หยุนเจิงลูบคางแล้วครุ่นคิด “ก็แค่ประมาณสามแสนตำลึงเงินกระมัง!”ก็แค่...สามแสนตำลึงเงิน?ใบหน้าหญิงสาวทั้งหลายกระตุกอย่างแรงไอสารเลวนี่!ยังคิดว่าหลอกมาน้อยไปใช่หรือไม่?“แค่สามแสนที่ไหน!”เยี่ยจื่อกรอกตาบนมองหยุนเจิง “มีถึงหกแสน!”“ห๊า?”หยุนเจิงมึนงง “ไม่เยอะขนาดนั้นมั้ง?”“หยุนลี่ได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า คงต้องโกรธตายเพราะเจ้า!”เยี่ยจื่อมองหยุนเจิงหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “แค่หลายวันก่อนที่จะออกจากเมืองจักรพรรดิ เจ้าก็หลอกเงินเขามาสามแสนตำลึงแล้ว! ยังมีก่อนหน้านี้ที่เจ้าหลอกเขา บวกกับของขวัญที่เขาให้เจ้าตอนแต่งงาน ต้องมีหกแสนตำลึงแน่นอน...”เยี่ยจื่อเริ่มแจกแจงบัญชีกับหยุนเจิงเบ็ดเตล็ดรวมกันแล้วมีถึงหกแสนตำลึงเงินจริงด้วย!เมื่อได้ฟังรายละเอียดบัญชีจากเยี่ยจื่อ พวกเสิ่นลั่วเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันและกันไอสารเลวนี่ ใช้ได้เลย!มิน่าเล่าหยุนลี่จึงเกลียดเขาลึกฝังหุ่นเช่นนั้น!เขาปลอกลอกสมบัติของหยุนลี่จนหมดบ้านแล้ว!หยุนลี่ไม่เกลียดเขามากก็แปลกแล้ว!“เขาจ่ายเงินหกแสนตำลึงเงินซื้อตำแหน่งรัชทายาท ไม่ขาดทุนเช่นกัน!”หยุนเจิงหัวเราะ “อย่าเสียเวลานับบัญชีอยู่นี่เลย
ต่อจากนี้ไป ทหารภาคสนามของทุกกองล้วนมารวมตัวกันที่เมืองซั่วฟางแต่ว่า เนื่องจากทหารภาคสนามเหล่านี้ต้องขนเสบียงจำนวนมาก บวกกับหิมะทำให้ถนนลื่นอีกด้วย เป็นผลให้ความเร็วในการเดินทัพของพวกเขาช้ามากทหารของเมืองหม่าอี้และสู้ฉวีอยู่ใกล้กับเมืองซั่วฟางยังดีหน่อย ประมาณสี่หาวันก็สามารถมาถึงเมืองซั่วฟางได้แล้วแต่ทหารเมืองเทียนหูและโม่หยาง อย่างน้อยต้องใช้เวลาสิบวันจึงจะมาถึงหยุนเจิงก็ไม่สามารถรอได้นานเช่นนั้น รอให้ทหารเมืองหม่าอี้และสู้ฉวีมาถึง ก็คัดเลือกทหาร ต่อตั้งทหารม้าวิญญาณสิบแปดคนขึ้นมาก่อนรอให้ทหารที่อยู่ข้างหลังมาถึง ก็ค่อยคัดเลือกอีกหน่อย เป็นทหารกองหนุน“เหตุใดเจ้าจึงจำเป็นต้องใช้สิบแปดคนด้วย?”ระหว่างทางกลับ เสิ่นลั่วเยี่ยนถามด้วยความสงสัยหยุนเจิงหัวเราะและตอบคำถาม “ผู้ชายน่ะ สำหรับหมายเลขสิบแปด ล้วนมีความหมกมุ่นไม่มากก็น้อย”“หมกมุ่น?”เสิ่นลั่วเยี่ยนยิ่งไม่เข้าใจ “หมายเลขสิบแปดนี่มีสิ่งใดให้หมกมุ่น?”“เรื่องนี้ก็ไม่เข้าใจแล้ว?”หยุนเจิงหัวเราะคิกคัก “อย่างเช่น ท้องฟ้าอายุสิบแปด ศิลปะการต่อสู้สิบแปดชนิด สัมผัสที่สิบแปด..”“พูดจาเหลวไหล!” เสิ่นลั่วเยี่ยนเบะปาก “ไม่ส
