เช้าวันที่สอง หยุนเจิงกินอาหารง่ายๆ และเตรียมตัวออกเดินทางตอนทที่กำลังจะขยับตัว เยี่ยจื่อถือชุดคลุมขนสัตรว์ขาวราวหิมะเดินออกมา จากนั้นก็มอบชุดคลุมขนสัตว์ให้กับเสิ่นลั่วเยี่ยน “เอาไปให้องค์ชายสวม อากาศหนาวเช่นนี้ เขายังต้องไปสู้ฉวี แต่อย่าเป็นหวัดเพราะลมหนาวอีก”เมื่อได้ฟังคำพูดเยี่ยจื่อ หยุนเจิงพลันมีเส้นสีดำคาดใบหน้ามองเสิ่นลั่วเยี่ยนผู้หญิงคนนี้ปากมากเกินไปแล้ว?เขายังกำชับนางไม่ให้บอกเรื่องนี้กับพวกเยี่ยจื่อ เขาบอกตอนจากไปเผชิญกับสายตาของหยุนเจิง เสิ่นลั่วเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะผวาในใจ แต่ปากกลับไม่ยอมแพ้ “มองอะไรล่ะ? เจ้าไม่ได้ไปปล้นไปขโมยเสียหน่อย มีสิ่งใดพูดไม่ได้?นางก็เองก็ไม่ทันระวังพลั้งปากที่สำคัญคือนางไม่มีจิตใจคิดระแวงเยี่ยจื่อ คุยกับเยี่ยจื่อโดยไม่ต้องกังวลสิ่งใด ล้วนแค่คุยกับด้วยปากเท่านั้นดังนั้นจึงไม่ทันระวังพลั้งปากไปแล้ว“ใช่ใช่ พระชายาพูดล้วนมีเหตุผล”หยุนเจิงยิ้มอย่างจนใจ จากนั้นก็กางแขนทั้งสองเอ่ย “พระชายา รีบสวมให้ข้าสิ”เสิ่นลั่วเยี่ยนกรอกตามองเขา หยิบชุดคลุมขนสัตว์สวมให้เขาชุดคลุมขนสัตว์นี้เยี่ยจื่อหาคนทำตามความต้องการของหยุนเจิงสีขาวหิมะตลอดตัว
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน อวี๋ซื่อจงก็เดินเข้ามา“องค์ชาย ท่านลองคิดดูอีกรอบเถอะ!”อวี๋ซื่อจงสีหน้าสงสัย “สถานที่นั้นผิดปกติจริง! ข้ากับพี่ตู้ก่อนหน้านี้ล้วนไม่เชื่อเรื่องแดนมรณะ ต่อมาได้ไปอยู่ครั้งนึง เกือบตายอยู่ที่นั่น...”ชื่อเสียงหุบเขาหิมะแห่งความตายของภูเขาหิมะมี้อวินนั้นเลื่องลือ ยืนยันได้จากชีวิตคนจำนวนมาก!หากหุบเขาแห่งนั้นไม่มีสิ่งใดน่ากลัว เป่ยหวนและต้าเฉียนคนส่งคนไปป้องกันปากทางเข้าของหุบเขาแห่งนั้นไปนานแล้ว“วางใจเถอะ ข้าไม่โง่เข้าไปข้างในหรอก ก็แค่ไปดูเท่านั้น!”หยุนเจิงหัวเราะเล็กน้อย จากนั้นก็ถามอีก “เจ้าและตู้กุยหยวนไปที่นั่นช่วงฤดูร้อนใช่หรือไม่?”อวี๋ซื่อจงครุ่นคิด “ประมาณนั้น! ถึงเช่นไรตอนนั้นก็ยังร้อนมาก”“เช่นนั้นก็ถูกแล้ว”หยุนเจิงยิ้มเล็กน้อยเอ่ย “พวกเจ้าไปลองตอนฤดูร้อนแล้ว แต่ฤดูหนาวล่ะ? หากฤดูหนาวไม่อันตรายเช่นนั้นล่ะ แล้วเป่ยหวนเสี่ยงส่งคนลอบเข้าไปในหุบเขา พวกเราจะทำเช่นไร?”เป็นฤดูร้อนก็ถูกแล้ว!ฤดูร้อนเป็นช่วงที่มีพายุฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นบ่อยครั้งอาจมีสนามแม่เหล็กผิดปกติอยู่ข้างใน เลยกลายเป็นสาเหตุให้ถูกฟ้าผ่าบ่อยครั้งโดยเฉพาะเมื่อมีคนพกอาวุธเข้าไ
