เมื่อได้ยินจักรพรรดิเหวินตรัสเช่นนี้ เหล่าขุนนางก็เข้าใจได้ทันทีไส้ศึก!มีคนในราชสำนักแอบส่งข่าวให้กับคณะทูตเป่ยหวน!มิน่าล่ะว่าเหตุใดจักรพรรดิเหวินถึงได้โกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้ที่แท้ก็กำลังจะมีคนซวยนี่เอง!หยุนลี่กับสวีสือฝู่แอบสบตากัน แอบหัวเราะอยู่ในใจ!เป็นอย่างที่พวกเขาคาดเอาไว้ไม่มีผิด!ปานปู้เคลื่อนไหวตามแผนที่วางไว้แล้ว!หยุนลี่เงยหน้ามองหยุนเจิง แอบสะใจอยู่ในใจเจ้าคนขี้ขลาด!นี่คือจุดจบที่เจ้ากล้าบังอาจล่วงเกินข้า!หยุนเจิงก้มหน้า แอบดีใจอยู่ในใจบัดซบ!โชคดีนะที่บิดาได้เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า!มิเช่นนั้นเกรงว่าต้องโดนเล่นงานไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเป็นแน่!มู่ซุ่นโค้งคำนับด้วยความเคารพ สองมือหงายรับจดหมายฉบับนั้นมาจากจักรพรรดิเหวิน และอ่านจดหมายฉบับนั้นต่อหน้าเหล่าขุนนางทั้งท้องพระโรง “องค์ชายหก…”ข้อความในจดหมายนั้นเป็นถ้อยคำง่ายมากก็แค่ปานปู้เขียนจดหมายแจ้งหยุนเจิงว่า ในงานเลี้ยงต้อนรับก่อนหน้านี้ เขาได้ร่วมมือกับหยุนเจิงแสดงละครฉากใหญ่นั้นจนจบ และในการประชุมหารือเรื่องขอเสบียงในวันนี้ ขอให้หยุนเจิงช่วยสนับสนุนให้สักหน่อย! หากสำเร็จ เป่ยหวนจะขอบคุ
“หุบปาก!”ทันใดนั้นจักรพรรดิเหวินก็ตะคอกออกมาจนถึงตอนนี้เองทุกคนถึงจะเงียบปากลง“เจ้าหก เจ้ามีอันใดจะพูดหรือไม่?”สายตาของจักรพรรดิเหวินจ้องมองและกล่าวถามหยุนเจิงอย่างดุดันหยุนเจิงส่ายหน้าช้าๆ ยิ้มเจื่อนๆ พลางกล่าว “ลูก…ไม่มีอันใดจะพูดพ่ะย่ะค่ะ”“พูดเช่นนี้แสดงว่าเจ้ายอมรับแล้วอย่างนั้นหรือ”แสงเย็นวาบผ่านดวงตาของจักรพรรดิเหวิน“ลูกจะยอมรับหรือไม่ มันก็ไม่ได้ต่างอันใดกันหรอกพ่ะย่ะค่ะ”หยุนเจิงยิ้มเจื่อนและกล่าวต่อ “ลูกไม่อาจแก้ตัวและไม่อาจพิสูจน์ความบริสุทธ์ได้พ่ะย่ะค่ะ! ต่อให้ลูกไม่ยอมรับ แต่หลักฐานที่คนของเป่ยหวนทิ้งให้ประจักษ์ตรงหน้าเช่นนี้แล้ว ลูกยังจะพูดอันใดได้อีกล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”“องค์ชายหก ท่านสามารถแก้ตัวได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวว่านโฉวกล่าวเตือน “องค์ชายหกบอกว่ารูบิคนั่นอ่านเจอมาจากตำราโบราณเล่มหนึ่งไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายหกเอาตำราโบราณเล่มนั้นออกมา เช่นนี้ก็สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ขององค์ชายได้แล้ว”นี่เป็นโอกาสเดียวที่หยุนเจิงจะพิสูจน์ได้ว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่เขาเอาตำราเล่มนั้นออกมา ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าเขาไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับพวกเป่ยห