จริงหรือ?หยุนเจิงเกิดตื่นเต้นขึ้นมาในใจแต่ว่า คิดถึงข่าวร้ายที่จางซูพูดถึง ความดีใจของหยุนเจิงลดลงไปครึ่งหนึ่ง จากนั้นถามหยั่งเชิง “เจ้าอย่าบอกข้านะ ข่าวร้ายก็คือม้าศึกแพงมาก?”“ไม่เสียแรงที่เป็นองค์ชายหก ฉลาดมาก!”จางซูส่งคำเยินยอ หัวเราะฝืนกล่าว “เขาต้องการทองคำห้าสิบตำลึงต่อม้าหนึ่งตัว!”“เท่า...เท่าไหร่นะ?”หยุนเจิงเกือบกัดลิ้นของตัวเอง “ทองคำห้าสิบตำลึง? บ้าไปแล้ว! ม้าศึกอะไรของเขากัน ถึงกล้าเสนอราคาห้าสิบตำลึงทอง?”ม้าศึกหนึ่งตัวหน้าห้าสิบตำลึงทอง!นั่นเท่ากับม้าหนึ่งตัวห้าพันตำลึงเงิน?เขาจะเอาหกล้านตำลึงเงินที่ไหนมาซื้อม้าหนึ่งพันตัว?มารดามันสิใจดำเกินไปแล้วมั้ง?ใจดำกว่าพ่อค้าหน้าเลือดจางซูเสียอีก!“ก็แค่ม้าศึกธรรมดา”จางซูยักไหล่ กระซิบ “อีกทั้งจำนวนไม่มาก ก็แค่ยี่สิบตัว! คนผู้นั้นเป็นญาติหม่าเจิ้งของสนามม้าโม่หยาง แต่ม้าศึกที่สนามม้าแห่งนั้นถูกควบคุมเข้มงวด เขาไม่กล้าขยับมากมาย...”ยี่สิบตัว?หยุนเจิงบ่นในใจมารดาเจ้าสิ!จำนวนน้อย ยังจะราคาแพงหูฉีก!ตอนนี้เขาจะใช้ม้าศึกยี่สิบตัวทำอะไรได้?หยุนเจิงขบคิด จากนั้นก็เอ่ยกับจางซู “เจ้าติดต่อกับเขาให้มากหน่อย
เช้าวันที่สอง หยุนเจิงกินอาหารง่ายๆ และเตรียมตัวออกเดินทางตอนทที่กำลังจะขยับตัว เยี่ยจื่อถือชุดคลุมขนสัตรว์ขาวราวหิมะเดินออกมา จากนั้นก็มอบชุดคลุมขนสัตว์ให้กับเสิ่นลั่วเยี่ยน “เอาไปให้องค์ชายสวม อากาศหนาวเช่นนี้ เขายังต้องไปสู้ฉวี แต่อย่าเป็นหวัดเพราะลมหนาวอีก”เมื่อได้ฟังคำพูดเยี่ยจื่อ หยุนเจิงพลันมีเส้นสีดำคาดใบหน้ามองเสิ่นลั่วเยี่ยนผู้หญิงคนนี้ปากมากเกินไปแล้ว?เขายังกำชับนางไม่ให้บอกเรื่องนี้กับพวกเยี่ยจื่อ เขาบอกตอนจากไปเผชิญกับสายตาของหยุนเจิง เสิ่นลั่วเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะผวาในใจ แต่ปากกลับไม่ยอมแพ้ “มองอะไรล่ะ? เจ้าไม่ได้ไปปล้นไปขโมยเสียหน่อย มีสิ่งใดพูดไม่ได้?นางก็เองก็ไม่ทันระวังพลั้งปากที่สำคัญคือนางไม่มีจิตใจคิดระแวงเยี่ยจื่อ คุยกับเยี่ยจื่อโดยไม่ต้องกังวลสิ่งใด ล้วนแค่คุยกับด้วยปากเท่านั้นดังนั้นจึงไม่ทันระวังพลั้งปากไปแล้ว“ใช่ใช่ พระชายาพูดล้วนมีเหตุผล”หยุนเจิงยิ้มอย่างจนใจ จากนั้นก็กางแขนทั้งสองเอ่ย “พระชายา รีบสวมให้ข้าสิ”เสิ่นลั่วเยี่ยนกรอกตามองเขา หยิบชุดคลุมขนสัตว์สวมให้เขาชุดคลุมขนสัตว์นี้เยี่ยจื่อหาคนทำตามความต้องการของหยุนเจิงสีขาวหิมะตลอดตัว
