยฟางไม่ถึงหนึ่งร้อยลี้แล้ว! เมื่อเผชิญกับกองทัพที่ประชิดเข้ามา ชื่อเหยียนจึงส่งคนมาเจรจาขอสงบศึกอีกครั้ง ครั้งนี้ เจียเหยาไม่ได้ขับไล่คนที่ชื่อเหยียนส่งมาอีก เจียเหยาได้พบกับอาเคอถูในกระโจมใหญ่ เมื่ออาเคอถูถูกนำตัวเข้ามา เจียเหยากำลังใช้มีดเล็กๆ ตัดเนื้อแกะชิ้นร้อนๆ จากขาแกะส่งเข้าปาก ข้างกายของนาง เกออาซูยืนอยู่พร้อมถือดาบในมือ อาเคอถูไม่ทราบว่าเนื้อแกะนั้นอร่อยเพียงใด แต่เจียเหยากลับดูเหมือนกำลังเพลิดเพลินอย่างมาก “ข้าน้อยคารวะองค์หญิงเจียเหยา!” อาเคอถูคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อถวายคำนับเจียเหยา เจียเหยาช้อนตามองเล็กน้อย มองอาเคอถูอย่างเรียบเฉย “เจ้าควรเรียกข้าว่า ‘องค์หญิ
ฤดูหนาวอันยาวนาน พวกเขามีสิ่งที่ต้องเตรียมการมากมาย หยุนเจิงเดินหาอยู่ในค่ายอยู่นาน จึงเจอฉินชีหู่ในโรงตีเหล็กของค่าย เมื่อเห็นหยุนเจิง ฉินชีหู่ก็รีบถือกระบองหนามที่เขาสั่งการตีด้วยตัวเองเข้ามาหา พลางกล่าวด้วยความภูมิใจ “น้องชาย เจ้าช่างมาถูกเวลา! มาดูอาวุธใหม่ของข้าหน่อยสิ!” “ข้าดูซิ” หยุนเจิงรับกระบองหนามมาจากมือของฉินชีหู่ เพียงแค่จับก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักมหาศาล แม้หยุนเจิงจะฝึกฝนร่างกายร่วมกับเมี่ยวอินมานาน แต่เมื่อถือกระบองหนามนี้ไว้ในมือก็ยังรู้สึกว่าหนักเกินกำลังเล็กน้อย “นี่คงหนักเจ็ดสิบจินได้กระมัง?” หยุนเจิงมองฉินชีหู่ด้วยความตกตะลึง “เจ็ดสิบแปดจิน!” ฉินชีหู่หัวเราะพลางกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “นี่คืออาวุธที่หนักที่สุดในกองทัพแน่นอน!” ตอนนี้ฉินชีหู่หลงใหลในกระบองหนามชนิดนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดาบใหญ่หรือหอกยาว เมื่อเจอกระบองหนามของเขา ก็ต้องยอมแพ้ทั้งนั้น เพียงแค่ฟาดลงไปครั้งเดียว เกราะใดก็ป้องกันไม่ได้! เรียกได้ว่าเทพมาขวางก็กำจัดเทพ พระมาขวางก็กำจัดพระ!” “เจ้ามันแน่!” หยุนเจิงกล่าวเหน็บแนมพลางคืนกระบองหนามให้ฉินชีหู่ “ช่ว
เรื่องการอภิเษกสมรสกับเจียเหยา หยุนเจิงไม่ได้ให้ความสำคัญนัก พลังงานทั้งหมดของเขาทุ่มเทไปกับการเตรียมการกองทัพใหม่ สำหรับกองทัพกุยอี้ หยุนเจิงยังคงยึดหลักการเดิม คือ ในหนึ่งกองทัพต้องประกอบด้วยคนจากหลายแคว้น เพื่อให้พวกเขาตรวจสอบกันเองและป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้น กองทัพกุยอี้สี่หมื่นนาย ถูกขยายมาจากกองกำลังหนึ่งหมื่นกว่าคนของฟู่เทียนเหยียนและพรรคพวก ผู้ที่สร้างผลงานจากศึกก่อนหน้านี้จะถูกแต่งตั้งให้เป็นนายทหารระดับกลางและล่าง ฟู่เทียนเหยียน ฮั่วกู้ จั่วเหริน และเกาเหอ ต่างก็นำกองกำลังหนึ่งหมื่นนาย ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมของพวกเขาในศึกก่อนหน้า หยุนเจิงจึงจัดสรรม้าให้กองทัพกุยอี้หนึ่งหมื่นตัว และจัดตั้งกองทหารม้าห้าพันนาย ซึ่งสังกัดในกองกำลังของฟู่เทียนเหยียน หลังจากจัดการเรื่องกองทัพใหม่เรียบร้อย หยุนเจิงจึงพาคนไปเคารพหลุมศพของตู้กุยหยวน ระหว่างทางกลับ หยุนเจิงครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอนาคต เมื่อการเตรียมการเบื้องต้นเสร็จสิ้น กองทัพกุยอี้ทั้งสี่หมื่นนายจะต้องแยกกันไปฝึก ส่วนกองทัพประจำการใหม่สองหมื่นนาย เรื่องนี้ค่อนข้างง่าย กองกำลังสองหมื่นนี้เดิมทีเป็
หากมิใช่เพราะจักรพรรดิเหวินทรงเตือน เขาคงมิได้คำนึงถึงปัญหานี้เลย “พอแล้ว!” จักรพรรดิเหวินโบกพระหัตถ์ “ข้าจะออกเดินทางในไม่ช้า เจ้าอย่ามาติดตามข้าเลย ไปจัดการธุระของเจ้าเถิด!” “เสด็จพ่อจะเสด็จตอนนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” หยุนเจิงรู้สึกแปลกใจ“ข้าควรไปแล้ว! การปล่อยให้พี่สามของเจ้าติดอยู่ที่ฟู่โจวตลอดก็ไม่ดี” จักรพรรดิเหวินตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้าอย่ามาส่งข้าเลย ไปๆ มาๆ จะเสียเวลาไม่น้อย” “เอ่อ…” หยุนเจิงรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย “ลูกขอส่งเสด็จพ่อออกจากด่านเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” เขายังต้องไปที่ค่ายใหญ่บนเขาห่านป่าหวนกลับอีกครั้ง หากออกเดินทางจากชายแดนชิงจะช่วยประหยัดเวลาไปไม่น้อย ทว่าหากจักรพรรดิเหวินจะเสด็จจากไป แล้วเขาไม่ส่งเสด็จ ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องสมควร “ไม่ต้องแล้ว!” จักรพรรดิเหวินทรงปฏิเสธทันที “อย่างไรเสียเจ้าก็ยังต้องพาเจียเหยาไปที่ฟู่โจวอยู่ดี! เรื่องในมือเจ้าก็ยังมีอีกมากมาย อย่าเสียเวลาเลย เรื่องบ้านเมืองสำคัญกว่า!” เป็นเช่นนี้หรือ? หยุนเจิงลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ลูกขอส่งเสด็จพ่อไปถึงชายแดนกู้เถิดพ่ะย่ะค่ะ!” “ก็ได้!” จักรพ