โชคของพวกเขานับว่าไม่เลว ไม่นานก็หาถ้ำภูเขาตามธรรมชาติแห่งหนึ่งพบ ม้าและคนสามารถหลบอยู่ภายในถ้ำได้ แค่ตัดต้นไม้เพิ่มมากั้นทางเข้าถ้ำเพื่อป้องกันลมหนาวในตอนกลางคืนม้าและคนเมื่ออยู่ในถ้ำ อากาศย่อมไม่น่าสูดดมเท่าใดแต่ว่า สามารถหาสถานที่พักพิงในคืนอันเหน็บหนาวได้ ก็นับว่าไม่เลวแล้วทรมานมาหนึ่งวัน ทุกคนล้วนเหนื่อยแล้วหลังจากต้มหิมะและกินอาหารแห้งไปสักพัก ทุกคนล้อมวงนั่งข้างกองไฟ เข้าสู่ห้วงนิทราทว่า ทำเช่นไรหยุนเจิงก็นอนไม่หลับทันใดนั้นเขาก็ตระหนักถึงปัญหาร้ายแรงเขาประเมินสงครามของสมัยโบราณง่ายไปแล้ว!โดยเฉพาะสงครามในฤดูหนาว!หากทหารบุกเข้าไปในฤดูหนาว ไม่มีห่วงโซ่อุปทานทหารที่สมบูรณ์ อย่าว่าแต่สู้รบเลย คนและม้าไม่หิวตายหรือหนาวตายก่อนก็ไม่เลวแล้ว!พวกเขาแค่กองเล็กสิบกว่าคน พบเจอปัญหาในป่ามากมายเช่นนี้แล้ว หากต้องพาทหารม้าเป็นหมื่นมาด้วย รอให้อากาศหนาวขึ้นอีกหน่อย จะเอาชีวิตรอดจากกลางคืนที่เหน็บหนาวได้เช่นกันล้วนเป็นปัญหา!มารดาเขาสิ ไม่เดินทางเจออุปสรรค ก็ไม่รู้ถึงความลำบากเหล่านี้!“เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่? คิ้วแทบจะผสานกันแล้ว”เสียงของเมี่ยวอินพลันดังขึ้นข้างหูหยุนเจ
“น่าจะไม่เกินสิบวัน!”อวี๋ซื่อจงกล่าว “การกินดื่มของคนง่ายต่อการแก้ไข แต่การกินดื่มของม้าศึกก็เป็นปัญหา! อีกทั้ง เดินทัพในฤดูหนาวเปลืองพลังงานม้าศึกมาก หากสู้กันในฤดูหนาว ม้าศึกที่จะใช้ในปีหน้าล้วนใช้การไม่ได้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว...”ดังนั้น หากยังไม่ถึงเวลาจำเป็น เป่ยหวนและต้าเฉียนล้วนไม่คิดเดินทัพในฤดูหนาวมิฉะนั้น เมื่อสู้รบกันหนึ่งสนาม ม้าศึกเปลืองพลังงานมาก แม้ต่อให้ชนะ ก็นับว่าเป็นชัยชนะที่น่าสังเวชเท่านั้นแต่สถานการณ์ตรงหน้า ทุกคนล้วนเข้าใจ มีความเป็นไปได้สูงที่เป่ยหวนจะเสี่ยงเดินทัพในฤดูหนาวเมื่อได้ฟังคำพูดของอวี๋ซื่อจง หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะฝืนหัวเราะก่อนหน้านี้เขาช่างไร้เดียงสาไปหน่อยแล้วมักคิดว่าตัวเองเข้าใจวิชาพิชัยสงคราม เข้าใจวางแผนกลอุบาย ก็สามารถทำสงครามกับเป่ยหวนได้แล้วแต่ว่า เขากลับละเลยสิ่งพื้นฐานที่สุดไปหากไม่ใช่เพราะได้คุยเรื่องเหล่านี้กับอวี๋ซื่อจงในวันนี้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสนามรบจริงจะมีความลับมากมายขนาดนี้มิน่าเหล่าราชสำนักจึงไม่มีเวลาส่งทัพใหญ่มาสนับสนุนซั่วเป่ยเป็นเพราะกำลังทหารในปัจจุบันที่เฝ้ารักษาการอยู่ที่ซั่วเป่ยคงเพียงพอแล้วถึงเช่นไร เป่