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน อวี๋ซื่อจงก็เดินเข้ามา“องค์ชาย ท่านลองคิดดูอีกรอบเถอะ!”อวี๋ซื่อจงสีหน้าสงสัย “สถานที่นั้นผิดปกติจริง! ข้ากับพี่ตู้ก่อนหน้านี้ล้วนไม่เชื่อเรื่องแดนมรณะ ต่อมาได้ไปอยู่ครั้งนึง เกือบตายอยู่ที่นั่น...”ชื่อเสียงหุบเขาหิมะแห่งความตายของภูเขาหิมะมี้อวินนั้นเลื่องลือ ยืนยันได้จากชีวิตคนจำนวนมาก!หากหุบเขาแห่งนั้นไม่มีสิ่งใดน่ากลัว เป่ยหวนและต้าเฉียนคนส่งคนไปป้องกันปากทางเข้าของหุบเขาแห่งนั้นไปนานแล้ว“วางใจเถอะ ข้าไม่โง่เข้าไปข้างในหรอก ก็แค่ไปดูเท่านั้น!”หยุนเจิงหัวเราะเล็กน้อย จากนั้นก็ถามอีก “เจ้าและตู้กุยหยวนไปที่นั่นช่วงฤดูร้อนใช่หรือไม่?”อวี๋ซื่อจงครุ่นคิด “ประมาณนั้น! ถึงเช่นไรตอนนั้นก็ยังร้อนมาก”“เช่นนั้นก็ถูกแล้ว”หยุนเจิงยิ้มเล็กน้อยเอ่ย “พวกเจ้าไปลองตอนฤดูร้อนแล้ว แต่ฤดูหนาวล่ะ? หากฤดูหนาวไม่อันตรายเช่นนั้นล่ะ แล้วเป่ยหวนเสี่ยงส่งคนลอบเข้าไปในหุบเขา พวกเราจะทำเช่นไร?”เป็นฤดูร้อนก็ถูกแล้ว!ฤดูร้อนเป็นช่วงที่มีพายุฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นบ่อยครั้งอาจมีสนามแม่เหล็กผิดปกติอยู่ข้างใน เลยกลายเป็นสาเหตุให้ถูกฟ้าผ่าบ่อยครั้งโดยเฉพาะเมื่อมีคนพกอาวุธเข้าไ
โชคของพวกเขานับว่าไม่เลว ไม่นานก็หาถ้ำภูเขาตามธรรมชาติแห่งหนึ่งพบ ม้าและคนสามารถหลบอยู่ภายในถ้ำได้ แค่ตัดต้นไม้เพิ่มมากั้นทางเข้าถ้ำเพื่อป้องกันลมหนาวในตอนกลางคืนม้าและคนเมื่ออยู่ในถ้ำ อากาศย่อมไม่น่าสูดดมเท่าใดแต่ว่า สามารถหาสถานที่พักพิงในคืนอันเหน็บหนาวได้ ก็นับว่าไม่เลวแล้วทรมานมาหนึ่งวัน ทุกคนล้วนเหนื่อยแล้วหลังจากต้มหิมะและกินอาหารแห้งไปสักพัก ทุกคนล้อมวงนั่งข้างกองไฟ เข้าสู่ห้วงนิทราทว่า ทำเช่นไรหยุนเจิงก็นอนไม่หลับทันใดนั้นเขาก็ตระหนักถึงปัญหาร้ายแรงเขาประเมินสงครามของสมัยโบราณง่ายไปแล้ว!โดยเฉพาะสงครามในฤดูหนาว!หากทหารบุกเข้าไปในฤดูหนาว ไม่มีห่วงโซ่อุปทานทหารที่สมบูรณ์ อย่าว่าแต่สู้รบเลย คนและม้าไม่หิวตายหรือหนาวตายก่อนก็ไม่เลวแล้ว!พวกเขาแค่กองเล็กสิบกว่าคน พบเจอปัญหาในป่ามากมายเช่นนี้แล้ว หากต้องพาทหารม้าเป็นหมื่นมาด้วย รอให้อากาศหนาวขึ้นอีกหน่อย จะเอาชีวิตรอดจากกลางคืนที่เหน็บหนาวได้เช่นกันล้วนเป็นปัญหา!มารดาเขาสิ ไม่เดินทางเจออุปสรรค ก็ไม่รู้ถึงความลำบากเหล่านี้!“เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่? คิ้วแทบจะผสานกันแล้ว”เสียงของเมี่ยวอินพลันดังขึ้นข้างหูหยุนเจ
“น่าจะไม่เกินสิบวัน!”อวี๋ซื่อจงกล่าว “การกินดื่มของคนง่ายต่อการแก้ไข แต่การกินดื่มของม้าศึกก็เป็นปัญหา! อีกทั้ง เดินทัพในฤดูหนาวเปลืองพลังงานม้าศึกมาก หากสู้กันในฤดูหนาว ม้าศึกที่จะใช้ในปีหน้าล้วนใช้การไม่ได้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว...”ดังนั้น หากยังไม่ถึงเวลาจำเป็น เป่ยหวนและต้าเฉียนล้วนไม่คิดเดินทัพในฤดูหนาวมิฉะนั้น เมื่อสู้รบกันหนึ่งสนาม ม้าศึกเปลืองพลังงานมาก แม้ต่อให้ชนะ ก็นับว่าเป็นชัยชนะที่น่าสังเวชเท่านั้นแต่สถานการณ์ตรงหน้า ทุกคนล้วนเข้าใจ มีความเป็นไปได้สูงที่เป่ยหวนจะเสี่ยงเดินทัพในฤดูหนาวเมื่อได้ฟังคำพูดของอวี๋ซื่อจง หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะฝืนหัวเราะก่อนหน้านี้เขาช่างไร้เดียงสาไปหน่อยแล้วมักคิดว่าตัวเองเข้าใจวิชาพิชัยสงคราม เข้าใจวางแผนกลอุบาย ก็สามารถทำสงครามกับเป่ยหวนได้แล้วแต่ว่า เขากลับละเลยสิ่งพื้นฐานที่สุดไปหากไม่ใช่เพราะได้คุยเรื่องเหล่านี้กับอวี๋ซื่อจงในวันนี้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสนามรบจริงจะมีความลับมากมายขนาดนี้มิน่าเหล่าราชสำนักจึงไม่มีเวลาส่งทัพใหญ่มาสนับสนุนซั่วเป่ยเป็นเพราะกำลังทหารในปัจจุบันที่เฝ้ารักษาการอยู่ที่ซั่วเป่ยคงเพียงพอแล้วถึงเช่นไร เป่
เขาพอเข้าใจความหมายของอวี๋ซื่อจงแล้วเสด็จพ่อให้เขามาที่ซั่วเป่ย เพื่อใช้ประโยชน์จากโกรธแค้นที่ปานปู้มีต่อเขา ล่อลวงให้ปานปู้เป็นฝ่ายบุกจู่โจมเมืองซั่วฟางที่เขาอยู่ในช่วงฤดูหนาว ตัดกำลังรบของเป่ยหวนด้วยเหตุนี้ทำสงครามช่วงฤดูหนาว กำลังของเป่ยหวนจะถูกตัดทอนไปจำนานมาก!ส่วนพวกเขาก็สามารถตั้งหลัก ตัดกำลังของเป่ยหวนไม่หยุดเมื่อเป็นเช่นนี้ รอถึงต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้าใช้กำลังทหารกับเป่ยหวน โอกาสชนะของต้าเฉียนก็จะเป็นไปได้มากเขาก็เป็นเหมือนกับกองทหารโลหิตเมื่อก่อน เป็นแค่เหยื่อล่อ!ถึงเช่นไร ราชครูของเป่ยหวนก็เกลียดเขาเข้ากระดูกดำ!เมื่อเผชิญกับคำถามของหยุนเจิง อวี้ซื่อจงส่ายหน้า กุลีกุลจรปฏิเสธ “ไม่ ไม่! องค์ชายอย่าได้คิดเหลวไหล ข้าก็แค่เบื่อหน่ายเท่านั้น จึงได้สนทนากับองค์ชายเพื่อคลายเบื่อหน่ายเท่านั้น...”คลายเบื่อหน่ายหรือ?หยุนเจิงถอนหายใจในใจอวี๋ซื่อจงกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมากะทันหัน เพียงเพราะคลายเบื่อหน่ายได้เช่นไร?แต่ว่า เขาในฐานะขุนนาง มีบางเรื่องที่ไม่สะดวกจะกล่าวโดยตรง จึงได้กล่าวอ้อมค้อมไปมาเช่นนี้“เอาเถอะ!”หยุนเจิงก็ไม่ทำให้เขาลำบากใจ โบกมือกล่าว “เจ้าเองก็เดินทางมา