เหล่าบรรดาขุนนางต่างเอ่ยปากกล่าว ทว่า จักรพรรดิเหวินกลับไม่ได้เอ่ยปากกล่าวสิ่งใดออกมา“ฝ่าบาท มิสู้ให้โอกาสองค์ชายหกได้เผชิญหน้ากับคณะทูตเป่ยหวนสักครั้งล่ะพ่ะย่ะค่ะ”ในตอนนี้ เซียวว่านโฉวเอ่ยปากกล่าวอีกครั้ง พยายามเป็นครั้งสุดท้าย“องค์ชายหกเองก็ยอมรับแล้ว ยังต้องเผชิญหน้ากันอีกหรือ”สวีสือฝู่กล่าวเสียงแข็ง “ต่อให้จะให้โอกาสองค์ชายหกได้เผชิญหน้ากับคณะทูตเป่ยหวน แต่คิดหรือว่าคณะทูตเป่ยหวนจะยอมรับ?”คำพูดของสวีสือฝู่ได้รับการสนับสนุนจากเหล่าขุนนางจำนวนมาก แม้แต่หยุนเจิงเองก็เห็นด้วยต่อให้มีโอกาสนั้น ก็เป็นเพียงแค่ยืดเวลาออกไปก็เท่านั้นปานปู้ไม่มีทางยอมรับว่าเด็ดขากว่าใส่ร้ายป้ายสีเขายิ่งไปกว่านั้น มันอาจจะเป็นการเติมเชื้อเพลิงในไฟซ้ำอีกคำพูดของสวีสือฝู่ทำให้เซียวว่านโฉวพูดไม่ออกอีกครั้งเซียวว่านโฉวเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ ฝีปากจะสู้ขุนนางฝ่ายบุ๋นได้อย่างไรกันหลังจากที่นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ทันใดนั้นเซียวว่านโฉวก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เสียง ตุ้บ! ดังขึ้นหนึ่งครา เขาคุกเข่าลง “ฝ่าบาท อย่างไรเสียองค์ชายหกก็เป็นโอรสของฝ่าบาท ในเมื่อต้องโทษถึงความตาย ก็ไม่อาจตายเพียงเพราะข้
“ไม่ลืม!”ปานปู้ส่ายหน้าพลางกล่าว “เรื่องการคาราวะมีข้อจำกัดเพียงแค่คืนก่อนเท่านั้น ส่วนวันนี้นั้น ไม่นับ!”จักรพรรดิเหวินเจ็บใจยิ่งนัก แอบสบถด่าในใจตาเฒ่านี่ฉวยโอกาส“เอาเถอะ! อย่างไรเสีย ราชครูก็เคยก้มคุกเข่าคารวะข้าแล้ว!”จักรพรรดิเหวินโบมือพลางกล่าวอย่างราบเรียบว่า “ช่วงนี้ข้าอารมณ์ไม่ค่อยดี ไม่อยากพูดจามากความ ราชครูมีเรื่องอันใดก็บอกมาตามตรงเถอะ เป่ยหวนต้องการให้ต้าเฉียนสนับสนุนเสบียงเป็นจำนวนเท่าไหร่?”“สามล้านตัน!”ปานปู้เอ่ยปากกล่าว“ว่าอย่างไรนะ?”“สามล้านตันอย่างนั้นหรือ?”“เรื่องนี้ ไม่ได้เด็ดขาด!”“หากมอบเสบียงให้เป่ยหวนหมด แล้วชาวต้าเฉียนจะกินอะไร?”“นั่นน่ะสิ ต้าเฉียนเก็บภาษีเสบียงปีนึงก็ได้แค่แปดล้านตันเท่านั้น…”เหล่าบรรดาขุนนางคัดค้านทันทีหยุนเจิงเองก็แอบสบถด่าเช่นกันสามล้านตัน ไม่ใช่สามร้อยล้านเม็ดเพ้อฝันมากเกินไปแล้ว!“ไม่ใช่สิ ไม่ๆๆ!”ปานปู้ส่ายหน้าหัวเราะหึๆ ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าราชครูได้ยินมาว่าปีนี้ต้าเฉียนเก็บเกี่ยวได้เยอะเป็นพิเศษ ภาษีเสบียงปีนี้เก็บเกี่ยวได้มากกว่าสามสิบล้านตัน ส่วนที่เป่ยหวนร้องขอยังไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนเลย!”ทันทีที่ปาน