เขาพอเข้าใจความหมายของอวี๋ซื่อจงแล้วเสด็จพ่อให้เขามาที่ซั่วเป่ย เพื่อใช้ประโยชน์จากโกรธแค้นที่ปานปู้มีต่อเขา ล่อลวงให้ปานปู้เป็นฝ่ายบุกจู่โจมเมืองซั่วฟางที่เขาอยู่ในช่วงฤดูหนาว ตัดกำลังรบของเป่ยหวนด้วยเหตุนี้ทำสงครามช่วงฤดูหนาว กำลังของเป่ยหวนจะถูกตัดทอนไปจำนานมาก!ส่วนพวกเขาก็สามารถตั้งหลัก ตัดกำลังของเป่ยหวนไม่หยุดเมื่อเป็นเช่นนี้ รอถึงต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้าใช้กำลังทหารกับเป่ยหวน โอกาสชนะของต้าเฉียนก็จะเป็นไปได้มากเขาก็เป็นเหมือนกับกองทหารโลหิตเมื่อก่อน เป็นแค่เหยื่อล่อ!ถึงเช่นไร ราชครูของเป่ยหวนก็เกลียดเขาเข้ากระดูกดำ!เมื่อเผชิญกับคำถามของหยุนเจิง อวี้ซื่อจงส่ายหน้า กุลีกุลจรปฏิเสธ “ไม่ ไม่! องค์ชายอย่าได้คิดเหลวไหล ข้าก็แค่เบื่อหน่ายเท่านั้น จึงได้สนทนากับองค์ชายเพื่อคลายเบื่อหน่ายเท่านั้น...”คลายเบื่อหน่ายหรือ?หยุนเจิงถอนหายใจในใจอวี๋ซื่อจงกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมากะทันหัน เพียงเพราะคลายเบื่อหน่ายได้เช่นไร?แต่ว่า เขาในฐานะขุนนาง มีบางเรื่องที่ไม่สะดวกจะกล่าวโดยตรง จึงได้กล่าวอ้อมค้อมไปมาเช่นนี้“เอาเถอะ!”หยุนเจิงก็ไม่ทำให้เขาลำบากใจ โบกมือกล่าว “เจ้าเองก็เดินทางมา
ขณะที่กล่าว หยุนเจิงขยับตัวไปหาเมี่ยวอินทันที“ถุย!”เมี่ยวอินถ่มน้ำลายและผลักเขาออก จากนั้นก็กล่าวอย่างรำคราญ “เจ้าใช้ได้เลย! เวลาเช่นนี้ยังมีแก่ใจแกล้งข้า! ข้าไม่รู้ควรบอกว่าเจ้าใจกว้างเกินไปหรือว่าลามกเกินไปกันแน่!”ไอสารเลวนี่!นางนึกว่าไอสารเลวนี่หนาวใจจริงแล้ว!นึกไม่ถึง ไอสารเลวนี่ยังจะเสแสร้งแกล้งทำ!คิดแต่จะเอาเปรียบนาง!“ข้าคิดว่าเจ้าเข้าใจข้าผิดแล้ว”หยุนเจิงกล่าวสีหน้าเรียบเฉย “อย่าคิดเรื่องเหลวไหลเหล่านั้นเลย พวกเราสองคนเรียกว่าชะตาชีวิตลำบากกอดกันเพื่อความอบอุ่น! เจ้าก็ถอด ข้าก็ถอด กอดกัน อบอุ่นทั้งข้าและเจ้า!”“ถุย!”เมี่ยวอินถ่มน้ำลายอีกครั้ง เขินจนหน้าแดงแล้ว ทว่านางไม่ยอมถูกหยุนเจิงแกล้งเช่นนี้“ขอแค่ตอนนี้เจ้าชูธงกบฏ เจ้าคิดจะกอดเช่นไร ล้วนได้ทั้งนั้น”เมี่ยวอินกลั้นเสียงกระซิบกล่าว มองหยุนเจิงอย่างยั่วยุ“ข้าว่าเจ้านี่โง่เขลาหรือไม่?”หยุนเจิงกรอกตาขาวใส่นาง กระซิบ “สถานการณ์ตอนนี้ ข้าเอาสิ่งใดมากบฏ? ข้าก่อกบฏตอนนี้ หากไม่ถูกเป่ยหวนและเว่ยเหวินจงโจมตีทั้งสองด้านก็แปลกแล้ว! ถึงเวลานั้น พวกเราคงต้องกลายเป็นคู่นกเป็ดน้ำที่ชีวิตสิ้นหวังแล้ว!”หญิงผู้นี้!
