ยามรัตติกาล จักรพรรดิเหวินยังคงอยู่ในห้องทรงพระอักษรเนื่องมาจากเรื่องของคณะทูตเป่ยหวน จักรพรรดิเหวินจึงไม่ได้สนใจสนมเหล่านั้นแล้วเขาไม่มีจิตใจไปคิดเรื่องนั้นจริงๆ!ครุ่นคิดถึงเรื่องที่จะปรึกษาหารือคณะทูตเป่ยหวนขอเสบียง จักรพรรดิเหวินก็กลุ้มพระทัยจนบรรทมไม่หลับ“ก๊อกๆ…”ทันใดนั้นเองเสียงเคาะประตูจากด้านนอกก็ดังขึ้น“เข้ามา!”จักรพรรดิเหวินเงยพระพักตร์ขึ้นด้วยสีพระพักตร์ที่เหนื่อยล้าองครักษ์เงารุดเดินเข้ามากระซิบถ้อยคำซึ่งเป็นความลับข้างพระกรรณเมื่อได้ยินถ้อยคำขององครักษ์เงาเข้า จู่ๆ นัยน์พระเนตรจักรพรรดิเหวินแผ่ซ่านจิตสังหารออกมาทันที“เป็นเรื่องจริงแท้แน่ชัดหรือไม่?”จักรพรรดิเหวินตรัสถามด้วยสีพระพักตร์ที่เย็นชาองครักษ์เงาพยักหน้าช้าๆ“ช่างบังอาจยิ่งนัก!”นัยน์พระเนตรจักรพรรดิเหวินเต็มไปด้วยจิตสังหารหลังจากศึกการสู้รบเมื่อห้าปีก่อน เขาได้กำชับทุกกรมอย่างเคร่งครัดให้จัดการเงินบำรุงขวัญให้กับครอบครัวเหล่าทหารผู้พลีชีพอย่าให้ขาดตกบกพร่องผู้ใดกล้าทุจริตยักยอก ต้องถูกลงโทษขั้นเด็ดขาด!นึกไม่ถึงเลยว่าจะคนกล้ากระทำเรื่องเช่นนี้ขึ้น!หลังจากพยายามระงับโท
“...”หยุนเจิงหมดคำจะพูดจริงๆประสาทไปแล้วหรือไร!ดึกๆ ดื่นๆ วิ่งเต้นมาหาข้าถึงที่นี่ด้วยเหตุใดกันหรือเพราะเรื่องการทุจริตยักยอกเงินบำรุงขวัญอย่างนั้นหรือ“เจ้าไปเตรียมชา ประเดี๋ยวข้าตามไป!”หยุนเจิงสั่งการ และลุกจากเตียงซินเซิงรุดวิ่งพรวดพราดเข้ามา “องค์ชาย ให้ข้าน้อยเปลี่ยนอาภรณ์ให้เถอะเพคะ!”“เอาล่ะๆ ไม่ต้อง! ข้าเปลี่ยนเอง!”หยุนเจิงปฏิเสธซินเซิงและเปลี่ยนชุดเองไม่นานนักหยุนเจิงก็เปลี่ยนชุดเสร็จและเดินออกมานอกห้องเมื่อเห็นหยุนเจิง ขันทีในวังก็รีบโค้งทำความเคารพ “องค์ชาย ฝ่าบาทมีพระบัญชาว่าการประชุมหารือในวันพรุ่งจะเริ่มก่อนเวลาที่กำหนดไว้ครึ่งชั่วยามพ่ะย่ะค่ะ”นี่กำลังล้อเล่นอันใดกัน?เริ่มก่อนเวลาที่กำหนดไว้ครึ่งชั่วยาม?นี่มันบ้าอะไรกัน?จะไม่ให้หลับนอนเลยหรืออย่างไร“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว”หยุนเจิงตอบด้วยความหดหู่ และถามต่ออีกว่า “เกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นหรือ?”“กระหม่อมไม่อาจทราบได้พ่ะย่ะค่ะ”ขันทีผู่ส่งข่าวกล่าว “แต่ดูจากสีหน้าของหัวหน้าขันทีมู่แล้วคงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“เอาล่ะ ขอบใจเจ้ามาก”หยุนเจิงหยักหน้า และให้ผู้ดูแลจวนตบรางว