ทันทีที่สิ้นเสียงของปานปู้ หนังตาของหยุนเจิงกระตุกขึ้นทันทีบัดซบ!คิดจะเอาเสบียงวางหมากอย่างนั้นหรือ?เจ้าสุนัขปานปู้ผู้นี้คงไม่ใช่ทะลุมิติมาด้วยกระมังหรือจะมีคนเหมือนข้า ที่ทะลุมิติไปที่เป่ยหวนในขณะเดียวกันนั้น เหล่าขุนนางของต้าเฉียนเองก็อดแอบคำนวณในใจคร่าวๆ ไม่ได้นี่มัน…ดูแล้วก็ไม่ได้มากมายนัก!ก็แค่เดือนเดียวไม่ใช่หรอกหรือหากใช้วิธีนี้ ก็เท่ากับมอบเสบียงให้พวกนั้นรอดตายไปเพียงแค่ไม่กี่แสนตันดีกว่าให้สามล้านตัน!จักรพรรดิเหวินเองก็เองคำนวณอยู่ในใจเช่นกันเพียงแต่ว่า ราชวงศ์ต้าเฉียนไม่ได้มีคนที่คิดคำนวณเก่งมากนักจักรพรรดิเหวินคิดคำนวณอยู่นานโขก็รู้สึกว่าการให้เสบียงด้วยวิธีนี้ก็ไม่ได้มากมายนัก นับว่าเป็นข้อตกลงที่ดีเพียงแต่ว่า เขากังวลว่าจะตกหลุมพลางปานปู้ผู้นี้อีกแต่เขาคิดคำนวณครั้งแล้วครั้งเล่าก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่กับดักมอบเสบียงวิธีนี้ ดูเหมือนมันไม่ได้มากมายอันใดเลยจริงๆอีกอย่างให้วันละนิดหน่อย ต้าเฉียนคลายความกดดันไปได้มาก!อืม ดูเหมือนว่าข้อเสนอนี้จะไม่เลวเลย!“เสด็จพ่อ วิธีนี้ก็ไม่เลวนะพ่ะย่ะค่ะ”หยุนลี่แสดงความคิดเห็นกล่าวต่ออีกว่า “ลูกค
“เก้าพันตัว นี่คือขีดสุดของแคว้นต้าเฉียนเราแล้ว!”“เจ็ดพันตัว มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว!”“ไม่ได้ พวกเรายอมถอยให้สักก้าว แปดพันตัว!”“นี่...”ตอนที่ต่อรองกันถึงจำนวนแปดพันตัว ปานปู้รู้สึกลังเลขึ้นมา คล้ายจะเริ่มหวั่นไหวจักรพรรดิเหวินเห็นดังนั้นจึงฉวยโอกาสตีตอนเหล็กกำลังร้อน “เช่นนั้นก็ม้าศึกแปดพันตัว! หากราชครูตกลง พวกเราลงนามข้อตกลงตอนนี้ได้เลย!”“นี่...”ราชครูยังคงลังเลเห็นท่าทางของปานปู้ หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะแอบก่นด่าตาเฒ่าคนนี้ เจ้าเล่ห์ใช้ได้เลย!รู้ว่าแคว้นต้าเฉียนขาดแคลนม้าศึก จึงใจเบี่ยงประเด็นความขัดแย้งไปไว้ที่จำนวนม้าศึกขุนนางบุ๋นบู้เต็มราชสำนัก กลับไม่มีสังเกตสักคนว่าแท้จริงส่งเสบียงไปมากน้อยเพียงใด?ตาแก่นี่ คำนวณไว้ดิบดีทีเดียวล่อขุนนางบุ๋นบู้ทั้งราชสำนักลงหลุมพรางของเขาทีละก้าว ทีละก้าว“เสด็จพ่อ ช้าก่อน!”ในที่สุดหยุนเจิงก็ลุกขึ้นมา เขาคิดจะสั่งสอนปานปู้สักหน่อยนี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้แสดงความบริสุทธิ์แล้วไม่ใช่หรือ?“เจ้าหก ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ถอยไป!”หยุนลี่ตำหนิรุนแรง “อย่าลืมเรื่องของเจ้า!”เจ้าสี่หยุนถิงจ้องหยุนเจิงตาเขม็ง “เรื่องนี้เจ้าไม่มีสิท
