หากเขารายงานเรื่องนี้ต่อราชสำนัก คนเหล่านั้นไม่โกรธแค้นก็แปลกแล้วล่ะ!หลายคนที่สวามิภักดิ์ต่อเขา เกรงว่าจะกลับลำเป็นแน่!แต่ตอนนี้หยุนเจิงรู้เรื่องนี้แล้ว!ต่อให้ตัวเขาเองไม่พูด เกรงว่าเจ้าหกก็คงจะกราบทูลเรื่องนี้ต่อเสด็จพ่อเป็นการส่วนตัวแน่!เมื่อถึงตอนนั้นหากเขาเอ่ยเรื่องนี้อีกครั้งทั้งๆ ที่ตนเองรู้เรื่องนี้อยู่แล้วแต่ตนกลับไม่กราบทูล เสด็จพ่อไม่ตำหนิตนก็คงจะแปลกแล้วล่ะ!ในตอนนี้หยุนลี่รู้สึกอยากตบหน้าตัวเองสักฉาดสองฉาดอยู่ดีไม่ว่าดี รนหาที่มาถึงนี่เพื่ออันใดกัน“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ข้าจะเข้าวังไปกราบทูลเสด็จพ่อ!”หยุนลี่ลุกขึ้นรีบพรวดพราดเดินจากไป ไม่ทันแม้กระทั่งเอ่ยคำลาแต่อย่างใดเขาต้องรีบไปปรึกษาหารือกับสวีสือฝู่เพื่อคิดหาทางรับมือให้เร็ว!เห็นหยุนลี่รีบเดินพรวดพราดออกไปด้วยท่าทางตื่นตระหนกเช่นนี้ สีหน้าของหยุนเจิงก็เผยรอยยิ้มสะใจขึ้นเยี่ยจื่อกลั้นความตลกขบขันเอาไว้ แอบคิดในใจว่าเจ้าบ้านี่ช่างร้ายกาจไม่เบาเลย…หลังจากที่ออกมาจากจวนหยุนเจิง หยุนลี่รีบรุดมุ่งหน้ามาที่จวนสวีสือฝู่ทันทีเมื่อเขาเล่าเรื่องนี้ให้สวีสือฝู่ฟัง สวีสือฝู่ก็เคร่งเครียดขึ้นห
ยามรัตติกาล จักรพรรดิเหวินยังคงอยู่ในห้องทรงพระอักษรเนื่องมาจากเรื่องของคณะทูตเป่ยหวน จักรพรรดิเหวินจึงไม่ได้สนใจสนมเหล่านั้นแล้วเขาไม่มีจิตใจไปคิดเรื่องนั้นจริงๆ!ครุ่นคิดถึงเรื่องที่จะปรึกษาหารือคณะทูตเป่ยหวนขอเสบียง จักรพรรดิเหวินก็กลุ้มพระทัยจนบรรทมไม่หลับ“ก๊อกๆ…”ทันใดนั้นเองเสียงเคาะประตูจากด้านนอกก็ดังขึ้น“เข้ามา!”จักรพรรดิเหวินเงยพระพักตร์ขึ้นด้วยสีพระพักตร์ที่เหนื่อยล้าองครักษ์เงารุดเดินเข้ามากระซิบถ้อยคำซึ่งเป็นความลับข้างพระกรรณเมื่อได้ยินถ้อยคำขององครักษ์เงาเข้า จู่ๆ นัยน์พระเนตรจักรพรรดิเหวินแผ่ซ่านจิตสังหารออกมาทันที“เป็นเรื่องจริงแท้แน่ชัดหรือไม่?”จักรพรรดิเหวินตรัสถามด้วยสีพระพักตร์ที่เย็นชาองครักษ์เงาพยักหน้าช้าๆ“ช่างบังอาจยิ่งนัก!”นัยน์พระเนตรจักรพรรดิเหวินเต็มไปด้วยจิตสังหารหลังจากศึกการสู้รบเมื่อห้าปีก่อน เขาได้กำชับทุกกรมอย่างเคร่งครัดให้จัดการเงินบำรุงขวัญให้กับครอบครัวเหล่าทหารผู้พลีชีพอย่าให้ขาดตกบกพร่องผู้ใดกล้าทุจริตยักยอก ต้องถูกลงโทษขั้นเด็ดขาด!นึกไม่ถึงเลยว่าจะคนกล้ากระทำเรื่องเช่นนี้ขึ้น!หลังจากพยายามระงับโท