เมื่อได้ยินจักรพรรดิเหวินตรัสเช่นนี้ เหล่าขุนนางก็เข้าใจได้ทันทีไส้ศึก!มีคนในราชสำนักแอบส่งข่าวให้กับคณะทูตเป่ยหวน!มิน่าล่ะว่าเหตุใดจักรพรรดิเหวินถึงได้โกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้ที่แท้ก็กำลังจะมีคนซวยนี่เอง!หยุนลี่กับสวีสือฝู่แอบสบตากัน แอบหัวเราะอยู่ในใจ!เป็นอย่างที่พวกเขาคาดเอาไว้ไม่มีผิด!ปานปู้เคลื่อนไหวตามแผนที่วางไว้แล้ว!หยุนลี่เงยหน้ามองหยุนเจิง แอบสะใจอยู่ในใจเจ้าคนขี้ขลาด!นี่คือจุดจบที่เจ้ากล้าบังอาจล่วงเกินข้า!หยุนเจิงก้มหน้า แอบดีใจอยู่ในใจบัดซบ!โชคดีนะที่บิดาได้เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า!มิเช่นนั้นเกรงว่าต้องโดนเล่นงานไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเป็นแน่!มู่ซุ่นโค้งคำนับด้วยความเคารพ สองมือหงายรับจดหมายฉบับนั้นมาจากจักรพรรดิเหวิน และอ่านจดหมายฉบับนั้นต่อหน้าเหล่าขุนนางทั้งท้องพระโรง “องค์ชายหก…”ข้อความในจดหมายนั้นเป็นถ้อยคำง่ายมากก็แค่ปานปู้เขียนจดหมายแจ้งหยุนเจิงว่า ในงานเลี้ยงต้อนรับก่อนหน้านี้ เขาได้ร่วมมือกับหยุนเจิงแสดงละครฉากใหญ่นั้นจนจบ และในการประชุมหารือเรื่องขอเสบียงในวันนี้ ขอให้หยุนเจิงช่วยสนับสนุนให้สักหน่อย! หากสำเร็จ เป่ยหวนจะขอบคุ
“หุบปาก!”ทันใดนั้นจักรพรรดิเหวินก็ตะคอกออกมาจนถึงตอนนี้เองทุกคนถึงจะเงียบปากลง“เจ้าหก เจ้ามีอันใดจะพูดหรือไม่?”สายตาของจักรพรรดิเหวินจ้องมองและกล่าวถามหยุนเจิงอย่างดุดันหยุนเจิงส่ายหน้าช้าๆ ยิ้มเจื่อนๆ พลางกล่าว “ลูก…ไม่มีอันใดจะพูดพ่ะย่ะค่ะ”“พูดเช่นนี้แสดงว่าเจ้ายอมรับแล้วอย่างนั้นหรือ”แสงเย็นวาบผ่านดวงตาของจักรพรรดิเหวิน“ลูกจะยอมรับหรือไม่ มันก็ไม่ได้ต่างอันใดกันหรอกพ่ะย่ะค่ะ”หยุนเจิงยิ้มเจื่อนและกล่าวต่อ “ลูกไม่อาจแก้ตัวและไม่อาจพิสูจน์ความบริสุทธ์ได้พ่ะย่ะค่ะ! ต่อให้ลูกไม่ยอมรับ แต่หลักฐานที่คนของเป่ยหวนทิ้งให้ประจักษ์ตรงหน้าเช่นนี้แล้ว ลูกยังจะพูดอันใดได้อีกล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”“องค์ชายหก ท่านสามารถแก้ตัวได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวว่านโฉวกล่าวเตือน “องค์ชายหกบอกว่ารูบิคนั่นอ่านเจอมาจากตำราโบราณเล่มหนึ่งไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายหกเอาตำราโบราณเล่มนั้นออกมา เช่นนี้ก็สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ขององค์ชายได้แล้ว”นี่เป็นโอกาสเดียวที่หยุนเจิงจะพิสูจน์ได้ว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่เขาเอาตำราเล่มนั้นออกมา ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าเขาไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับพวกเป่ยห
เหล่าบรรดาขุนนางต่างเอ่ยปากกล่าว ทว่า จักรพรรดิเหวินกลับไม่ได้เอ่ยปากกล่าวสิ่งใดออกมา“ฝ่าบาท มิสู้ให้โอกาสองค์ชายหกได้เผชิญหน้ากับคณะทูตเป่ยหวนสักครั้งล่ะพ่ะย่ะค่ะ”ในตอนนี้ เซียวว่านโฉวเอ่ยปากกล่าวอีกครั้ง พยายามเป็นครั้งสุดท้าย“องค์ชายหกเองก็ยอมรับแล้ว ยังต้องเผชิญหน้ากันอีกหรือ”สวีสือฝู่กล่าวเสียงแข็ง “ต่อให้จะให้โอกาสองค์ชายหกได้เผชิญหน้ากับคณะทูตเป่ยหวน แต่คิดหรือว่าคณะทูตเป่ยหวนจะยอมรับ?”