คืนนี้ยังไม่นับว่าลำบากมีกองไฟ เช่นนั้นก็ไม่ได้รู้สึกหนาวแต่ว่า หยุนเจิงนอนไม่หลับเกือบทั้งคืนคืนนี้ เขาคิดเรื่องราวมากมาย และยังจัดระเบียบแผนการของเขาใหม่ด้วยเขายังคงไม่เลือกเป็นฝ่ายตั้งรับ ยังคงเลือกเป็นฝ่ายบุกทว่า ไม่คิดจะใช้กองทัพใหญ่บุกโจมตีอีกต่อไปการบุกโดยพื้นฐานเป็นการคุกคามและการรวบรวมข่าวกรองเป็นหลัก ทั้งยังใช้ประโยชน์จากความแค้นที่ปานปู้มีต่อเขา ล่อให้เป่ยหวนเป็นฝ่ายบุกโจมตีเข้ามา!ไม่สู้กับเป่ยหวนสักสองสามสนาม ก็ไม่มีทางสร้างอำนาจบารมีในกองทัพได้ตอนนี้อาศัยแค่จ่ายเงินสร้างบารมี อาจจะหายไปเมื่อใดก็ได้!มีเพียงสู้กับเป่ยหวนที่ทำให้กองทหารมณฑณทางเหนือเห็นความสามารถของเขา ต่อไปก็จะติดตามเขาเองมิฉะนั้น ใครจะกล้าติดตามคนที่อาจจะถูกราชสำนักกำจัดได้ทุกเมื่อ?“เมื่อคืนเจ้าไม่ได้นอนทั้งคืน?”เมี่ยวอินตื่นขึ้นมาก็สังเหตเห็นเส้นเลือดฝอยในดวงตาสองข้างของหยุนเจิง“นอนแล้ว เพียงแต่เมื่อคืนแอบร้องไห้ตั้งนาน”หยุนเจิงสูดจมูก ถอนหายใจกล่าว “ในใจข้าเหน็ยหนาว เจ้าไม่ยอมให้ความอบอุ่นข้า ข้าทำได้เพียงหลบไปแอบร้องไห้...”“เจ้าไปตายซะ!”เมี่ยวอินจ้องหยุนเจิงด้วยความโกรธไอ
“เจ้ารู้ได้เช่นไรว่าที่นี่ฤดูหนาวไม่อันตราย?”เมี่ยวอินเบ้ปาก “หากไม่อันตรายจริง ชาวเป่ยหวนและต้าเฉียนไม่รู้จักส่งกองกำลังมาทางนี้เพื่อซุ่มโจมตีจากด้านหลังหรือ?”แม้เมี่ยวอินดูเหมือนจะสงสัยว่าแก้ตัวก็ตาม แต่คำพูดของนางก็ได้รับการยอมรับจากคนทุกคนหุบเขาแห่งความตายที่ซั่วเป่ยจะบอกว่าเป็นสถานที่ต้องห้ามก็ได้คนจำนวนไม่น้อยไม่เชื่อเรื่องร้ายคิดอยากพิสูจน์ด้วยตัวเอง สุดท้ายก็ต้องล้มเหลวใครจะรู้ว่ามีคนมาลองพิสูจน์ช่วงฤดูหนาวหรือไม่?“บนโลกใบนี้ มีหลายสิ่งที่เป็นไปตามสิ่งที่คนอื่นพูดมากมาย”หยุนเจิงหัวเราะส่ายหน้า “หากไม่เชื่อ ข้าจะพิสูจน์ให้พวกเจ้าดู!”“องค์ชายไม่ได้!”อวี๋ซื่อจงรีบขวางไว้ทันที “พวกเราเชื่อ เชื่อทุกคน!”“ใช่ใช่ พวกเราเชื่อทุกคน!”พวกเกาเหอพากันพยักหน้าพวกเขาอยากบอกว่าไม่เชื่อแต่กลัวหยุนเจิงจะขัดขืน วิ่งเข้าไปพิสูจน์หากหยุนเจิงเกิดเหตุไม่คาดฝัน พวกเขาทุกคนต้องหัวหลุดออกจากบ่า“ข้า...”หยุนเจิงหน้าเคร่งขรึมมองทุกคน “ข้าบอกว่าข้าจะพิสูจน์ด้วยตัวเองหรือ? ไม่รู้จักส่งม้าสักตัวเข้าไปพิสูจน์หรือ?”ส่งม้าสักตัวเข้าไปพิสูจน์ทุกคนตกตะลึงชั่วครู่“ใช่ ใช่ ส่งม้า
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง!” เจียเหยากล่าวพลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กุ่ยฟางต้องยอมสวามิภักดิ์และถวายบรรณาการอย่างแน่นอน แต่จำนวนบรรณาการต้องเพิ่มขึ้นอีกร้อยละห้าสิบพร้อมกันนี้ กุ่ยฟางต้องเปิดการค้าเสรีกับต้าเฉียนและเป่ยหวน นอกจากนี้ กุ่ยฟางต้องชดเชยความเสียหายที่เป่ยหวนและต้าเฉียนได้รับจากศึกครั้งนี้ โดยจ่ายชดเชยเป็นทองคำ 100,000 ตำลึง แกะ 100,000 ตัว วัว 30,000 ตัว ม้า 10,000 ตัว และเสบียงอาหาร 4 ล้านตัน และเพื่อเป็นการตอบแทน เจียเหยาจะไม่เรียกร้องให้กุ่ยฟางยกดินแดน 500 ลี้ แต่ลดลงเหลือเพียง 300 ลี้เท่านั้น! ส่วนข้อที่ให้กุ่ยฟางถวายหญิงงาม 100 คนแก่ต้าเฉียนนั้น เจียเหยาได้ยกเว้นให้โดยตรง สำหรับเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆ เจียเหยาก็ยอมรับตามที่กุ่ยฟางเสนอมา เมื่อได้ยินเงื่อนไขของเจียเหยา อาเคอถูรู้สึกราวกับสมองของตนกำลังอื้ออึง การเพิ่มบรรณาการขึ้นร้อยละห้าสิบยังพอว่า แต่เจียเหยากลับเรียกร้องให้กุ่ยฟางจ่ายค่าชดเชยจำนวนมหาศาลในคราวเดียว? อย่าว่าแต่ปศุสัตว์และเสบียงเลย เพียงแค่ทองคำ 100,000 ตำลึง กุ่ยฟางก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว ทองคำ 100,000 ตำลึง
กุ่ยฟางแม้ว่าขณะนี้ดินแดนกุ่ยฟางจะเต็มไปด้วยหิมะที่ปกคลุมไปทั่ว แต่เจียเหยาก็ยังไม่หยุดการเคลื่อนทัพ ด้วยผลจากสิ่งที่พวกเขายึดได้ระหว่างทาง กองทัพของพวกเขาจึงไม่มีใครต้องทนหนาว ทว่าความหนาวเย็นของอากาศยังคงสร้างความลำบากไม่น้อยให้กับพวกเขา ทัวฮวนและจู่หลู่ได้เสนอให้เจียเหยารับคำขอเจรจาของชื่อเหยียนหลายครั้ง แต่เจียเหยาก็ไม่ได้สนใจในตอนนี้ กองทัพของพวกเขาอยู่ห่างจากเมืองหลวงของกุ่ยฟางไม่ถึงหนึ่งร้อยลี้แล้ว! เมื่อเผชิญกับกองทัพที่ประชิดเข้ามา ชื่อเหยียนจึงส่งคนมาเจรจาขอสงบศึกอีกครั้ง ครั้งนี้ เจียเหยาไม่ได้ขับไล่คนที่ชื่อเหยียนส่งมาอีก เจียเหยาได้พบกับอาเคอถูในกระโจมใหญ่ เมื่ออาเคอถูถูกนำตัวเข้ามา เจียเหยากำลังใช้มีดเล็กๆ ตัดเนื้อแกะชิ้นร้อนๆ จากขาแกะส่งเข้าปาก ข้างกายของนาง เกออาซูยืนอยู่พร้อมถือดาบในมือ อาเคอถูไม่ทราบว่าเนื้อแกะนั้นอร่อยเพียงใด แต่เจียเหยากลับดูเหมือนกำลังเพลิดเพลินอย่างมาก “ข้าน้อยคารวะองค์หญิงเจียเหยา!” อาเคอถูคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อถวายคำนับเจียเหยา เจียเหยาช้อนตามองเล็กน้อย มองอาเคอถูอย่างเรียบเฉย “เจ้าควรเรียกข้าว่า ‘องค์หญิ