“...”หยุนเจิงหมดคำจะพูดจริงๆประสาทไปแล้วหรือไร!ดึกๆ ดื่นๆ วิ่งเต้นมาหาข้าถึงที่นี่ด้วยเหตุใดกันหรือเพราะเรื่องการทุจริตยักยอกเงินบำรุงขวัญอย่างนั้นหรือ“เจ้าไปเตรียมชา ประเดี๋ยวข้าตามไป!”หยุนเจิงสั่งการ และลุกจากเตียงซินเซิงรุดวิ่งพรวดพราดเข้ามา “องค์ชาย ให้ข้าน้อยเปลี่ยนอาภรณ์ให้เถอะเพคะ!”“เอาล่ะๆ ไม่ต้อง! ข้าเปลี่ยนเอง!”หยุนเจิงปฏิเสธซินเซิงและเปลี่ยนชุดเองไม่นานนักหยุนเจิงก็เปลี่ยนชุดเสร็จและเดินออกมานอกห้องเมื่อเห็นหยุนเจิง ขันทีในวังก็รีบโค้งทำความเคารพ “องค์ชาย ฝ่าบาทมีพระบัญชาว่าการประชุมหารือในวันพรุ่งจะเริ่มก่อนเวลาที่กำหนดไว้ครึ่งชั่วยามพ่ะย่ะค่ะ”นี่กำลังล้อเล่นอันใดกัน?เริ่มก่อนเวลาที่กำหนดไว้ครึ่งชั่วยาม?นี่มันบ้าอะไรกัน?จะไม่ให้หลับนอนเลยหรืออย่างไร“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว”หยุนเจิงตอบด้วยความหดหู่ และถามต่ออีกว่า “เกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นหรือ?”“กระหม่อมไม่อาจทราบได้พ่ะย่ะค่ะ”ขันทีผู่ส่งข่าวกล่าว “แต่ดูจากสีหน้าของหัวหน้าขันทีมู่แล้วคงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“เอาล่ะ ขอบใจเจ้ามาก”หยุนเจิงหยักหน้า และให้ผู้ดูแลจวนตบรางว
เมื่อได้ยินจักรพรรดิเหวินตรัสเช่นนี้ เหล่าขุนนางก็เข้าใจได้ทันทีไส้ศึก!มีคนในราชสำนักแอบส่งข่าวให้กับคณะทูตเป่ยหวน!มิน่าล่ะว่าเหตุใดจักรพรรดิเหวินถึงได้โกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้ที่แท้ก็กำลังจะมีคนซวยนี่เอง!หยุนลี่กับสวีสือฝู่แอบสบตากัน แอบหัวเราะอยู่ในใจ!เป็นอย่างที่พวกเขาคาดเอาไว้ไม่มีผิด!ปานปู้เคลื่อนไหวตามแผนที่วางไว้แล้ว!หยุนลี่เงยหน้ามองหยุนเจิง แอบสะใจอยู่ในใจเจ้าคนขี้ขลาด!นี่คือจุดจบที่เจ้ากล้าบังอาจล่วงเกินข้า!หยุนเจิงก้มหน้า แอบดีใจอยู่ในใจบัดซบ!โชคดีนะที่บิดาได้เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า!มิเช่นนั้นเกรงว่าต้องโดนเล่นงานไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเป็นแน่!มู่ซุ่นโค้งคำนับด้วยความเคารพ สองมือหงายรับจดหมายฉบับนั้นมาจากจักรพรรดิเหวิน และอ่านจดหมายฉบับนั้นต่อหน้าเหล่าขุนนางทั้งท้องพระโรง “องค์ชายหก…”ข้อความในจดหมายนั้นเป็นถ้อยคำง่ายมากก็แค่ปานปู้เขียนจดหมายแจ้งหยุนเจิงว่า ในงานเลี้ยงต้อนรับก่อนหน้านี้ เขาได้ร่วมมือกับหยุนเจิงแสดงละครฉากใหญ่นั้นจนจบ และในการประชุมหารือเรื่องขอเสบียงในวันนี้ ขอให้หยุนเจิงช่วยสนับสนุนให้สักหน่อย! หากสำเร็จ เป่ยหวนจะขอบคุ
“หุบปาก!”ทันใดนั้นจักรพรรดิเหวินก็ตะคอกออกมาจนถึงตอนนี้เองทุกคนถึงจะเงียบปากลง“เจ้าหก เจ้ามีอันใดจะพูดหรือไม่?”สายตาของจักรพรรดิเหวินจ้องมองและกล่าวถามหยุนเจิงอย่างดุดันหยุนเจิงส่ายหน้าช้าๆ ยิ้มเจื่อนๆ พลางกล่าว “ลูก…ไม่มีอันใดจะพูดพ่ะย่ะค่ะ”“พูดเช่นนี้แสดงว่าเจ้ายอมรับแล้วอย่างนั้นหรือ”แสงเย็นวาบผ่านดวงตาของจักรพรรดิเหวิน“ลูกจะยอมรับหรือไม่ มันก็ไม่ได้ต่างอันใดกันหรอกพ่ะย่ะค่ะ”หยุนเจิงยิ้มเจื่อนและกล่าวต่อ “ลูกไม่อาจแก้ตัวและไม่อาจพิสูจน์ความบริสุทธ์ได้พ่ะย่ะค่ะ! ต่อให้ลูกไม่ยอมรับ แต่หลักฐานที่คนของเป่ยหวนทิ้งให้ประจักษ์ตรงหน้าเช่นนี้แล้ว ลูกยังจะพูดอันใดได้อีกล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”“องค์ชายหก ท่านสามารถแก้ตัวได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวว่านโฉวกล่าวเตือน “องค์ชายหกบอกว่ารูบิคนั่นอ่านเจอมาจากตำราโบราณเล่มหนึ่งไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายหกเอาตำราโบราณเล่มนั้นออกมา เช่นนี้ก็สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ขององค์ชายได้แล้ว”นี่เป็นโอกาสเดียวที่หยุนเจิงจะพิสูจน์ได้ว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่เขาเอาตำราเล่มนั้นออกมา ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าเขาไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับพวกเป่ยห
เหล่าบรรดาขุนนางต่างเอ่ยปากกล่าว ทว่า จักรพรรดิเหวินกลับไม่ได้เอ่ยปากกล่าวสิ่งใดออกมา“ฝ่าบาท มิสู้ให้โอกาสองค์ชายหกได้เผชิญหน้ากับคณะทูตเป่ยหวนสักครั้งล่ะพ่ะย่ะค่ะ”ในตอนนี้ เซียวว่านโฉวเอ่ยปากกล่าวอีกครั้ง พยายามเป็นครั้งสุดท้าย“องค์ชายหกเองก็ยอมรับแล้ว ยังต้องเผชิญหน้ากันอีกหรือ”สวีสือฝู่กล่าวเสียงแข็ง “ต่อให้จะให้โอกาสองค์ชายหกได้เผชิญหน้ากับคณะทูตเป่ยหวน แต่คิดหรือว่าคณะทูตเป่ยหวนจะยอมรับ?”คำพูดของสวีสือฝู่ได้รับการสนับสนุนจากเหล่าขุนนางจำนวนมาก แม้แต่หยุนเจิงเองก็เห็นด้วยต่อให้มีโอกาสนั้น ก็เป็นเพียงแค่ยืดเวลาออกไปก็เท่านั้นปานปู้ไม่มีทางยอมรับว่าเด็ดขากว่าใส่ร้ายป้ายสีเขายิ่งไปกว่านั้น มันอาจจะเป็นการเติมเชื้อเพลิงในไฟซ้ำอีกคำพูดของสวีสือฝู่ทำให้เซียวว่านโฉวพูดไม่ออกอีกครั้งเซียวว่านโฉวเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ ฝีปากจะสู้ขุนนางฝ่ายบุ๋นได้อย่างไรกันหลังจากที่นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ทันใดนั้นเซียวว่านโฉวก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เสียง ตุ้บ! ดังขึ้นหนึ่งครา เขาคุกเข่าลง “ฝ่าบาท อย่างไรเสียองค์ชายหกก็เป็นโอรสของฝ่าบาท ในเมื่อต้องโทษถึงความตาย ก็ไม่อาจตายเพียงเพราะข้
“ไม่ลืม!”ปานปู้ส่ายหน้าพลางกล่าว “เรื่องการคาราวะมีข้อจำกัดเพียงแค่คืนก่อนเท่านั้น ส่วนวันนี้นั้น ไม่นับ!”จักรพรรดิเหวินเจ็บใจยิ่งนัก แอบสบถด่าในใจตาเฒ่านี่ฉวยโอกาส“เอาเถอะ! อย่างไรเสีย ราชครูก็เคยก้มคุกเข่าคารวะข้าแล้ว!”จักรพรรดิเหวินโบมือพลางกล่าวอย่างราบเรียบว่า “ช่วงนี้ข้าอารมณ์ไม่ค่อยดี ไม่อยากพูดจามากความ ราชครูมีเรื่องอันใดก็บอกมาตามตรงเถอะ เป่ยหวนต้องการให้ต้าเฉียนสนับสนุนเสบียงเป็นจำนวนเท่าไหร่?”“สามล้านตัน!”