คำพูดของสวีสือฝู่ได้รับการสนับสนุนจากเหล่าขุนนางจำนวนมาก แม้แต่หยุนเจิงเองก็เห็นด้วยต่อให้มีโอกาสนั้น ก็เป็นเพียงแค่ยืดเวลาออกไปก็เท่านั้นปานปู้ไม่มีทางยอมรับว่าเด็ดขากว่าใส่ร้ายป้ายสีเขายิ่งไปกว่านั้น มันอาจจะเป็นการเติมเชื้อเพลิงในไฟซ้ำอีกคำพูดของสวีสือฝู่ทำให้เซียวว่านโฉวพูดไม่ออกอีกครั้งเซียวว่านโฉวเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ ฝีปากจะสู้ขุนนางฝ่ายบุ๋นได้อย่างไรกันหลังจากที่นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ทันใดนั้นเซียวว่านโฉวก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เสียง ตุ้บ! ดังขึ้นหนึ่งครา เขาคุกเข่าลง “ฝ่าบาท อย่างไรเสียองค์ชายหกก็เป็นโอรสของฝ่าบาท ในเมื่อต้องโทษถึงความตาย ก็ไม่อาจตายเพียงเพราะข้
“ไม่ลืม!”ปานปู้ส่ายหน้าพลางกล่าว “เรื่องการคาราวะมีข้อจำกัดเพียงแค่คืนก่อนเท่านั้น ส่วนวันนี้นั้น ไม่นับ!”จักรพรรดิเหวินเจ็บใจยิ่งนัก แอบสบถด่าในใจตาเฒ่านี่ฉวยโอกาส“เอาเถอะ! อย่างไรเสีย ราชครูก็เคยก้มคุกเข่าคารวะข้าแล้ว!”จักรพรรดิเหวินโบมือพลางกล่าวอย่างราบเรียบว่า “ช่วงนี้ข้าอารมณ์ไม่ค่อยดี ไม่อยากพูดจามากความ ราชครูมีเรื่องอันใดก็บอกมาตามตรงเถอะ เป่ยหวนต้องการให้ต้าเฉียนสนับสนุนเสบียงเป็นจำนวนเท่าไหร่?”“สามล้านตัน!”ปานปู้เอ่ยปากกล่าว“ว่าอย่างไรนะ?”“สามล้านตันอย่างนั้นหรือ?”“เรื่องนี้ ไม่ได้เด็ดขาด!”“หากมอบเสบียงให้เป่ยหวนหมด แล้วชาวต้าเฉียนจะกินอะไร?”“นั่นน่ะสิ ต้าเฉียนเก็บภาษีเสบียงปีนึงก็ได้แค่แปดล้านตันเท่านั้น…”เหล่าบรรดาขุนนางคัดค้านทันทีหยุนเจิงเองก็แอบสบถด่าเช่นกันสามล้านตัน ไม่ใช่สามร้อยล้านเม็ดเพ้อฝันมากเกินไปแล้ว!“ไม่ใช่สิ ไม่ๆๆ!”ปานปู้ส่ายหน้าหัวเราะหึๆ ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าราชครูได้ยินมาว่าปีนี้ต้าเฉียนเก็บเกี่ยวได้เยอะเป็นพิเศษ ภาษีเสบียงปีนี้เก็บเกี่ยวได้มากกว่าสามสิบล้านตัน ส่วนที่เป่ยหวนร้องขอยังไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนเลย!”ทันทีที่ปาน
ทันทีที่สิ้นเสียงของปานปู้ หนังตาของหยุนเจิงกระตุกขึ้นทันทีบัดซบ!คิดจะเอาเสบียงวางหมากอย่างนั้นหรือ?เจ้าสุนัขปานปู้ผู้นี้คงไม่ใช่ทะลุมิติมาด้วยกระมังหรือจะมีคนเหมือนข้า ที่ทะลุมิติไปที่เป่ยหวนในขณะเดียวกันนั้น เหล่าขุนนางของต้าเฉียนเองก็อดแอบคำนวณในใจคร่าวๆ ไม่ได้นี่มัน…ดูแล้วก็ไม่ได้มากมายนัก!ก็แค่เดือนเดียวไม่ใช่หรอกหรือหากใช้วิธีนี้ ก็เท่ากับมอบเสบียงให้พวกนั้นรอดตายไปเพียงแค่ไม่กี่แสนตันดีกว่าให้สามล้านตัน!