ฤดูหนาวอันยาวนาน พวกเขามีสิ่งที่ต้องเตรียมการมากมาย หยุนเจิงเดินหาอยู่ในค่ายอยู่นาน จึงเจอฉินชีหู่ในโรงตีเหล็กของค่าย เมื่อเห็นหยุนเจิง ฉินชีหู่ก็รีบถือกระบองหนามที่เขาสั่งการตีด้วยตัวเองเข้ามาหา พลางกล่าวด้วยความภูมิใจ “น้องชาย เจ้าช่างมาถูกเวลา! มาดูอาวุธใหม่ของข้าหน่อยสิ!” “ข้าดูซิ” หยุนเจิงรับกระบองหนามมาจากมือของฉินชีหู่ เพียงแค่จับก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักมหาศาล แม้หยุนเจิงจะฝึกฝนร่างกายร่วมกับเมี่ยวอินมานาน แต่เมื่อถือกระบองหนามนี้ไว้ในมือก็ยังรู้สึกว่าหนักเกินกำลังเล็กน้อย “นี่คงหนักเจ็ดสิบจินได้กระมัง?” หยุนเจิงมองฉินชีหู่ด้วยความตกตะลึง “เจ็ดสิบแปดจิน!” ฉินชีหู่หัวเราะพลางกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “นี่คืออาวุธที่หนักที่สุดในกองทัพแน่นอน!” ตอนนี้ฉินชีหู่หลงใหลในกระบองหนามชนิดนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดาบใหญ่หรือหอกยาว เมื่อเจอกระบองหนามของเขา ก็ต้องยอมแพ้ทั้งนั้น เพียงแค่ฟาดลงไปครั้งเดียว เกราะใดก็ป้องกันไม่ได้! เรียกได้ว่าเทพมาขวางก็กำจัดเทพ พระมาขวางก็กำจัดพระ!” “เจ้ามันแน่!” หยุนเจิงกล่าวเหน็บแนมพลางคืนกระบองหนามให้ฉินชีหู่ “ช่ว
เรื่องการอภิเษกสมรสกับเจียเหยา หยุนเจิงไม่ได้ให้ความสำคัญนัก พลังงานทั้งหมดของเขาทุ่มเทไปกับการเตรียมการกองทัพใหม่ สำหรับกองทัพกุยอี้ หยุนเจิงยังคงยึดหลักการเดิม คือ ในหนึ่งกองทัพต้องประกอบด้วยคนจากหลายแคว้น เพื่อให้พวกเขาตรวจสอบกันเองและป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้น กองทัพกุยอี้สี่หมื่นนาย ถูกขยายมาจากกองกำลังหนึ่งหมื่นกว่าคนของฟู่เทียนเหยียนและพรรคพวก ผู้ที่สร้างผลงานจากศึกก่อนหน้านี้จะถูกแต่งตั้งให้เป็นนายทหารระดับกลางและล่าง ฟู่เทียนเหยียน ฮั่วกู้ จั่วเหริน และเกาเหอ ต่างก็นำกองกำลังหนึ่งหมื่นนาย ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมของพวกเขาในศึกก่อนหน้า หยุนเจิงจึงจัดสรรม้าให้กองทัพกุยอี้หนึ่งหมื่นตัว และจัดตั้งกองทหารม้าห้าพันนาย ซึ่งสังกัดในกองกำลังของฟู่เทียนเหยียน หลังจากจัดการเรื่องกองทัพใหม่เรียบร้อย หยุนเจิงจึงพาคนไปเคารพหลุมศพของตู้กุยหยวน ระหว่างทางกลับ หยุนเจิงครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอนาคต เมื่อการเตรียมการเบื้องต้นเสร็จสิ้น กองทัพกุยอี้ทั้งสี่หมื่นนายจะต้องแยกกันไปฝึก ส่วนกองทัพประจำการใหม่สองหมื่นนาย เรื่องนี้ค่อนข้างง่าย กองกำลังสองหมื่นนี้เดิมทีเป็