ปานปู้เอ่ยปากกล่าว“ว่าอย่างไรนะ?”“สามล้านตันอย่างนั้นหรือ?”“เรื่องนี้ ไม่ได้เด็ดขาด!”“หากมอบเสบียงให้เป่ยหวนหมด แล้วชาวต้าเฉียนจะกินอะไร?”“นั่นน่ะสิ ต้าเฉียนเก็บภาษีเสบียงปีนึงก็ได้แค่แปดล้านตันเท่านั้น…”เหล่าบรรดาขุนนางคัดค้านทันทีหยุนเจิงเองก็แอบสบถด่าเช่นกันสามล้านตัน ไม่ใช่สามร้อยล้านเม็ดเพ้อฝันมากเกินไปแล้ว!“ไม่ใช่สิ ไม่ๆๆ!”ปานปู้ส่ายหน้าหัวเราะหึๆ ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าราชครูได้ยินมาว่าปีนี้ต้าเฉียนเก็บเกี่ยวได้เยอะเป็นพิเศษ ภาษีเสบียงปีนี้เก็บเกี่ยวได้มากกว่าสามสิบล้านตัน ส่วนที่เป่ยหวนร้องขอยังไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนเลย!”ทันทีที่ปาน
ทันทีที่สิ้นเสียงของปานปู้ หนังตาของหยุนเจิงกระตุกขึ้นทันทีบัดซบ!คิดจะเอาเสบียงวางหมากอย่างนั้นหรือ?เจ้าสุนัขปานปู้ผู้นี้คงไม่ใช่ทะลุมิติมาด้วยกระมังหรือจะมีคนเหมือนข้า ที่ทะลุมิติไปที่เป่ยหวนในขณะเดียวกันนั้น เหล่าขุนนางของต้าเฉียนเองก็อดแอบคำนวณในใจคร่าวๆ ไม่ได้นี่มัน…ดูแล้วก็ไม่ได้มากมายนัก!ก็แค่เดือนเดียวไม่ใช่หรอกหรือหากใช้วิธีนี้ ก็เท่ากับมอบเสบียงให้พวกนั้นรอดตายไปเพียงแค่ไม่กี่แสนตันดีกว่าให้สามล้านตัน!จักรพรรดิเหวินเองก็เองคำนวณอยู่ในใจเช่นกันเพียงแต่ว่า ราชวงศ์ต้าเฉียนไม่ได้มีคนที่คิดคำนวณเก่งมากนักจักรพรรดิเหวินคิดคำนวณอยู่นานโขก็รู้สึกว่าการให้เสบียงด้วยวิธีนี้ก็ไม่ได้มากมายนัก นับว่าเป็นข้อตกลงที่ดีเพียงแต่ว่า เขากังวลว่าจะตกหลุมพลางปานปู้ผู้นี้อีกแต่เขาคิดคำนวณครั้งแล้วครั้งเล่าก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่กับดักมอบเสบียงวิธีนี้ ดูเหมือนมันไม่ได้มากมายอันใดเลยจริงๆอีกอย่างให้วันละนิดหน่อย ต้าเฉียนคลายความกดดันไปได้มาก!อืม ดูเหมือนว่าข้อเสนอนี้จะไม่เลวเลย!“เสด็จพ่อ วิธีนี้ก็ไม่เลวนะพ่ะย่ะค่ะ”หยุนลี่แสดงความคิดเห็นกล่าวต่ออีกว่า “ลูกค
เมื่อเห็นทั้งสองคน ทหารยามที่อยู่หน้ากระโจมรีบคำนับ“ไม่ต้องมากพิธี!”หยุนเจิงโบกมือ แล้วพาเมี่ยวอินเข้าไปในกระโจมแม้ว่าทัวต๋าจะฟื้นสติได้สองสามวันแล้ว แต่สีหน้าของเขายังคงดูแย่มาก แทบไม่มีเลือดฝาด ดูเหมือนคนที่ใกล้สิ้นใจเต็มทีเมื่อเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา ทัวต๋าถามอย่างแผ่วเบา “หยุน... หยุนเจิง?”นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกันแต่ทัวต๋าก็สามารถตัดสินได้ทันทีว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้คือจิ้งเป่ยอ๋อง หยุนเจิง“ใช่แล้ว!”หยุนเจิงพยักหน้า พร้อมจ้องทัวต๋าด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าคงได้ยินข่าวว่ากองทัพของเจ้าพ่ายแพ้ทั้งสายแล้วใช่หรือไม่? หากยังไม่ทราบ ข้าก็ยินดีบอกให้เจ้าฟัง”ทัวต๋ารู้ข่าวการพ่ายแพ้ของกองทัพแนวหน้าแล้วจริงๆอีกทั้ง ยังรู้ด้วยว่าพวกเขาพ่ายแพ้อย่างไรแม้ว่าเขาจะไม่เคยออกจากกระโจม แต่ก็ได้ยินทหารยามที่อยู่นอกกระโจมพูดถึงเรื่องนี้ไม่น้อย“เจ้าต้องการ…ให้ข้ายอมจำนนหรือ?”ทัวต๋าพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หายใจรัว พร้อมกับคาดเดาจุดประสงค์ของหยุนเจิงได้“ใช่แล้ว!”หยุนเจิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าจะไม่พูดอ้อมค้อมกับเจ้า ตราบใดที่เจ้ายอมรับเงื่อนไขของข้า ข้าก็จะให้โอกาสเจ้าแ
เช้าวันรุ่งขึ้น หยุนเจิงก็ได้รับข่าวว่าหวังชี่ฟื้นแล้ว“ดียิ่งนัก!”หยุนเจิงตะโกนด้วยความดีใจ ก่อนจะรีบเรียกเมี่ยวอินว่า “เร็ว ไปดูหวังชี่กัน!”พูดจบ หยุนเจิงก็คว้ามือเมี่ยวอินแล้ววิ่งไปยังกระโจมที่หวังชี่อยู่โดยไม่รอคำตอบเมื่อพวกเขามาถึงกระโจม ด้านในก็เต็มไปด้วยผู้คนทั้งหมดเป็นทหารใต้บัญชาของหวังชี่“พอแล้ว พอแล้ว! ออกไปกันก่อนเถอะ ข้างในคนแน่นขนาดนี้ เหลวไหลเกินไปแล้ว?”หยุนเจิงไล่ทหารที่ล้อมอยู่ในกระโจมให้ออกไปทั้งหมด แล้วให้เมี่ยวอินจับชีพจรของหวังชี่เพื่อตรวจดูว่าอาการบาดเจ็บของเขาเริ่มคงที่แล้วหรือยังหวังชี่รู้สึกซาบซึ้งใจจนพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา “ขอบ…ขอบคุณฮูหยินเมี่ยว…”“พอแล้ว อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้!”เมี่ยวอินขัดหวังชี่ก่อนจะตั้งใจจับชีพจรของเขาต่อหยุนเจิงพยักหน้าให้หวังชี่เล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรหลังจากนั้นไม่นาน เมี่ยวอินก็ปล่อยข้อมือของหวังชี่ พร้อมกับถอนหายใจโล่งอกก่อนจะพูดว่า “ชีวิตเจ้าถือว่ารอดมาได้แล้ว! แต่คราวนี้เจ้าบาดเจ็บหนักมาก คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะฟื้นตัว”หวังชี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าวขอบคุณเมี่ยวอินอีกครั้ง “ขอบ…ขอบคุณฮูหยินเมี่ยวอิน…ที่ช่ว
หวังชี่ยังคงอยู่ในอาการหมดสติ และมีไข้สูงที่ไม่ลดลงเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าไข้ของหวังชี่เกิดจากร่างกายที่อ่อนแอเกินไป หรือเพราะบาดแผลติดเชื้อเมี่ยวอินเตรียมยาต้มให้คนคอยป้อนหวังชี่ แต่จนถึงตอนนี้ ไข้ของหวังชี่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะลดลงขณะที่หยุนเจิงเดินเข้ามาในกระโจม เมี่ยวอินก็กำลังตรวจอาการของหวังชี่อยู่“เป็นอย่างไรบ้าง?”หยุนเจิงถามด้วยความกังวล“ก็เหมือนเดิม ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเขาแล้ว!”เมี่ยวอินลุกขึ้นด้วยความอ่อนใจ “หากไข้ของเขาลดลงได้ ก็น่าจะรอดชีวิตได้”สิ่งที่ทำได้ นางได้ทำไปหมดแล้วตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจตจำนงในการมีชีวิตรอดของหวังชี่“เข้าใจแล้ว!”หยุนเจิงถอนหายใจเบาๆ “ไปเถิด ไปเดินเล่นข้างนอกกับข้าหน่อย”เมี่ยวอินพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนถามว่า “ท่านไปดูทัวต๋ามาหรือยัง?”ทัวต๋าฟื้นสติแล้วแต่ร่างกายยังคงอ่อนแอมาก“ยังไม่ได้ไปเลย!”หยุนเจิงส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ให้เขาฟื้นตัวก่อนเถิด ถ้าข้าไปคุยกับเขาแล้วเขาโมโหตายไป ข้าก็เสียเวลาพูดเปล่าๆ!”เมี่ยวอินชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มบางๆ “นั่นสิ! ขนาดคนที่แข็งแรงยังแทบทนไม่ไหวกับเงื่อนไขของท่าน แล้วคนที่ใกล้ตายแบบเขายิ
ขณะที่หยุนเจิงได้รับข้อความตอบกลับจากเจียเหยา เขากำลังตรวจสอบรายงานการรบที่ตู๋กูเช่อส่งมาข้อความตอบกลับของเจียเหยานั้นเรียบง่ายมากมีเพียงสองคำรับทราบ!และไม่ได้เขียนเป็นรหัสลับเพียงสองคำนี้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้รหัสลับหยุนเจิงวางข้อความของเจียเหยาทิ้งไว้ข้างๆ และตรวจสอบรายงานการรบของตู๋กูเช่อต่อองค์ชายรองแห่งโฉวฉือ หยวนเว่ย นำกองกำลังป้องกันด่านเทียนฉงทิ้งป้อมหลบหนีในปัจจุบัน จั่วเริ่นได้นำทัพเข้าไปประจำการที่ด่านเทียนฉงแล้วแต่ผลลัพธ์จากการไล่ล่าโหลวอี้ของตู๋กูเช่อและพวกกลับไม่ดีนักแม้ว่านักรบภูตสิบแปดจะสามารถสร้างความขัดแย้งระหว่างกองทัพโฉวฉือและแคว้นต้าเย่ว์ได้สำเร็จ แต่กลับไม่ได้ทำให้เกิดความโกลาหลในวงกว้าง ทำให้ศัตรูสูญเสียกำลังเพียงสามพันกว่านายเท่านั้นขณะที่ตู๋กูเช่อนำทัพไล่ตาม โหลวอี้ได้นำกองกำลังถอนตัวไปยังพื้นที่ใกล้ชายแดนแคว้นต้าเย่ว์แล้วตู๋กูเช่อนำทัพโจมตี ทำลายศัตรูได้สองพันนาย และจับเชลยได้มากกว่าสี่พันคนกองกำลังใหญ่ของโฉวฉือและแคว้นต้าเย่ว์ถูกโหลวอี้พากลับเข้าไปในแคว้นต้าเย่ว์ตู๋กูเช่อกังวลเรื่องเสบียง จึงหยุดการไล่ล่า และหันไปควบคุมเชลยศึกกล
ขณะเดียวกัน ผู้เลี้ยงเหยี่ยวที่ได้รับข่าวสารก็ควบม้ามาอย่างรวดเร็ว“องค์หญิง! ข่าวจากฝั่งจิ้งเป่ยอ๋องมาถึงแล้ว!”ผู้เลี้ยงเหยี่ยวมาถึงเบื้องหน้าพวกเขา และส่งข้อความที่ได้รับมาอย่างรวดเร็วเจียเหยารับข้อความนั้น แล้วใช้ไฟจากไม้ขีดจุดกองหญ้าแห้งเล็กๆ เพื่อเริ่มถอดรหัสข้อความกองกำลังของเราสลายกองทัพศัตรูแล้ว ให้รีบมาจับเชลยทางตะวันตกของแม่น้ำหยางฉางข้อความของหยุนเจิงนั้นสั้นกระชับอย่างไรก็ตาม ขณะที่เจียเหยาอ่านข้อความ นางกลับนิ่งอึ้งไปเจียเหยาถูตาอย่างแรง ก่อนจะตรวจสอบข้อความอีกครั้งอย่างละเอียด กลัวว่าตนเองจะถอดรหัสผิดแต่ไม่ว่านางจะถอดรหัสอีกกี่ครั้ง เนื้อหาก็ยังเหมือนเดิมหยุนเจิงนำกองกำลังสลายทัพเจ็ดหมื่นของกุ่ยฟางได้แล้วหรือ?นี่…เป็นไปได้อย่างไร?กุ่ยฟางยังมีกองกำลังถึงเจ็ดหมื่นไม่ใช่หรือ!หยุนเจิงมีกำลังพลแค่หมื่นกว่านาย และในจำนวนนั้นมีทหารม้าเพียงห้าพันเท่านั้น!พวกเขายังไม่ทันโจมตี ยังไม่ได้สมทบกับหยุนเจิงเพื่อโจมตีศัตรู หยุนเจิงก็สลายกองทัพศัตรูได้แล้ว?นี่มันบ้าไปแล้ว!หยุนเจิงทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?ถึงแม้ขวัญกำลังใจของกุ่ยฟางจะตกต่ำ ก็ไม่น่าจะถูกทำลายลงได
บนทุ่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา อวี่ซื่อจงและเจียเหยายังคงนำทัพบุกโจมตีพวกเขาใช้กลยุทธ์ในการเดินทัพเช่นเดียวกัน โดยให้กองหน้าเตรียมหญ้าแห้งสำหรับกองหลังอย่างไรก็ตาม เมื่อรวมกำลังพลของกองทหารมณฑลเหนือและเป่ยหวนเข้าด้วยกัน ก็มีจำนวนถึงสองหมื่นนายทำให้ความเร็วในการบุกโจมตีของพวกเขาช้าลงจากความเร็วในปัจจุบัน พวกเขาต้องใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งวันถึงจะไปสมทบกับหยุนเจิงได้เมื่ออวี่ซื่อจงนำกองทหารม้า 10,000 นายมาถึงทุ่งหญ้าเล็กๆ ที่เจียเหยากล่าวถึง ทหารกองทหารมณฑลเหนือก็เริ่มปฏิบัติการกันเองโดยไม่ต้องรอคำสั่งบางคนเริ่มปล่อยม้าให้เล็มหญ้า บางคนเริ่มเก็บเกี่ยวหญ้าแห้งเพื่อเตรียมไว้ให้กองกำลังเป่ยหวนที่ตามมาบางส่วนรวบรวมถุงน้ำของทุกคนแล้ววิ่งไปยังต้นน้ำเพื่อเติมน้ำอวี่ซื่อจงหยุดพัก หยิบข้าวคั่วกำมือเล็กๆ ใส่ปากเคี้ยวอย่างช้าๆ ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดในใจหลังจากผ่านไปกว่าชั่วโมง กองกำลังเป่ยหวนที่เป็นกองหลังก็มาถึงขณะนั้น กองทหารมณฑลเหนือได้เตรียมหญ้าแห้งให้ม้าศึกของพวกเขาเรียบร้อยแล้วเมื่อเจียเหยามาหา อวี่ซื่อจงยังคงจมอยู่ในความคิดของตัวเอง“แม่ทัพอวี่ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”เจี
ทัวต๋า?หยุนเจิงสะดุดใจ ก่อนจะสั่งกองทหารองครักษ์ว่า “ไปตามเหมิงตัวมา ให้เขาตรวจดูว่าคนผู้นั้นคือทัวต๋าหรือไม่!”กองทหารองครักษ์รับคำสั่งแล้วรีบรุดไปไม่นาน หยุนเจิงก็ได้รับคำตอบที่ชัดเจนคนผู้นั้นก็คือทัวต๋า ราชาแห่งกุ่ยฟางจริงๆรถม้าของทัวต๋าพลิกคว่ำระหว่างการถอนกำลัง กองทหารกุ่ยฟางที่หนีตายอย่างลนลานอาจไม่ได้สังเกตเห็นทัวต๋าเลยทัวต๋าที่หมดสติถูกหามเข้ามาเมี่ยวอินเงยหน้ามองหยุนเจิงแล้วถาม “ให้ข้าตรวจดูอาการของทัวต๋าก่อนหรือไม่?”“อย่าเพิ่งไปสนใจเขา!”หยุนเจิงส่ายหน้าเบาๆ “ช่วยหวังชี่รักษาบาดแผลก่อน!”ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ของกุ่ยฟาง นับได้ว่าถูกทำลายจนหมดสิ้นตามสถานการณ์ปกติ ต่อให้ทัวต๋าตาย กุ่ยฟางก็ควรจะยอมแพ้แล้วหากกุ่ยฟางยังไม่ยอมแพ้ เขาก็ยังมีวิธีจัดการกุ่ยฟางต่อให้ทัวต๋าตาย ยังมีทัวฮวนและเหมิงตัวอยู่มิใช่หรือ?เพียงแต่ถ้าทัวต๋ายังมีชีวิตอยู่ อาจช่วยลดความยุ่งยากได้บ้างแต่ในใจเขา ชีวิตของทัวต๋าไม่มีค่ามากเท่าชีวิตของหวังชี่เลย“เข้าใจแล้ว!”เมี่ยวอินไม่พูดอะไรอีก และลงมือใช้เส้นด้ายจากลำไส้แกะเย็บบาดแผลของหวังชี่ที่ทำความสะอาดแล้วผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วโมง เมี่
จนกระทั่งฟ้าสว่างจ้า สนามรบที่อยู่ไกลออกไปจึงค่อยๆ สงบลงทหารกุ่ยฟางหลบหนีอย่างไร้ทิศทาง หยุนเจิงก็ไม่ได้ส่งคนไล่ตามในตอนนี้ ทหารกุ่ยฟางตกอยู่ในอาการคุ้มคลั่งพวกทหารเหล่านั้นไม่มีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่ มีเพียงความคิดที่จะเอาชีวิตรอดใครที่ขวางทางพวกเขา พวกเขาก็พร้อมจะสู้ตายถ้าส่งคนไปไล่ตามตอนนี้ พวกเขาจะต้องสูญเสียมากปล่อยให้พวกมันหนีไปก่อน!อย่างไรเสีย พวกมันก็ถอนกำลังอย่างลนลาน แถมยังไม่มีเสบียงติดตัวรอจนพวกมันหมดแรงวิ่ง แล้วค่อยส่งคนไปจับตัวถึงตอนนั้น อาจไม่ต้องจับตัวพวกมันด้วยซ้ำ แค่พวกทหารที่หนีแตกพ่ายรู้ว่าการยอมแพ้จะทำให้พวกเขามีข้าวกิน พวกมันก็จะเข้ามายอมจำนนเองหยุนเจิงวางกล้องส่องทางไกลลง แล้วหันไปสั่งชวีจื้อว่า “รีบพาคนไปกวาดล้างสนามรบ ฆ่าศัตรูที่บาดเจ็บสาหัสให้ตายอย่างรวดเร็ว! ระวังแยกแยะคนของเราให้ดี!”“ขอรับ!”ชวีจื้อรับคำสั่ง แล้วนำคนเข้าไปยังสนามรบที่เต็มไปด้วยความพินาศคนของพวกเขาจะผูกผ้าขาวไว้รอบข้อเท้า เพียงแค่เลิกกางเกงขึ้นมาก็จะมองเห็นแม้ว่าจะเสียเวลาอยู่บ้าง แต่วิธีนี้ช่วยลดโอกาสที่จะฆ่าทหารบาดเจ็บฝ่ายตัวเองได้มากที่สุดขณะที่ชวีจื้อนำคนเข้
เมื่อพวกเขาบุกเข้าไป ความโกลาหลในกองทัพกุ่ยฟางก็ยิ่งแพร่กระจายออกไปทหารที่ประสาทตึงเครียดถึงขีดสุดสูญเสียความเชื่อใจต่อคนรอบข้าง บนสมรภูมินั้นดูเหมือนว่าทุกแห่งหนจะเต็มไปด้วยศัตรู“เกิดอะไรขึ้น?”ชื่อเหยียนที่ได้ยินเสียงความวุ่นวาย รีบวิ่งออกมาจากกระโจม และเจอกับทหารที่หน้าตาตื่นตระหนกวิ่งมารายงาน“ฝ่าบาท ศัตรูบุกเข้ามาแล้ว! ทั่วทั้งค่ายมีแต่ศัตรู...”ทหารรายงานด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก“อะไรนะ?”ชื่อเหยียนถึงกับใจสั่นไหวในค่ายเต็มไปด้วยศัตรูอย่างนั้นหรือ?หรือศัตรูบุกโจมตีครั้งใหญ่จริงๆ?ชื่อเหยียนตกใจจนแทบทำอะไรไม่ถูก แต่พยายามบังคับตัวเองให้สงบ แล้วตะโกนสั่งเสียงดัง “ตีเกราะ! รีบตีเกราะเดี๋ยวนี้! ส่งคำสั่งไปยังทุกกอง ต้องสกัดศัตรูให้ได้ ฆ่าศัตรูแล้วไล่มันกลับไป!”ทันทีที่คำสั่งของชื่อเหยียนถูกส่งออกไป เสียงกลองดังกึกก้องไปทั่วค่าย“ตึง ตึง ตึง...”เสียงกลองที่ดังถี่ยิบเป็นสัญญาณบอกการโจมตีเมื่อได้ยินเสียงกลองดังนี้ กองทหารกุ่ยฟางก็เริ่มโจมตี “ศัตรู”ทว่าทุกครั้งที่พวกเขาโจมตี ความโกลาหลกลับยิ่งลุกลามเร็วขึ้นเมื่อได้ยินเสียงกลองถี่ยิบดังมาจากกองทัพกุ่ยฟาง ใบหน้าของหย