จักรพรรดิเหวินเองก็เองคำนวณอยู่ในใจเช่นกันเพียงแต่ว่า ราชวงศ์ต้าเฉียนไม่ได้มีคนที่คิดคำนวณเก่งมากนักจักรพรรดิเหวินคิดคำนวณอยู่นานโขก็รู้สึกว่าการให้เสบียงด้วยวิธีนี้ก็ไม่ได้มากมายนัก นับว่าเป็นข้อตกลงที่ดีเพียงแต่ว่า เขากังวลว่าจะตกหลุมพลางปานปู้ผู้นี้อีกแต่เขาคิดคำนวณครั้งแล้วครั้งเล่าก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่กับดักมอบเสบียงวิธีนี้ ดูเหมือนมันไม่ได้มากมายอันใดเลยจริงๆอีกอย่างให้วันละนิดหน่อย ต้าเฉียนคลายความกดดันไปได้มาก!อืม ดูเหมือนว่าข้อเสนอนี้จะไม่เลวเลย!“เสด็จพ่อ วิธีนี้ก็ไม่เลวนะพ่ะย่ะค่ะ”หยุนลี่แสดงความคิดเห็นกล่าวต่ออีกว่า “ลูกค
“เก้าพันตัว นี่คือขีดสุดของแคว้นต้าเฉียนเราแล้ว!”“เจ็ดพันตัว มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว!”“ไม่ได้ พวกเรายอมถอยให้สักก้าว แปดพันตัว!”“นี่...”ตอนที่ต่อรองกันถึงจำนวนแปดพันตัว ปานปู้รู้สึกลังเลขึ้นมา คล้ายจะเริ่มหวั่นไหวจักรพรรดิเหวินเห็นดังนั้นจึงฉวยโอกาสตีตอนเหล็กกำลังร้อน “เช่นนั้นก็ม้าศึกแปดพันตัว! หากราชครูตกลง พวกเราลงนามข้อตกลงตอนนี้ได้เลย!”“นี่...”ราชครูยังคงลังเลเห็นท่าทางของปานปู้ หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะแอบก่นด่าตาเฒ่าคนนี้ เจ้าเล่ห์ใช้ได้เลย!รู้ว่าแคว้นต้าเฉียนขาดแคลนม้าศึก จึงใจเบี่ยงประเด็นความขัดแย้งไปไว้ที่จำนวนม้าศึกขุนนางบุ๋นบู้เต็มราชสำนัก กลับไม่มีสังเกตสักคนว่าแท้จริงส่งเสบียงไปมากน้อยเพียงใด?ตาแก่นี่ คำนวณไว้ดิบดีทีเดียวล่อขุนนางบุ๋นบู้ทั้งราชสำนักลงหลุมพรางของเขาทีละก้าว ทีละก้าว“เสด็จพ่อ ช้าก่อน!”ในที่สุดหยุนเจิงก็ลุกขึ้นมา เขาคิดจะสั่งสอนปานปู้สักหน่อยนี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้แสดงความบริสุทธิ์แล้วไม่ใช่หรือ?“เจ้าหก ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ถอยไป!”หยุนลี่ตำหนิรุนแรง “อย่าลืมเรื่องของเจ้า!”เจ้าสี่หยุนถิงจ้องหยุนเจิงตาเขม็ง “เรื่องนี้เจ้าไม่มีสิท
แน่นอนว่ามาตรฐานเหล่านี้ใช้กับที่ดินชั้นดีเท่านั้นส่วนที่ดินชั้นต่ำกว่านั้นมาตรฐานของการเก็บเกี่ยวที่ถือว่าผลผลิตดีจะต่ำกว่านี้อีกตามกฎของราชสำนักข้าวสาลีซึ่งเป็นพืชอาหารหลักจะต้องปลูกแต่ก็ไม่สามารถปลูกได้ตามอำเภอใจไม่ว่าจะปลูกมากหรือน้อยก็ล้วนมีการจำกัดสัดส่วนอย่างเข้มงวดนอกจากนี้ยังมีบางพื้นที่ที่ต้องใช้ปลูกพืชตระกูลถั่วหมุนเวียนกันไปเพราะหลังจากปลูกถั่วแล้วดินจะอุดมสมบูรณ์ขึ้นทำให้ปีถัดไปเมื่อปลูกพืชอื่นผลผลิตก็จะงอกงามกว่าเดิมชาวนาเฒ่าพยายามอธิบายอย่างละเอียดเพื่อป้องกันไม่ให้ท่านอ๋องเข้าใจผิดว่าพวกเขาจงใจปล่อยที่ดินให้ว่างเปล่าในแคว้นต้าเฉียนการจงใจปล่อยที่ดินให้รกร้างโดยไม่มีเหตุผลอันควรเป็นความผิดที่ต้องได้รับโทษหนักเมื่อฟังคำอธิบายของชาวนาอาวุโสหยุนเจิงก็เข้าใจทันทีหากไม่ได้ลงมาดูด้วยตาตัวเองเขาก็คงไม่รู้ว่ามีเรื่องราวซับซ้อนเช่นนี้เกี่ยวกับการเกษตรเรื่องของที่ดินนี่ก็มีความรู้แฝงอยู่ไม่น้อยเช่นกันไม่อาจแยกตัวออกจากประชาชนได้จริงๆหยุนเจิงคิดในใจพลางถามต่อ “ที่ดินเหล่านี้เป็นของพวกเจ้าเองหรือเป็นของนายท่านคนใด?”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของชาวนาอาวุโสเผยรอย
หัวเมืองสี่ทิศแม้ว่าการปฏิรูปภาษีที่ดินแบ่งตามพื้นที่ดินจะได้รับแรงต่อต้านอย่างหนัก แต่หยุนเจิงก็ยังไม่ได้เดินทางไปยังจิงหยางฝู่เขามีแผนรับมืออยู่แล้ว แต่ก็อยากดูว่าทัวฮวนและจี้หรานจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรโหวซื่อไคยังมาไม่ถึงหัวเมืองสี่ทิศ แต่หยุนเจิงก็ไม่ได้เอาแต่นั่งอยู่ในจวนอ๋องขณะนี้แม้อากาศยังไม่อบอุ่นขึ้น แต่ในดินแดนตอนในของแผ่นดินก็เริ่มมีการเตรียมตัวสำหรับการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิแล้วเมื่อมีเวลาว่างหยุนเจิงก็พาเสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินออกไปเดินสำรวจตามพื้นที่เกษตรกรรม เพื่อดูว่าภาษีที่ดินแบ่งตามพื้นที่ดินส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกในหัวเมืองสี่ทิศมากน้อยเพียงใดด้วยภูเขาในบริเวณเป่ยลู่กวานที่ช่วยกั้นลมหนาว ทำให้ดินแดนตอนในอบอุ่นกว่ามากพื้นที่แถบนี้ส่วนใหญ่ปลูกข้าวสาลีฤดูหนาว ไม่จำเป็นต้องรอให้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิเพื่อหว่านเมล็ดพืชเหมือนที่ซั่วเป่ยแต่เมื่อเงยหน้ามองออกไป เขากลับเห็นว่าพื้นที่เพาะปลูกอันกว้างใหญ่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ปลูกข้าวสาลีฤดูหนาวส่วนใหญ่ยังเป็นพื้นที่ว่างเปล่า แม้จะไม่มีพืชผลขึ้น แต่กลับเห็นชาวบ้านจำนวนมากกำลังทำงานอยู่หยุนเจิงเดินเข้าไป
แต่หยุนเจิงไม่มีทางให้เขามีเวลามากถึงเพียงนั้น!เรื่องที่จินผู่ก่อให้ปวดหัวไม่น้อย แต่หยุนลี่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอย่างน้อย เขาก็สามารถทดสอบขอบเขตความอดทนของพวกขุนนางตระกูลใหญ่ได้แล้วพร้อมกันนั้น เรื่องที่จินผู่ก็ทำให้เขาตระหนักได้ว่า เขาไม่สามารถเดินหน้าปราบปรามพวกมันแบบฮึกเหิมเกินไปจำเป็นต้องใช้วิธีที่นุ่มนวลกว่านี้ถือเป็นบทเรียนอันมีค่าเลยก็ว่าได้!“ทางฮ่องเต้มีรับสั่งเช่นไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?”สวีสือฝู่เอ่ยถามหยุนลี่ตอบทันที “เสด็จพ่อทรงรับสั่งว่า จะไม่มีทางประนีประนอมกับพวกมันอย่างเด็ดขาด แต่ให้ลองหาวิธีแก้ปัญหาที่อ่อนโยนขึ้น หากไม่เป็นผล ค่อยใช้กำลังเข้าจัดการ”“ไม่ควรประนีประนอมจริงๆ”สวีสือฝู่ครุ่นคิด ก่อนกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หากราชสำนักยอมอ่อนข้อ ฝ่าบาทก็จะสูญเสียอำนาจและบารมีในราชสำนักไปอย่างมหาศาล”“เสด็จพ่อก็ตรัสเช่นนี้เหมือนกัน” หยุนลี่พยักหน้า “ดังนั้น ข้าจึงลำบากใจนัก”สวีสือฝู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ความจริง เรื่องนี้ท่านอาจไปปรึกษาเซียวว่านโฉวได้”“เซียวว่านโฉว?”หยุนลี่ขมวดคิ้วทันที “ทำไมต้องไปถามเซียวว่านโฉว?”เ
ยามบ่าย สวีสือฝู่เพิ่งเสร็จงาน กำลังคิดจะกลับจวนเพื่อพักผ่อนให้เต็มที่ แต่ทันใดนั้นเองก็มีคนของหยุนลี่มาแจ้งข่าว องค์รัชทายาทมีรับสั่งให้เขาไปประชุมที่จวนรัชทายาทแม้ว่าสวีสือฝู่จะรู้สึกเหนื่อยล้าเพียงใด แต่เมื่อหยุนลี่เรียกตัว เขาย่อมไม่อาจปฏิเสธได้เขารู้ดีว่า เหตุผลที่องค์รัชทายาทเรียกพบเขา คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับตระกูลขุนนางที่เมืองจินผู่ในมณฑลหยวนโจวแน่และเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สวีสือฝู่ก็รู้สึกปวดหัวไม่น้อยนี่เป็นผลลัพธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการลดทอนอำนาจของตระกูลขุนนางใหญ่และตระกูลขุนนางท้องถิ่นเขาเองก็ไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้จะให้ตระกูลขุนนางและตระกูลขุนนางท้องถิ่นรับใช้ราชสำนักไปพร้อมกับหาทางลดทอนอำนาจของพวกมันไปด้วยหรือ? หากคนเหล่านั้นไม่ต่อต้าน เช่นนั้นจะให้พวกเขายื่นคอรอให้ราชสำนักเชือดกระนั้นหรือ?สิ่งเดียวที่นับว่าเป็นโชคดี ก็คือตระกูลขุนนางและตระกูลขุนนางท้องถิ่นยังคงรู้ขอบเขตของตนเอง พวกเขายังไม่ได้ถึงขั้นตัดสัมพันธ์กับราชสำนักโดยสิ้นเชิงหรือถึงขั้นยกทัพก่อกบฏแท้จริงแล้วหยุนเจิงไม่เห็นด้วยกับการลดทอนอำนาจของตระกูลขุนนางเหล่านี้ แต่ไม่ว่าองค์จักรพรรดิหรือองค์รัชท
แน่นอน เรื่องทั้งหมดนี้ยังไม่ใช่จุดสำคัญที่สุดจุดสำคัญก็คือ การที่หยุนเจิงพยายามผลักดันภาษีที่ดินแบ่งตามพื้นที่ดินในฟู่โจว กำลังเผชิญกับแรงต่อต้านมหาศาลโดยเฉพาะบรรดาตระกูลขุนนางและเศรษฐีใหญ่ที่นำโดยตระกูลซูแห่งจวีผิง ต่างก็ขายที่ดินในราคาต่ำ ใช้เล่ห์เหลี่ยมโอนกรรมสิทธิ์ไปยังพวกผู้เช่าที่ดินแทนตอนนี้ พวกขุนนางและเศรษฐีใหญ่ในฟู่โจวแทบไม่มีใครยืนอยู่ข้างหยุนเจิงเลย!กล่าวได้ว่าหยุนเจิงทำให้ตระกูลขุนนางใหญ่และขุนนางชั้นผู้น้อยทั้งแคว้นฟู่โจวเป็นศัตรูไปหมดแล้ว!หากไม่ใช่เพราะเขามีกองกำลังติดอาวุธในมือ ไม่ต้องรอให้ราชสำนักลงมือ เพียงแค่ขุนนางและตระกูลเศรษฐีของฟู่โจวเอง ก็คงสามารถขับไล่หยุนเจิงออกจากฟู่โจวได้แล้ว!และหากหยุนเจิงยังคงดึงดันบังคับใช้“ภาษีที่ดินแบ่งตามพื้นที่ดิน”ต่อไป ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถเพิ่มรายได้ภาษีของฟู่โจว แต่อาจทำให้รายได้ภาษีในปีนี้ลดลงต่ำกว่าปีที่แล้วเสียอีก!หากเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่าการปฏิรูปภาษีของหยุนเจิงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง!เมื่อถึงเวลานั้น ราชสำนักก็ไม่จำเป็นต้องผลักดันระบบภาษีนี้ต่อไป!สำหรับราชสำนัก นี่มันเหมือนโชคดีสองชั้น!เมื่อได้ยินคำของฮั่ว
เมืองหลวงหลังจากเป็นประธานในที่ประชุมราชสำนักเสร็จ หยุนลี่ก็นั่งอยู่ในเกี้ยวด้วยสีหน้ามืดครึ้มพวกตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่พวกนี้ ช่างกล้าท้าทายราชสำนักเสียจริง!เขาเพิ่งหาข้ออ้างถอดถอนอำนาจของแม่ทัพที่มาจากตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่ไปไม่กี่คน ก็เกิดปัญหาโจรผู้ร้ายระบาดหนักในหลายพื้นที่พวกโจรไม่เพียงแค่ปล้นชิงชาวบ้านทั่วไป แต่ถึงขั้นบุกโจมตีที่ว่าการอำเภอ!มีอยู่แห่งหนึ่งถึงกับถูกพวกโจรตีแตก คลังหลวงถูกปล้นเงินไปจนหมด ข้าวสารในยุ้งฉางก็ถูกขนไปจนเกลี้ยง!แม่ทัพที่ทางราชสำนักส่งไปเพื่อเข้าควบคุมกองกำลังทหาร ก็เคยนำกำลังออกกวาดล้างโจรหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ล้มเหลวราวกับว่าเหล่าโจรรู้ความเคลื่อนไหวของทัพหลวงล่วงหน้า สามารถหลบหลีกได้อย่างแม่นยำทุกครั้ง ทำให้แผนกวาดล้างล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าตอนนี้ แม่ทัพใหม่ที่ถูกส่งไปเริ่มไม่กล้าลงมือแล้วเพราะหากฝืนเคลื่อนไหว อาจจะตกเป็นเหยื่อของการซุ่มโจมตีก็เป็นได้!หยุนลี่มิใช่คนโง่ เขารู้ดีว่าโจรพวกนี้คืออะไรมาแต่ต้นถึงตอนนี้กองทัพของราชสำนักยังไม่ถูกซุ่มโจมตี ก็เพราะพวกตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่ยังไม่อยากเปิดศึกกับราชสำนักโดยตรงเท่านั้น!
“ก็จริง! เพื่อให้เสียภาษีน้อยลง คนพวกนี้คิดหาทางได้ทุกวิถีทางจริงๆ”หยุนเจิงลูบคางพลางครุ่นคิด “พวกเราต้องหาทางโต้กลับให้ได้! หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป นโยบายภาษีที่ดินแบ่งตามพื้นที่ดินก็คงล้มเหลวโดยสมบูรณ์!”“ข้าก็คิดหาทางแก้มาตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังคิดไม่ออก” เยี่ยจื่อพูดขึ้นอย่างปวดหัว “ตอนนี้ต่อให้เรายกเลิกภาษีที่ดินแบ่งตามพื้นที่ดินแล้วกลับไปใช้ระบบภาษีแบบเดิม มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพวกที่ขายที่ดินออกไปเลย”ที่ดินเหล่านั้น แม้ว่าภายนอกจะถูกขายไปแล้ว แต่แท้จริงแล้ว มันก็แค่ทำให้ผู้ซื้อกลายเป็นผู้เช่าที่ดินของพวกเศรษฐี ค่าเช่าที่ควรเก็บก็ยังคงเก็บได้ตามเดิม!ในสถานการณ์นี้ พวกเศรษฐีเหล่านี้ทำให้ตนเองอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบไม่ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังแม้แต่เยี่ยจื่อก็ยังอดชื่นชมความฉลาดแกมโกงของพวกเขาไม่ได้หากพวกเขานำไหวพริบเช่นนี้ไปใช้กับการบริหารแผ่นดินหรือการศึกสงคราม เกรงว่าต้าเฉียนคงสามารถกวาดล้างแคว้นเป่ยหวนได้หมดแล้ว!“ดูท่าแล้ว ตระกูลซูแห่งจวีผิงจะจงใจสร้างปัญหาให้ข้าจริงๆ!”ดวงตาของหยุนเจิงฉายแววเย็นเยียบ “ข้าให้โอกาสพวกเขาแล้ว แต่พวกเขายังคิดจะบีบให้ข้าลงมือกับพว
เมื่อหยุนเจิงมาถึงศาลา ก็พบว่าเยี่ยจื่อนั่งอยู่ที่นั่น พลางลูบท้องที่นูนออกมา สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวลเพียงแค่เห็นท่าทางของเยี่ยจื่อ หยุนเจิงก็รู้สึกไม่พอใจทันที เร่งฝีเท้าเข้าไปนั่งข้างนาง ก่อนจะโอบรอบเอวที่ตอนนี้อวบขึ้นชั่วคราวของนาง “ใครมันกล้ามาก่อเรื่องให้ข้าหงุดหงิด ดูสิทำให้ชายาของข้ากลุ้มใจถึงเพียงนี้!”กล่าวจบ หยุนเจิงยังบีบเบาๆ ที่เอวของเยี่ยจื่ออีกด้วย“อย่ามัวเล่นอยู่เลย!”เยี่ยจื่อสะบัดมือหยุนเจิงออกเบาๆ ก่อนจะยื่นจดหมายในมือให้อย่างเคร่งเครียด “เจ้าดูจดหมายฉบับนี้ก่อน แล้วดูว่ายังมีอารมณ์มาล้อเล่นอีกหรือไม่”อย่างไรก็ตาม “นิสัยจักรพรรดิผู้รักความสำราญ” ของหยุนเจิงก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง เขาไม่ได้รีบร้อนดูจดหมายนั้น กลับยกมือขึ้นประคองใบหน้าของเยี่ยจื่อพลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ถึงฟ้าจะถล่มลงมา ข้าก็เป็นคนแบกรับเอง เจ้ากังวลไปไย? ยิ้มสักหน่อยเถิด”เยี่ยจื่อเผยอปาก ทำท่าจะกัดมือหยุนเจิง แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่หลบ นางก็ทำได้เพียงแค่ฝืนยิ้มออกมา ซึ่งดูเหมือนจะยากยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก“พอเถอะๆ!”หยุนเจิงบีบแก้มของเยี่ยจื่อเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อ “อย่ากังวลไปเลย”จากนั้น เ
“เช่นนี้หรือ…”หยุนเจิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพลิกตัวลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว แล้วเดินเลาะไปตามแนวสันเขาของหุบเขาเมี่ยวอินและคนอื่นๆ ติดตามอยู่ไม่ห่างพวกเขาใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง จึงไปถึงจุดสูงสุดทางทิศตะวันตกของหุบเขาจากจุดนี้สามารถมองเห็นทัศนียภาพของทั้งหุบเขาได้อย่างชัดเจนหุบเขาแห่งนี้กว้างใหญ่ รอบด้านล้อมด้วยแนวเทือกเขาสลับซับซ้อนภายในหุบเขายังมีร่องรอยถูกเหยียบย่ำเป็นวงกว้าง คาดว่าเป็นรอยที่จ้าวจี๋และกองทัพของเขาทิ้งไว้เมื่อครั้งมาตั้งค่ายที่นี่หยุนเจิงกวาดตามองทั่วบริเวณคร่าวๆ ก็พบว่าหุบเขาแห่งนี้เหมาะสมกับการใช้เป็นสถานที่ตั้งสถาบันวิจัยยุทโธปกรณ์อย่างมากเพียงแต่ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ที่นี่อยู่ห่างจากติ้งเป่ยมากเกินไปเขาคงไม่สามารถเดินทางมาที่นี่บ่อยๆ เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับพวกช่างฝีมือได้อย่างไรก็ตาม งานพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ ต่อให้เขาคิดค้นแนวคิดใหม่ๆ ได้มากมาย สุดท้ายแล้วก็ยังต้องพึ่งพาฝีมือของพวกช่างเป็นหลัก เขาเป็นเพียงคนที่ให้แนวทางและแนวคิดเท่านั้นหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็หันไปสั่งหวังเหิง “ไป นำทางข้าไปดูที่ลำธารสายเล็ก