เมื่อได้ยินสิ่งที่หยุนเจิงกล่าว หยุนลี่หน้าเขียวปัด“เจ้าหก!”หยุนลี่กระโดดออกมาตำหนิด้วยความโมโหเพราะเรื่องผิดศีลธรรม “เจ้ามันใจจืดใจดำ แม้แต่ความตายยังคิดจะลากข้าไปด้วย! เสด็จพ่อ อย่าปล่อยให้เจ้าหกพูดจาเหลวไหวเด็ดขาด!”หยุนถิงหัวเราะ “พี่สาม ท่านก็ยอมสละชีพหน่อย! ถ้าเจ้าหกชนะเดิมพันอีกล่ะ!”“นั่นสิ!”องค์ชายรองพยักหน้าตาม “พวกเราล้วนเป็นองค์ชาย เจ้าหกกล้าเอาหัวเป็นเดิมพัน เหตุใดเจ้าไม่กล้าเล่า?”“ใช่ๆ!” องค์ชายห้าคล้อยตามด้วยเช่นกันพวกเขาเฝ้าภาวนาให้หยุนลี่ตายนาทีนี้ จู่ๆ พวกเขาก็คิดว่ามองหยุนเจิงแล้วสบายตาขึ้นเป็นกองอืม...ช่วงนี้ยิ่งมองเจ้าหกยิ่งสบายตานัก!หยุนลี่โกรธเดือดดาล กัดฟันกรอดตวาดลั่น “อย่างนั้นเหตุใดพวกเจ้าไม่เอาหัวตัวเองมาเดิมพันล่ะ?”“เพราะเจ้าหกไม่ได้พูดอย่างไรเล่า!”หยุนถิงหัวเราะออกมาอย่างสมเหตุสมผล“ข้า...”หยุนลี่ติดขัดเล็กน้อย เขาทำได้เพียงอ้อนวอนกับจักรพรรดิเหวินอีกครั้ง “เสด็จพ่อ เจ้าหกมีเจตนาทำร้ายหมายเอาชีวิตลูก อย่าปล่อยให้เขาเหลวไหลนะพ่ะย่ะค่ะ!”“หุบปากให้หมด! กลัวคณะทูตเป่ยหวนดูเรื่องตลกไม่มากพอหรืออย่างไร?”จักรพรรดิเหวินจ้องบรรดาลูกชา
จักรพรรดิเหวินตำหนิทุกคน “ราชครูเป่ยหวนยังไม่ได้บอกเลยว่าผิด พวกเจ้าร้องไห้อยู่ตรงนี้กันเพื่อสิ่งใด?”แม้จักรพรรดิเหวินคิดว่าจำนวนพันล้านตันออกจะเกินไปหน่อย แต่เขาไม่เชื่อว่าหยุนเจิงยอมตายเพื่อสมรู้ร่วมคิดกับเป่ยหวนช่วงชิงเสบียงของต้าเฉียนหยุนเจิงจ้องปานปู้ จากนั้นก็ยิ้มถาม “ราชครู ข้าพูดถูกหรือไม่?”“ผิดแล้ว!”ปานปู้สายหน้า “หนึ่งพันล้านกว่าตัน องค์ชายคำนวณอย่างไร? ต่อให้ความกระหายเป่ยหวนเรามากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีทางเอาเสบียงมากมายขนาดนั้นหรอก?”แค่ปานปู้กล่าวออกมา เหล่าขุนนางก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเกือบพาหยุนเจิงไปฉีกร่างเป็นชิ้นๆ แล้วแม้แต่สายพระเนตรของจักรพรรดิเหวินที่มองไปยังหยุนเจิงยังเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา“อย่างนั้นหรือ?”หยุนเจิงไม่เห็นด้วย มองปานปู้ด้วยสายตาเยาะเย้ย “ตอนนี้ราชครูไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร ข้าสามารถแสดงการคำนวณให้ราชครูดูสักหน่อย ไม่ใช่เรื่องยาก!”“อย่างนั้นองค์ชายหกคำนวณให้ดูหน่อยเถอะ!”ปานปู้เค้นเสียงเย็นเขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าหยุนเจิงสามารถคำนวณตัวเลขที่ถูกต้องออกมาได้ภายในระยะเวลาสั้นๆต่อให้หยุนเจิงกล่าวถูกต้อง คนของต้าเฉียนก็ไม่มีทางเชื่อ!นอกจากเขาจ
ตอนเที่ยงของวันถัดมา ผางลู่ซานสะพายห่อผ้ามาตามเวลานัด และปรากฏตัวในลานบ้านร้าง“ของทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วหรือไม่?”ทันทีที่เข้ามา ผางลู่ซานก็เอ่ยถาม“เตรียมพร้อมหมดแล้ว!”โหวซื่อไคชี้ไปที่หม้อเหล็กใบเล็กและอุปกรณ์อื่นๆ ที่เตรียมไว้ผางลู่ซานเดินไปตรวจสอบครู่หนึ่ง ก่อนจะสั่งโหวซื่อไคทันทีว่า “เจ้าทิ้งคนไว้ช่วยข้าคนหนึ่ง ที่เหลือออกไปเฝ้ารอบนอก หากมีใครเข้ามา ให้รีบเตือนพวกเราโดยทันที!”“เอ่อ…”โหวซื่อไคลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพูดกับซูฮ๋วยหมินว่า “เจ้าอยู่ข้างใน ส่วนคนอื่นออกไปเฝ้าด้านนอก!”คนในตระกูลซูที่เหลือต่างไม่พอใจนักพวกเขาเองก็อยากดูให้แน่ชัดว่าผางลู่ซานใช้วิธีใดในการเปลี่ยนจากน้ำตาลอ้อยเป็นน้ำตาลขาวแต่เมื่อเห็นโหวซื่อไคส่งสายตาให้พวกเขาเป็นพัลวัน ก็จำต้องยอมรับและออกไปด้านนอกช่างเถอะ!อย่างไรเสีย ตระกูลซูก็ยังมีคนอยู่ข้างในหนึ่งคนอยู่แล้ว ไม่มีทางที่โหวซื่อไคจะเก็บความลับนี้ไว้คนเดียว!คิดเช่นนั้น พวกเขาก็เดินออกไปอย่างไม่เต็มใจนักเมื่อคนออกไปหมดแล้ว ผางลู่ซานก็เริ่มสั่งการทันทีคนหนึ่งตั้งเตาไฟ อีกคนล้างหม้อหลังจากทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ผางลู่ซานก็หยิบน้
ไม่กี่วันต่อมา โหวซื่อไคพร้อมกับคนในตระกูลซูอีกสองสามคน ได้เดินทางไปยังซั่วเป่ยพร้อมกับตั๋วเงินจำนวนมากครั้งนี้ ตระกูลซูได้ลงเงินรวมหนึ่งล้านสี่แสนตำลึงโดยหนึ่งล้านสองแสนตำลึงเป็นเงินสำหรับการร่วมลงทุนกับโหวซื่อไคเพื่อซื้อวิธีการทำน้ำตาลขาว ส่วนอีกสองแสนตำลึงนั้นถือเป็นเงินที่ตระกูลซูให้โหวซื่อไคยืมสำหรับเงินที่เพิ่มขึ้นมาอีกสองแสนตำลึง คนในตระกูลซูมีความเห็นคัดค้านมากแต่โหวซื่อไคก็ยืนกรานไม่ยอมอ่อนข้อตามคำพูดของโหวซื่อไค เขาทุ่มเงินไม่น้อยเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผางลู่ซานแค่ความสัมพันธ์ของเขากับผางลู่ซานก็มีค่าเทียบเท่ากับเงินสองแสนตำลึงแล้วในที่สุด ภายใต้การไกล่เกลี่ยของหยางหุยโจว ตระกูลซูก็ยอมเพิ่มเงินให้อีกสองแสนตำลึงแม้ว่าตระกูลซูจะมั่งคั่งเป็นอันดับต้นๆ แต่เงินสดก็ไม่ได้มีอยู่มากนักเพื่อรวบรวมเงินให้ครบหนึ่งล้านสี่แสนตำลึง ตระกูลซูถึงกับต้องไปกู้เงินจากที่อื่นมาอีกสามแสนตำลึงคณะเดินทางข้ามด่านเป่ยลู่ไปโดยมุ่งตรงสู่เมืองหม่าอี้ แต่ไม่ได้เข้าเมือง พวกเขาตั้งหลักอยู่ในเรือนเล็กซอมซ่อแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองหม่าอี้ประมาณสิบลี้พวกเขารออยู่ที่เรือนเล็กหน
อวี๋ฝูเดิมทีคิดจะรับจดหมายนั้นไว้เอง แต่ผู้ส่งจดหมายกลับยืนยันหนักแน่นว่า ผู้ที่สั่งให้เขานำจดหมายมา ได้กำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า จดหมายฉบับนี้จะต้องส่งถึงมือหยุนเจิงโดยตรง!“พาเข้ามา!”หยุนเจิงสั่งไม่รู้ว่าจะเป็นจดหมายจากโหวซื่อไคหรือไม่?ไม่นาน เด็กหนุ่มผู้ส่งสารก็ถูกพาตัวเข้ามา “ข้าน้อยขอคารวะท่านอ๋อง!”“ลุกขึ้นเถิด!”หยุนเจิงยกมือขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อ “โหวซื่อไคเป็นคนให้เจ้ามาส่งหรือ?”“ใช่ขอรับ!”เด็กหนุ่มรีบพยักหน้า พร้อมกับยื่นจดหมายออกมาให้หยุนเจิงหยุนเจิงรับจดหมายมา เปิดออกอ่านอย่างรวดเร็วหลังจากกวาดตาอ่านคร่าวๆ เขาก็โล่งใจลงไม่น้อย ก่อนจะหันไปสั่งอวี๋ฝู “หาที่พักให้เขา และให้รางวัลห้าตำลึงเงิน!”“รับทราบ!”อวี๋ฝูรับคำสั่ง ก่อนจะพาเด็กหนุ่มออกไปทันทีเมื่อพวกเขาจากไป เยี่ยจื่อจึงขยับเข้ามาดูจดหมายด้วย“สำเร็จแล้วรึ?”เยี่ยจื่อยิ้มอย่างสดใส“ไม่เพียงแต่สำเร็จ ยังมีเรื่องเหนือความคาดหมายอีกด้วย!”หยุนเจิงเผยรอยยิ้มเย็นชา “เจ้าสามนี่ช่างไม่รู้จักสิ้นสุดจริงๆ!”แม้ว่าโหวซื่อไคจะไม่ได้กล่าวถึงจุดประสงค์ของหยางหุยโจวที่ไปเยือนตระกูลซู แต่เพียงใช้ปลายเท้าคิด เขา
“ได้ยินแล้วหรือยัง? นายท่านอู๋ถูกยึดทรัพย์แล้ว”“นายท่านอู๋อะไรกัน! ต้องเรียกอู๋โหย่วเต๋อ! ไม่สิ ต้องเรียกว่า อู๋ขาดคุณธรรม!”“อู๋โหย่วเต๋อ… ชื่อก็แปลว่าไม่มีคุณธรรมอยู่แล้วมิใช่รึ? ไม่ต่างกันเลยสักนิด!”“อู๋โหย่วเต๋อสมควรได้รับโทษแล้ว แต่พวกที่ซื้อที่ดินของตระกูลอู๋ไป นับว่าโชคดีมาก! ตอนนี้ตระกูลอู๋ถูกยึดทรัพย์แล้ว พวกเขาไม่ต้องส่งค่าธัญญาหารให้พวกมันอีก!”“จริงด้วย! เจ้าว่าทำไมข้าถึงไม่มีโชคแบบนั้นบ้างนะ?”“ข้าได้ยินมาว่า ท่านอ๋องจงใจหาเรื่องจับผิด เพื่อล้มตระกูลอู๋ทั้งบ้าน! นี่แหละที่เรียกว่า เชือดไก่ให้ลิงดู ตั้งใจทำให้เหล่าผู้มั่งคั่งที่ไม่ยอมรับนโยบายภาษีใหม่เห็นเป็นตัวอย่าง!”“…”ข่าวการถูกยึดทรัพย์ของตระกูลอู๋แพร่กระจายไปทั่วหัวเมืองสี่ทิศในเวลาอันสั้นบางคนดีใจถึงกับปรบมือยินดี ขณะที่บางคนมองว่าเรื่องนี้เป็นแผนการที่แฝงไว้ด้วยเจตนาแอบแฝงบรรดาขุนนางและเจ้าที่ดินใหญ่ทั้งหลายต่างหวาดกลัวกันถ้วนหน้าแท้จริงแล้ว ตามกฎหมายราชสำนัก ความผิดของตระกูลอู๋ไม่ถึงขั้นต้องถูกยึดทรัพย์แต่จุดอ่อนของพวกมันคือ วัวที่เหล่าหลิวโถวได้รับ เป็นของที่หยุนเจิงพระราชทาน นี่ทำให้หยุนเจิงมีเห
เขารู้เพียงว่า ท่านอ๋องผู้นี้ ซึ่งผ่านศึกมานับไม่ถ้วน มิใช่คนที่จะเมตตาปรานีใครได้ง่ายๆอู๋โหย่วเต๋อสั่นสะท้านไปทั้งตัว ในที่สุดก็พยายามรวบรวมเรี่ยวแรง ขยับร่างที่อ่อนแรงของตนขึ้นคุกเข่าให้เรียบร้อย“ขอ… ขอท่านอ๋องเมตตาด้วย…”“ได้! ข้าจะให้เจ้า!”หยุนเจิงตอบตกลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปมองหลิวอู่และหลี่เจี่ย “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกตระกูลอู๋ ทั้งบิดา บุตร และพ่อบ้านผู้นี้ จะเป็น วัวไถนา ของพวกเจ้า! ให้พวกมันลากคันไถให้พวกเจ้า! ส่วนเรื่องอาหารไม่ต้องห่วง ข้าจะเป็นคนดูแลเอง ข้าจะทำให้แน่ใจว่าพวกมันจะไม่อดตาย!”อะไรนะ?เมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเจิง ไม่เพียงแต่อู๋โหย่วเต๋อเท่านั้นที่ตะลึงงัน แม้แต่หลิวอู่และหลี่เจี่ยเองก็ตกตะลึงเช่นกันภายในแคว้นต้าเฉียน ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีคนถูกใช้ให้ลากคันไถแทนวัวแต่เรื่องเช่นนี้มักเกิดขึ้นกับชาวบ้านยากไร้ที่ไม่มีเงินเช่าวัวเท่านั้นทว่า เรื่องให้ตระกูลอู๋กลายเป็นวัวไถนาให้พวกเขา แม้แต่ในฝัน พวกเขาก็ไม่เคยกล้าคิด!พวกเขานิ่งอึ้งไปอยู่นาน ก่อนจะได้สติ รีบคุกเข่ากระแทกพื้นและกล่าวเสียงดัง “ข้าน้อยขอคารวะท่านอ๋อง! ขอขอบพระคุณในพระเมตตาอันล้ำลึก!”ใ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น จริงๆ แล้วไม่ได้ซับซ้อนอะไรเพียงแค่อู๋โหย่วเต๋อโลภอยากได้วัวไถนาของเหล่าหลิวโถวเดิมทีเขาตั้งใจจะใช้เงินซื้อวัวจากเหล่าหลิวโถวในราคาถูก แต่เหล่าหลิวโถวกลับไม่ยอมขายให้ไม่ว่าจะอย่างไรเมื่ออู๋โหย่วเต๋อหมดความอดทน จึงใส่ร้ายว่าเหล่าหลิวโถวขโมยวัวของตระกูลอู๋ไป และกล่าวว่า หากไม่ได้ขโมยจริง ก็ต้องมีทะเบียนวัวมายืนยันแต่ปัญหาก็คือ วัวตัวนี้เป็นของที่หยุนเจิงพระราชทานให้เหล่าหลิวโถว! แล้วเหล่าหลิวโถวจะมีทะเบียนวัวจากที่ใดกัน?เหล่าหลิวโถวพูดจนปากจะฉีกก็ยังแก้ต่างให้ตัวเองไม่ได้ เขายืนกรานว่าวัวตัวนี้เป็นของที่หยุนเจิงพระราชทานให้ แต่ไม่ว่าอย่างไร อู๋โหย่วเต๋อก็ไม่ยอมฟัง ซ้ำยังข่มขู่ว่าจะพาตัวเหล่าหลิวโถวไปแจ้งความที่ศาลเหล่าหลิวโถวเป็นคนซื่อสัตย์มาตลอดชีวิต พอได้ยินว่าต้องไปแจ้งความก็ถึงกับตกใจกลัวสุดท้าย วัวตัวนั้นก็ถูกอู๋โหย่วเต๋อแย่งไปจนได้หลังจากวัวถูกพาออกไป เหล่าหลิวโถวก็ร้องไห้ไม่หยุด ราวกับจิตวิญญาณหลุดออกจากร่างเมื่อหลิวอู่และหลี่เจี่ยได้ยินข่าวอีกครั้ง เหล่าหลิวโถวก็กลายเป็นศพไปเสียแล้ว… เขาแขวนคอตายใต้ต้นไม้ข้างกระท่อมของตัวเอง“ที่พวกเขาก
อู๋โหย่วเต๋อเห็นท่าไม่ดีจึงไม่กล้าเอนกายต่อ รีบลุกจากเก้าอี้ไม้ไผ่ แล้วเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มประจบ“นายทหาร ข้ามิทราบว่ามีใครในจวนข้าทำเรื่องผิดไป…”“พาตัวไป!”เสิ่นควานไม่แม้แต่จะให้เขาพูดจบ โบกมือสั่งการทันที ทหารองครักษ์สองนายตรงเข้าไปจับกุมอู๋โหย่วเต๋อ“ปล่อยข้านะ!”อู๋โหย่วเต๋อโกรธจัด “พวกเจ้าคิดว่าเป็นใคร ถึงกล้าบุกเข้ามาอาละวาดในตระกูลอู๋ของข้า? อย่าคิดว่าใส่ชุดเกราะแล้วจะขู่ข้าได้ ข้า…”ผัวะ!ยังไม่ทันที่อู๋โหย่วเต๋อจะพูดจบ ทหารองครักษ์นายหนึ่งก็ซัดหมัดเข้าที่ท้องของเขาเต็มแรงอู๋โหย่วเต๋อร้องลั่น ร่างกายโค้งงอราวกับกุ้งต้ม“เจ้าด้วย! จับไป!”เสิ่นควานปรายตามองพ่อบ้าน ก่อนจะสั่งต่อไปยังเหล่าทหาร “ปิดล้อมตระกูลอู๋! หากไม่มีคำสั่งจากท่านอ๋อง ห้ามผู้ใดเข้าออกเด็ดขาด!”“รับทราบ!”กองทหารองครักษ์รับคำสั่งทันทีท่านอ๋อง!เมื่อได้ยินคำนี้ พ่อบ้านถึงกับรู้สึกว่าโลกหมุนคว้าง ก่อนจะล้มลงนั่งก้นกระแทกพื้น ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดท่านอ๋อง! เป็นท่านอ๋องจริงๆ!สิ่งที่เขากังวลที่สุดก็เกิดขึ้นแล้ว!อู๋โหย่วเต๋อที่กำลังเจ็บจนหน้าบิดเบี้ยวก็ถึงกับแข็งค้างไปชั่วขณะ ราวกับว่าเขา
ตระกูลอู๋นายท่านอู๋โหย่วเต๋อกำลังเอนกายบนเก้าอี้ไม้ไผ่ รับไออุ่นจากแสงแดดอย่างสบายใจ บนร่างยังมีผ้าขนสัตว์นุ่มคลุมอยู่สาวรับใช้สองนางคุกเข่าอยู่ข้างซ้ายขวาของเขา พลางนวดเฟ้นให้เป็นจังหวะเป็นตอน บางครั้งยังถูกอู๋โหย่วเต๋อใช้มือบีบเค้นร่างกายพวกนางไปด้วยสาวรับใช้ทั้งสองไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง ได้แต่ปล่อยให้อู๋โหย่วเต๋อกระทำตามใจขณะที่อู๋โหย่วเต๋อกำลังหลับตาเพลิดเพลิน พ่อบ้านก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา“นายท่าน!”พ่อบ้านดูร้อนรน รีบเข้าไปใกล้แล้วกระซิบเบาๆ ข้างหูอู๋โหย่วเต๋อลืมตาขึ้นทันที โบกมือไล่สาวรับใช้ทั้งสองออกไป ก่อนจะขมวดคิ้วแน่น “เหล่าหลิวโถวตายแล้ว? ตายได้อย่างไร?”พ่อบ้านตอบกลับ “เจ้าเฒ่านั่นบอกว่าจะออกไปเข้าห้องส้วมเมื่อคืน แต่กลับไปหยิบเชือกป่านแล้วแขวนคอตายใต้ต้นไม้ ตอนที่มีคนพบเข้าก็แข็งทื่อไปแล้ว…”“แขวนคอตายรึ?”อู๋โหย่วเต๋อถอนหายใจโล่งอกก่อนจะบ่นอย่างไม่พอใจ “มันแขวนคอตายเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา เจ้าจะร้อนรนไปทำไม?”“ข้าน้อยแค่กลัวว่าเรื่องที่เจ้าเฒ่านั่นพูดไว้จะเป็นความจริง…” พ่อบ้านสีหน้าไม่สู้ดีนัก “นายท่าน วัวตัวนั้นจะเป็นของที่ท่านอ๋องมอบให้เหล่าหลิวโถวจริ
พวกเขาต่างรู้ดีว่า การนำโหวซื่อไคมาขายแบบนี้ ย่อมทำให้โหวซื่อไคมีความแค้นต่อพวกเขาแน่นอนว่าโหวซื่อไคคงไม่คิดร่วมมือกับพวกเขาอีกหากต้องการแบ่งผลประโยชน์ในครั้งนี้ ก็มีเพียงให้หยางหุยโจวเป็นผู้เชื่อมโยงความสัมพันธ์เท่านั้น“เรื่องนี้… ไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง?”หยางหุยโจวรู้สึกโลภขึ้นมา แต่กลับทำเป็นวางตัวไว้ก่อนหากสามารถฟันกำไรจากพวกซูเฮ่อเหนียนอีกทาง หลังจากได้จากโหวซื่อไคไปแล้ว นั่นก็หมายความว่า ตนไม่ต้องลงทุนแม้แต่ตำลึงเดียว แต่กลับสามารถกอบโกยเงินมหาศาลได้!เงินขาวๆ กองโตเช่นนี้ จะให้ตนไม่หวั่นไหวได้อย่างไร?“ใต้เท้ากล่าวอะไรเช่นนั้น!”ซูเฮ่อเหนียนหัวเราะ “หากมิใช่เพราะใต้เท้า พวกเราคงยังไม่รู้เลยว่าโหวซื่อไคมีเส้นทางทำเงินเช่นนี้! นี่เป็นสิ่งที่ใต้เท้าควรได้รับอยู่แล้ว!”“ถูกต้อง!”ซูซ่งฝู่รีบเสริม “ขอใต้เท้าอย่าได้ปฏิเสธเลย!”อืม… พวกเขากล่าวมาถึงเพียงนี้แล้ว จะปฏิเสธก็ใช่ที่!หยางหุยโจวรู้สึกยินดีจนแทบกลั้นไม่อยู่ แต่สีหน้ายังคงสงบนิ่ง “เช่นนั้น… ข้าขอไปหารือกับโหวซื่อไคก่อน แล้วค่อยว่ากัน”สำเร็จแล้ว!ซูเฮ่อเหนียนและซูซ่งฝู่สบตากัน ก่อนจะเผยรอยยิ้มพึงพอใจตราบใดที่