หากมิใช่เพราะจักรพรรดิเหวินทรงเตือน เขาคงมิได้คำนึงถึงปัญหานี้เลย “พอแล้ว!” จักรพรรดิเหวินโบกพระหัตถ์ “ข้าจะออกเดินทางในไม่ช้า เจ้าอย่ามาติดตามข้าเลย ไปจัดการธุระของเจ้าเถิด!” “เสด็จพ่อจะเสด็จตอนนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” หยุนเจิงรู้สึกแปลกใจ“ข้าควรไปแล้ว! การปล่อยให้พี่สามของเจ้าติดอยู่ที่ฟู่โจวตลอดก็ไม่ดี” จักรพรรดิเหวินตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้าอย่ามาส่งข้าเลย ไปๆ มาๆ จะเสียเวลาไม่น้อย” “เอ่อ…” หยุนเจิงรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย “ลูกขอส่งเสด็จพ่อออกจากด่านเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” เขายังต้องไปที่ค่ายใหญ่บนเขาห่านป่าหวนกลับอีกครั้ง หากออกเดินทางจากชายแดนชิงจะช่วยประหยัดเวลาไปไม่น้อย ทว่าหากจักรพรรดิเหวินจะเสด็จจากไป แล้วเขาไม่ส่งเสด็จ ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องสมควร “ไม่ต้องแล้ว!” จักรพรรดิเหวินทรงปฏิเสธทันที “อย่างไรเสียเจ้าก็ยังต้องพาเจียเหยาไปที่ฟู่โจวอยู่ดี! เรื่องในมือเจ้าก็ยังมีอีกมากมาย อย่าเสียเวลาเลย เรื่องบ้านเมืองสำคัญกว่า!” เป็นเช่นนี้หรือ? หยุนเจิงลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ลูกขอส่งเสด็จพ่อไปถึงชายแดนกู้เถิดพ่ะย่ะค่ะ!” “ก็ได้!” จักรพ
จักรพรรดิเหวินอาจอยู่ในเมืองหลวงนานเกินไป หรืออาจเป็นเพราะอยากสำรวจความมั่งคั่งของหยุนเจิง ในไม่กี่วันที่ผ่านมา จักรพรรดิเหวินให้หยุนเจิงพาไปชมสถานที่หลายแห่ง เยี่ยจื่อและเสิ่นลั่วเยี่ยนตั้งครรภ์อยู่ ส่วนเมี่ยวอินไม่อยากพบกับจักรพรรดิเหวินบ่อยนัก จักรพรรดิเหวินจึงเลือกให้หยุนเจิงเป็นผู้ติดตามเพียงคนเดียว ในช่วงหลายวันนั้น จักรพรรดิเหวินได้ไปชมเหมืองถ่านหิน โรงงานผลิตถ่านน้ำผึ้ง โรงงานปูนซีเมนต์ และเตาเผาต่างๆ อย่างครบถ้วน โชคดีอย่างเดียวคือ จักรพรรดิเหวินไม่ได้ไปดูโรงงานผลิตเกลือบริสุทธิ์ ไม่แน่ชัดว่าจักรพรรดิเหวินตั้งใจหรือไม่ แต่ครั้งนี้พระองค์ไม่ได้ไปชมกองทัพซั่วเป่ย สิ่งที่พระองค์สนใจล้วนเป็นเรื่องเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน ในที่สุด หยุนเจิงก็ไม่อาจขัดขวางจักรพรรดิเหวินไม่ให้เดินทางไปยังชายแดนชิงเปียนได้ หยุนเจิงนำกองทัพองครักษ์ของตน พร้อมด้วยทหารองครักษ์ส่วนพระองค์ที่นำโดยโจวไต้ เดินทางไปยังชิงเปียนพร้อมจักรพรรดิเหวิน ระหว่างทางไปยังชิงเปียน หิมะหนาแน่นราวขนนกก็เริ่มตกลงมา จักรพรรดิเหวินยืนอยู่บนกำแพงเมืองชิงเปียน มือไขว้หลังโดยไม่ขยับเขยื้อน
พวกเขาล้วนเป็นคนใกล้ชิดของหยุนลี่ หยุนลี่จึงมิได้ปิดบัง ตั้งใจบอกเรื่องที่ต้องการซุ่มโจมตีหยุนเจิงในหัวเมืองสี่ทิศให้พวกเขารับรู้ เมื่อทราบแผนการของหยุนลี่ มีเพียงหยวนกุยที่ยังคงสงบนิ่ง ขณะที่คนอื่นต่างตกใจไปตามๆ กัน หยวนกุยหลังจากชดเชยความผิด ก็ได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการทหารในสำนักไทจื่อ แม้จะมิได้บัญชาทหารมากมาย แต่เขามีความภักดีอย่างยิ่ง ในการเดินทางครั้งนี้ หยุนลี่จึงพาหยวนกุยมาด้วย เฉียวเหยียนเซียน หัวหน้าทหารรักษาการณ์ซ้ายของไทจื่อขมวดคิ้ว กล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท ด้วยฐานะของหยุนเจิง หากไร้พระราชโองการ ใครเล่าจะ…” “เรื่องนี้ เจ้าต้องคอยเตือนข้าด้วยหรือ?” หยุนลี่ขัดจังหวะเฉียวเหยียนเซียน “เรื่องนี้ ข้าจะหารือกับเสด็จพ่อเอง! อย่างไรก็ดี พวกเราต้องเตรียมพร้อมสำหรับกรณีที่เสด็จพ่อไม่เห็นชอบ! นี่คือโอกาสทองในการซุ่มโจมตีหยุนเจิง หลังจากนี้ คงไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก!” ครั้งนี้ หยุนลี่ตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ว่าองค์จักรพรรดิเหวินจะทรงเห็นด้วยหรือไม่ เขาก็คิดจะลองสังหารหยุนเจิงอยู่ดี ในตอนนี้ หยุนเจิงเปรียบดั่งดาบที่แขวนอยู่บนคอเขา หากหยุนเจิงยังมีชีวิตอยู่ เขาย่อ
บรรยากาศในมื้ออาหารนี้ไม่สู้ดีนัก หยุนลี่มีความขุ่นเคืองในใจ แต่ไม่อาจระบายออกได้ ต้องพยายามปลอบประโลมบรรดาแม่ทัพ จึงไม่มีทางจะอารมณ์ดีได้เลย หลังอาหาร หยุนลี่ได้เอ่ยปากเชิญโจวเต้ากงให้เดินพูดคุยเป็นการส่วนตัว โจวเต้ากงก็ไม่รู้ว่าหยุนลี่ต้องการสิ่งใด แต่ก็จำต้องตอบรับ หยุนลี่กอดอก เดินนำโจวเต้ากงไปยังลานกว้างในค่ายทหาร “เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับหยุนเจิง?” ขณะเดินอยู่ หยุนลี่ก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน คิดเห็นต่อหยุนเจิงหรือ?โจวเต้ากงสะดุ้งในใจ รีบตอบกลับไปว่า “องค์ชายหกทรงเป็นโอรสสวรรค์ ข้าน้อยไม่บังอาจแสดงความคิดเห็นโดยพลการ” “ไม่เป็นไร กล่าวตามที่เจ้าคิดเถิด” หยุนลี่กล่าวอย่างเรียบเฉย เมื่อเห็นหยุนลี่ยืนกรานจะถาม โจวเต้ากงก็จำต้องตอบไปด้วยความหวั่นเกรง “องค์ชายหกทรงมีฝีมือในการศึก ปราบปรามศัตรูอย่างกล้าหาญ นับเป็นคุณูปการใหญ่หลวงต่อแผ่นดินต้าฉวน! แต่การที่ทรงมีอำนาจทหารอยู่ในพระหัตถ์และไม่เชื่อฟังราชโองการนั้น กลายเป็นภัยใหญ่หลวงต่อราชสำนัก...” เมื่ออยู่ต่อหน้าหยุนลี่ในฐานะรัชทายาท โจวเต้ากงจึงจำต้องกล่าวเช่นนี้ หยุนลี่รู้สึกพอใจกับคำตอบของโจวเต้ากง จ
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา